4 ตอน ตอนที่ 4 ตื่น
โดย season in the sun
ตอนที่ 4 ตื่น
ทุกอย่างผ่านไปไวมากตั้งแต่ที่ได้ทำงาน ฉันทนใช้แรงงานเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อมาแล้วสองเดือนกว่า
ทำงานบริการนอกจากจะเหนื่อยงานร่างกายเหนื่อยล้ายืนทั้งวันขาแทบขาด ยังทำให้พบเจอผู้คนและเรื่องราวหลากหลาย ขณะถูพื้นบริเวณหน้าร้านลูกค้าที่อยู่ในชุดคล้ายคนงานก่อสร้างถอดรองเท้าเดินเข้าไปในร้าน ฉันรีบร้องห้ามบอกว่าไม่ต้องถอด ใส่เดินเข้ามาได้เลย แต่คำตอบที่ฉันได้รับคือ
"เกิบมันสกปรก ฉันกลัวมันเลอะ"
พี่สาวคนงานก่อสร้างที่ใช้ผ้าขาวม้าคลุมหน้าพร้อมหมวกปีกกว้างใบโตเงยหน้าบอกกับฉันด้วยสำเนียงบ้านเกิดบวกกับรอยยิ้มแสนซื่อ ฉันจึงทำได้เพียงยิ้มต้อนรับและปล่อยให้เธอถอดรองเท้าตามความต้องการ และหลังจากนั้นฉันก็เจอพี่สาวคนนี้แทบทุกวันในช่วงเวลาเข้างานกะเช้าตอนใกล้ ๆ เจ็ดโมง เดาว่าเธอคงอยู่ไซต์ก่อสร้างใกล้ ๆ แถวนี้ มือของพี่สาวคนนี้ทั้งหยาบด้านแข็งกระด้างจนฉันตกใจ เธอต้องทำงานหนักเท่าไหร่หนอในแต่ละวันมือถึงได้แข็งสากถึงเพียงนี้ แต่ทุกครั้งที่พบเธอ ฉันจะเห็นรอยยิ้มแสนซื่อนั้นทุกคราว ใบหน้าดำคล้ำแดดมีฝ้ากระ แต่เธอทารองพื้นหน้าขาวกับทาลิปสติกสีสดใสตลอดเวลา นี่คงเป็นความสุขเล็กน้อยของเธอการได้แต่งหน้าสวย ๆ ถึงจะต้องทำงานหนักกลางแดดร้อนเท่าไหร่ก็ตาม ฉันนึกขำที่พี่สาวก่อสร้างยังมีแก่ใจแต่งหน้าแต่งตาทั้งที่งานของเขาไม่ได้อำนวยให้แต่งสวยด้วยซ้ำ ฉันยืนอมยิ้มมองพี่สาวก่อสร้างคนนั้น ในขณะที่ตัวฉันไม่ได้แต่งหน้าทาปากอะไรเลย มือฉันก็เริ่มแห้งกร้านเพราะกำไม้ถูพื้นและยกของหนักทุกวัน
"เหอะ อินัท นี่มึงกล้าขำพี่คนงานก่อสร้างเหรอ อย่างมึงกล้าหัวเราะเขาเหรออิควาย มึงสวยตายห่าละ"
เอาล่ะ..วายร้ายในหัวมันเริ่มสำแดงเดชอีกแล้ว
"แล้วงานมึงนี่เบามากเลยเนอะ ยกลังเบียร์ แบกกระสอบน้ำตาล ยกถุงข้าวสารงี้ ยังต้องถูพื้นล้างน้ำห้องส้วมทุกวันอีก งานมึงสบายกว่ากรรมกรตรงไหน มีดีแค่มึงอยู่ในห้องแอร์ ไม่ได้ตากแดดตากลม ได้เงินเดือนเท่าจิ๋มมด ชีวิตมึงดีกว่าพี่ก่อสร้างเหรอ กูก็ว่าไม่นะอิห่า มึงคิดว่าเขาลำบาก แล้วชีวิตมึงสบายเหรอ อินัท"
โอเคฉันยอมแพ้ เหตุผลมากมายของคนในหัวทำฉันเถียงไม่ขึ้น ได้แต่ถอนใจกัดฟันก้มหน้าก้มตาถูพื้นจนสะอาดแวววับ และล้างมือเตรียมตัวเข้าประจำเครื่องคิดเงินทันที จะงานก่อสร้างหรืองานกรรมกรห้องแอร์ สุดท้ายแล้วก็แค่ลูกจ้างเป็นคนใช้แรงงานเหมือนกัน ไม่ได้สุขสบายไปกว่ากันเลย
วันนี้ฉันกับเพื่อนพนักงานพาร์ตไทม์อีกคนถูกผจก.หรือที่ฉันเรียกว่าพี่วิทย์สั่งให้เฝ้าจับตามองผู้ต้องสงสัยว่าเป็นขโมย
พี่วิทย์เปิดกล้องวงจรปิดให้พวกเราดูเหตุการณ์โจรขโมยของพวกเครื่องสำอางที่มีราคาสูง ทั้งแป้งตลับและโฟมล้างหน้าไปหลายชนิด
โจรคนนี้เป็นผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงสแล็คขายาวรองเท้าหนัง ยังมีป้ายคล้องคอดูคล้ายพนักงานบริษัท ทุกครั้งที่เข้ามาก็ทำทีว่ามาเลือกซื้อสินค้าตามปกติแต่แอบหยิบของสอดไว้ในเสื้อเชิ้ตหลายชิ้น บางทีก็หยิบเอาสินค้าชิ้นสองชิ้นไปจ่ายเงิน แต่บางครั้งก็อาศัยช่วงชุลมุนขโมยของแล้วเดินออกจากร้านไปเลย
ภาพจากกล้องทำให้รู้ว่าชายคนนี้ขโมยสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง อาศัยจังหวะทีเผลอพนักงานหันหลังให้ และมักจะเป็นเวลาที่ฉันกับเพื่อนพนักงานคนนี้ยืนประจำที่เครื่องคิดเงินเสมอ พี่วิทย์จึงสั่งเจาะจงให้ฉันและเพื่อนช่วยกันจับตามอง คอยระมัดระวังเต็มที่เพราะมั่นใจว่าโจรจะมาขโมยอีก ถ้ามันเคยขโมยได้มันจะมาเรื่อย ๆ พี่วิทย์บอกมาแบบนี้
หลังจากที่ให้ช่วยกันจดจำหน้าตาโจรไว้ และนัดแนะกันว่าหากเจอโจรจริง ๆ ต้องทำเช่นไร ฉันกับเพื่อนพนักงานพาร์ตไทม์ผู้ชายที่สนิทกันพอสมควรเราสองคนรอคอยใจจดจ่อที่จะจัดการกับโจร
แล้วโจรก็กลับมาอีกจริง ๆ อย่างที่พี่วิทย์คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
ฉันใจเต้นโครมครามเหงื่อซึมเต็มมือขาสั่นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างลักษณะคล้ายกับโจรในกล้องวงจรปิดไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งยังแต่งกายด้วยชุดเดิมทั้งสีเสื้อและกางเกงตรงกันทุกอย่าง นี่มันลำพองย่ามใจถึงขนาดใส่ชุดเดิมมาขโมยของที่เดิมเลยหรือ ฉันคิดในใจขณะที่ตื่นเต้นจนใจสั่นรัวแรง
พอโจรก้าวเข้ามาในร้าน ฉันที่ยืนอยู่ตรงเครื่องคิดเงินหน้าประตูหันไปพยักพเยิดกันกับเพื่อนร่วมงานที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเพื่อนก็คิดเหมือนกันกับฉัน ว่านี้คือโจรแน่ ๆ พวกเราหันไปจ้องตามองมันเป็นจุดเดียว ทั้งที่ในร้านมีลูกค้าอีกสองสามคน ชายคนนั้นเดินอ้อมไปไกล ๆ จากจุดที่พนักงานยืนอยู่ หันมองซ้ายขวาแล้วเดินวนไปตรงชั้นวางเครื่องสำอาง ยืนอยู่ครู่เดียวมันก็ตัดสินใจวิ่งออกจากร้านไปทันที
"ฉิบหายมันรู้ตัว" เสียงในหัวฉันสบถคำรามลั่นแล้วออกคำสั่งให้ฉันวิ่งตามโจรไป
"ตามไปสิอิห่านัท มันหนีไปแล้ว"
ฉันกับเพื่อนร่วมงานที่พากันยืนนิ่งตะลึงรีบกระโดดออกจากเคาน์เตอร์วิ่งตามหัวขโมยออกไปทันที แต่มันวิ่งขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้สตาร์ตเครื่องขับหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
"ค_ _ !! เหี้_ เอ้ย มันหนีไปได้"
เพื่อนร่วมงานของฉันที่เป็นผู้ชายโวยวายหงุดหงิดที่เสียเหลี่ยมโจร ส่วนฉันได้แต่ยืนหอบตัวโยนใจเต้นรัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"เวรแล้ว มันรู้ตัวจนได้ ฉิบหายละ" พี่วิทย์ที่เพิ่งวิ่งตามออกมาสบถหัวเสียอีกคนเช่นกัน
"โจรมันไม่โง่ให้จับง่าย ๆ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้มันรู้ตัว"
เสียงนั้นตำหนิอย่างชัดเจน พี่วิทย์มองมาที่เราสองคน สายตาของแกแสดงชัดเจนว่าพวกเราโง่กว่าโจร
"ขโมยมันไหวตัวทันเพราะพวกคุณเลิ่กลั่กมีพิรุธ มันหนีไปได้แล้วจะไปตามหามันจากที่ไหน"
ฉันที่ใจสั่นรัวเหงื่อซึมเพราะตื่นเต้นตกใจกับการเจอโจรตัวเป็น ๆ ครั้งแรก แต่พอโดนตำหนิเข้าให้ฉันก็ใจแป้วแทบจะหมดแรง หันไปมองหน้าเพื่อนพาร์ตไทม์ ก็เห็นเพื่อนชักสีหน้าบึ้งตึง ดูออกว่าไม่พอใจเหมือนกันที่โดนตำหนิแต่ก็เงียบไม่ตอบโต้
พี่วิทย์เดินกลับเข้าร้านไปสำรวจตรงชั้นวางตรวจดูว่ามีอะไรหายไปบ้าง
"มันยังไม่ได้เอาอะไรไปหรอกพี่ ผมมองอยู่ตลอด" เพื่อนร่วมงานตัวสูงของฉัน บอกกับผู้จัดการร้าน
"นัทก็เห็นค่ะ เขามายืนอยู่เฉย ๆ แป๊บเดียว แล้วพอมองมาที่เรา เขาก็วิ่งหนีไปเลย"
"ก็พวกคุณรู้ไม่ทันมันน่ะสิ ยืนจ้องกันขนาดนั้นโจรมันก็รู้ตัวแล้ว พวกคุณก็ดูฉลาดนะ ไม่น่าโง่กว่าโจร"
คำพูดของพี่วิทย์ทำเอาสะอึก รู้สึกจุกเจ็บในใจ ฉันน้ำตาเริ่มคลอเบ้าค่อย ๆ แสดงความอ่อนไหวออกมา
กลายเป็นว่าพวกเราผิด ทำไมพวกเราที่ตั้งใจจับโจรถึงกลายเป็นคนโง่กว่าโจรไปได้
"คนเป็นโจรมันต้องมีไหวพริบ ที่มันขโมยของต่อหน้าต่อตาพวกคุณได้หลายครั้งเพราะคุณไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมัน แล้วก็เป็นพวกคุณที่ทำให้มันหนีไปได้อีก"
พี่วิทย์ยังพูดตอกย้ำเรื่อย ๆ
"อิฉิบหาย พวกกูไม่ใช่โจร จะไปรู้ทันเหลี่ยมโจรได้ยังไง อิผจก.เหี้ย มึงฉลาดทำไมไม่มารอจับมันเองวะ แม่ง"
ฉันอีกคนที่อยู่ข้างในหัวตะโกนก่นด่าสบถคำหยาบมากมายอยู่ภายในใจฉัน คำพูดพวกนั้นที่ฉันไม่สามารถจะพูดมันออกมาได้ มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่กำลังซึมออกมา
"แล้วทำไมพี่ไม่ออกมาเฝ้าโจรเองตั้งแต่ทีแรก ถ้าพี่ฉลาดกว่ามันทำไมไม่คิดหาวิธีจัดการเองตั้งแต่มันเข้ามา"
เพื่อนพาร์ตไทม์ของฉันที่ยืนกัดฟันกำหมัดอยู่ข้าง ๆ โพล่งออกมาโต้ตอบพี่วิทย์
ฉันที่น้ำตาซึมตกใจแหงนคอมองเพื่อนตัวสูงอย่างไม่คาดคิดว่าเพื่อนจะกล้าย้อนเถียง ผู้จัดการไปแบบนั้น และมันตรงกับที่ฉันคิดอยู่ในหัวแต่ฉันไม่กล้าพูดมันออกไป
"พี่บอกให้พวกผมจับตาเฝ้าดูโจร พอมันมาจริง ๆ พวกผมก็อยากจับมันให้ได้ แต่ตอนนี้ ผมกลับคิดว่า ถ้าโจรมันมีอาวุธ ถ้ามันทำอะไรพวกผม พี่จะรับผิดชอบยังไงเหรอ แทนที่พี่จะแจ้งความแล้วให้ตำรวจจัดการให้ แต่พี่กลับบอกให้พวกผมจับตาเฝ้ามัน" เพื่อนตัวสูงขึ้นเสียงเถียงพี่วิทย์ยาวเหยียดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"ผมไม่ได้ให้พวกคุณไล่จับโจรนะ บริษัทจัดการเรื่องกฎหมายให้อยู่แล้ว ผมแค่ให้พวกคุณจับตามองไว้ เฝ้ามันไว้ แต่พวกคุณก็ทำให้โจรรู้ตัว แล้วก็วิ่งตามจับมันกันเอง ผมไม่ได้สั่งให้ทำเลย"
"พี่ไม่ได้สั่ง แต่ถ้าผมนิ่งดูดายปล่อยมันขโมย พี่ก็จะหาว่าพวกเราไม่ได้เรื่องอีก"
"ผมให้พวกคุณจับตามองมัน แต่ไม่ได้ให้วิ่งไล่จับมันถ้าเกิดโจรมันทำร้ายพวกคุณ พวกคุณจะทำยังไง"
"สรุปก็คือพวกเราทำผิดเอง โง่เอง ทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือเองเหรอ แทนที่พี่จะปกป้องพวกผมในฐานะหัวหน้า แต่พี่กลับมาว่าพวกผมโง่กว่าโจร พี่แม่งเหี้ย ขี้ขลาด กูทำงานกับคนเหี้ย ๆ อย่างนี้ได้ไงวะ กูออกแม่ง!!"
เพื่อนพาร์ตไทม์ของฉันทะเลาะกับผจก.เสียงดังต่อหน้าทุกคนอยู่ในร้าน เขาตะโกนใส่หน้าคนที่อาวุโสกว่าหลายปี แล้วเดินกระแทกเท้าเข้าหลังร้านไปหยิบกระเป๋าเป้สะพายบ่าเดินออกจากร้านไปเลยด้วยสีหน้ากระด้างบึ้งตึง ท่ามกลางสายตาของทุกคนรวมทั้งฉันที่ยังน้ำตาคลอเพราะโดนต่อว่า และตกใจที่จู่ ๆ เพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดของฉันได้เดินจากไปโดยไม่ทันคาดคิด ไม่มีแม้คำบอกลา
"ถ้าเขาทนรับคำติแค่นี้ไม่ไหวอยากออกก็ตามใจเขา แล้วคุณล่ะว่ายังไง ผมหวังว่าคุณคงไม่อ่อนไหวง่ายขนาดนั้นนะ คุณยังต้องเจออะไรกับอีกมากมายต่อจากนี้ถ้าทนไม่ได้จะทำมาหากินอะไร"
พี่วิทย์มองหน้าฉันแล้วพูดเสียงเรียบเฉยเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
"เอาล่ะอินัท กูบอกเลย กูไม่ชอบผู้ชายคนนี้" เสียงสะท้อนดังก้องในหัว
ฉันได้แต่ยืนก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไร
"งั้นก็ไปพักก่อนละกัน แล้วค่อยตามเก็บงานประจำวันของคุณให้เรียบร้อยก่อนเลิกงานกลับบ้าน" พูดจบพี่วิทย์ก็เดินห่างออกไปแล้วไม่สนใจฉันอีกเลย
ฉันก้มหน้าน้ำตาซึมเดินเข้าหลังร้านไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำ ทำไมทำงานมันต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย งานเหนื่อยเท่าไหร่ฉันไม่เคยร้องไห้ไม่เสียน้ำตา แต่การถูกตำหนิต่อว่าโดยที่ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิดมันทำให้ฉันเสียใจยิ่งกว่า
ใช่พวกเราอาจจะไม่รอบคอบที่วิ่งไล่ตามโจรไป ถ้าเกิดว่าโจรมีอาวุธ และทำร้ายเราขึ้นมา พวกเราจะเป็นยังไง แต่พี่วิทย์น่าจะมีคำพูดที่ดีกว่านี้พูดกับเรา แค่พี่บอกเราว่าไม่เป็นไรหรือมีคำสอนที่ดีกว่านี้แทนการต่อว่ามันคงจะดีกว่า
ฉันกับเพื่อนแค่ทำตามวิถีพลเมืองดี แต่กลายเป็นคนโง่ในสายตาคนมากประสบการณ์อย่างพี่วิทย์
ร้องไห้ท้อแท้จนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่หายเจ็บใจ ในที่สุดฉันก็รีบปาดน้ำตามาจัดการงานของตัวเองให้เสร็จ จนเลิกงาน ฉันถือถุงผ้าเดินออกจากร้านโดยไม่กล่าวลาพี่วิทย์อย่างที่เคยทำ
"กูไม่ชอบหน้ามันแล้ว มึงไม่ต้องทำตัวดีกับมัน แค่ทำงานของมึงให้ดีที่สุดก็พอ" ฉันอีกคนส่งเสียงดังอยู่ในหัว ขณะที่จะเดินออกจากร้านและครั้งนี้ฉันก็เห็นด้วย ฉันเดินผ่านพี่วิทย์ไปโดยที่ไม่กล่าวสวัสดีหรือหันไปมองเลยด้วยซ้ำ
เลิกงานกลับบ้านฉันเดินเท้าอีกตามเคย ประหยัดเงินเดือนเอาไว้ หลังจากที่ใช้หนี้พี่บี และผ่อนจ่ายค่าเช่าหอพัก ฉันยังต้องเก็บเงินไว้ซื้อโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใช้ อดทนเอาไว้ก่อน สิ้นเดือนนี้ น่าจะได้เป็นเจ้าของมือถือราคาถูกสักเครื่องหนึ่งแน่ ๆ ฉันหมายมาดตั้งใจเอาไว้แล้ว
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบหกโมงฉันเดินมาจนถึงทางเข้าวัดหน้าปากซอย ไม่ได้เดินผ่านทางนี้มาระยะหนึ่งเพราะพอมีเงินฉันก็เปลี่ยนไปใช้ถนนใหญ่เพื่อแวะซื้อข้าวกินแล้วเดินเข้าซอยทางถนนเส้นโน้น แต่วันนี้เกิดเรื่องที่ร้านทำให้ใจไม่เป็นสุข ฉันตัดสินใจเดินผ่านเข้าวัดด้วยความห่อเหี่ยว แต่เพราะร้องไห้หนักในห้องน้ำเมื่อตอนบ่ายและรีบเคลียร์งานจนไม่ได้ดื่มน้ำ ตอนนี้จึงรู้สึกคอแห้งผาก ฉันหอบตัวเองไปกดน้ำดื่มที่ตู้น้ำของวัดพลางหันมองไปรอบ ๆ เย็นมากแล้วยังมีคนมาทำบุญถวายสังฆทานกันอยู่เลย ฉันล้วงกระเป๋ากางเกงสำรวจดูเหรียญในกระเป๋า พบว่ามีอยู่หลายเหรียญจึงตรงไปจะหยอดใส่ที่ตู้บริจาคตรงศาลาใหญ่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง
"คุณไข่" ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ใช่คุณไข่จริง ๆ เธอกำลังกรวดน้ำและน่าจะใกล้เสร็จแล้วแต่เธอยังไม่เห็นฉัน
ฉันรีบหันหลัง แล้วก้มหน้าหลบทันทีด้วยหัวใจที่สั่นโครมคราม
หลังจากวันนั้นที่ได้พบครั้งแรก ก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง ทำให้รู้ว่าเธอเป็นหลานสาวคนเล็กของป้าอ้อย ผู้หญิงผิวขาวจัด ผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง เธอตัวเล็กกว่าฉันมากน่าจะสูงไม่ถึง160 แน่ ๆ ตัวผอมบางแทบจะปลิวไปตามแรงลม ในขณะที่ฉันสูง166 ไม่อ้วนไม่ผอม และผิวคล้ำแดดตามประสาคนที่โดนแดดบ้านนอกมานาน
พี่บีที่เช่าอยู่หอนี้มาหลายปีแล้วเล่าว่าคุณไข่เธอเรียนที่เชียงใหม่ ตอนที่ฉันย้ายมาอยู่หอนี้ คุณไข่เธอยังอยู่ที่โน่น และตอนนี้เธอเรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่ที่นี่กับป้าอ้อย ตอนนี้ป้าอ้อยไม่มีใคร ผัวแกก็เลิกกันไปนานแล้ว หลานคนโตที่เป็นพี่สาวของคุณไข่ก็ตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน เหลือแค่คุณไข่เป็นญาติเพียงคนเดียว
ฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ทำเป็นไม่เห็นคุณไข่ที่นั่งอยู่ไม่ห่าง เข้าไปหยอดเหรียญลงในกล่องบริจาค แต่ในหัวฉันมันไม่รักดีกลับนึกถึงแต่ภาพในฝันที่ชัดเจนขึ้นทุกวัน ภาพของฉันกับคนในฝันที่หน้าเหมือนคุณไข่ ทำให้ฉันละอายใจจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอทุกครั้งที่บังเอิญพบกัน
ฉันเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกที ในฝันที่มีแต่เรื่องกามาโลกีย์
แม้จะพยายามแล้วทุกครั้งที่ฝันเห็นคนหน้าเหมือนเธอ พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน หรือพยายามเปลี่ยนฝันให้ไปทางอื่นแต่สุดท้ายก็จบที่การร่วมรักกันอย่างสุขสมลึกซึ้งทุกที แล้วฉันจะกล้าสู้หน้าคุณไข่เธอได้ยังไง
ฉันไม่อยากเป็นคนโรคจิต ที่ฝันหมกมุ่นถึงคนคนหนึ่งด้วยเรื่องอย่างว่าเพียงเท่านั้น ละอายใจเหลือเกิน
สะบัดความคิดออกจากหัว หยอดเหรียญลงตู้บริจาคเสร็จก็รีบหันหลังก้มหน้าก้มตาเดิน กลัวว่าคนที่ฉันแอบเอาไปฝันเรื่องน่าบัดสีจะเห็นเข้า รีบก้าวขาจะออกศาลาใหญ่ในวัด
แต่...
เพราะมัวแต่ลนลานกลัวจะถูกเห็นเข้าฉันจึงซุ่มซ่ามเตะเอาตะกร้าใส่ของที่วางอยู่ใกล้ ๆ ตัวจนคว่ำเทกระจาดเรียกคนทั้งวัดให้หันมามอง
"ฉิบหายอินัท อิดาราหน้าวัดซุ่มซ่าม อายคนมั้ยล่ะมึง"
เสียงในหัวสบถก่นด่าขณะที่รีบก้มลงไปเก็บของที่ตกพื้นใส่เข้ากลับไปในกระเช้าหวายนั้นตามเดิม
แต่ที่ทำให้ตกใจแทบช็อกเมื่อมือเรียวขาวสะอาดยื่นมาช่วยเก็บผลไม้กับดอกกล้วยไม้ที่กระจายลงพื้นเข้าใส่ในกระเช้าอย่างรวดเร็ว
"คะ...คุณไข่..."
"นึกว่าใคร เธอนี่เอง"
เสียงเอ่ยออกมาเรียบ ๆ แสนเย็นชาพลางเก็บของใส่กลับเข้าไปในกระเช้า ตาคู่สวยของเธอแห้งแล้งไม่มีความยินดียินร้ายใด ๆ ขณะที่เหลือบมองมาที่ฉันเพียงหางตา
"ขอโทษค่ะ คุณไข่" เอ่ยปากขอโทษไปแต่ผู้เสียหายที่มองฉันด้วยหางตากลับไม่สนใจตอบรับคำขอโทษ แน่นอนว่าคงไม่พอใจที่ฉันเตะของเธอคว่ำทั้งกระเช้า
พอเก็บของเรียบร้อยก็หิ้วกระเช้าเดินตรงดิ่งผ่านเมรุออกไปทางหลังวัดทันทีโดยไม่สนใจฉันเลย
"บ้าเอ๊ย เห็นชัด ๆ คุณน้องไข่จอมหยิ่งนี่ ไม่ได้อยากคบค้าเสวนากับมึงสักนิด อินัท ดูหน้าเขาที่มองมึงสิ ยังกะเห็นหนอนเห็นไส้เดือน"
เสียงวายร้ายในหัวสะท้อนก้อง แต่ตัวฉันเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก
"เนี่ย คนที่มึงฝันว่าเอากันเกือบทุกคืน แต่ความจริงคือเขาโคตรรังเกียจไม่แลหน้ามึงด้วยซ้ำ"
"หยุดพูดสักที น่ารำคาญ" ฉันชักหงุดหงิดเถียงย้อนกลับไปบ้าง
"ฉันไม่ได้ฝันถึงคุณไข่ ฉันฝันถึงใครก็ไม่รู้ที่หน้าเหมือนคุณไข่ แล้วก็เลิกส่งเสียงหยาบคายในหัวฉันสักที แค่นี้ฉันก็เหนื่อยจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว"
ฉันตอบโต้วายร้ายในหัวจนมันเงียบเสียงไป ก่อนจะเดินผ่านเมรุออกไปทางประตูหลังวัดด้วยอารมณ์ที่หลากหลายทั้งเหน็ดเหนื่อยโมโห และหมองหม่น
ทำบาปทำกรรมอะไรไว้หนักหนา ถึงได้มีชีวิตที่อุบาทว์บัดซบขนาดนี้ หรือว่าเจ้ากรรมนายเวรที่ฉันเคยทำบาปไว้กำลังลงโทษฉันอยู่ สมเพชตัวเองชะมัด
พอเดินออกมาจากประตูหลังวัด ฉันเห็นคุณไข่ที่ออกมาก่อนฉัน หยุดอยู่ที่ตีนสะพานนิ่ง ๆ ครู่หนึ่งเธอแหงนหน้าหันไปมองทางต้นประดู่ข้างกำแพง
ถ้าไม่คิดไปเองฉันว่าเธอกำลังสะอื้นถอนใจและยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ร้องไห้งั้นหรือ
ฉันชะงักอึ้งไปเลย ขาที่ก้าวเดินถึงกับหยุดอยู่กับที่ทันที
เหมือนคุณไข่เธอจะรู้ตัวว่ามีใครอยู่ข้างหลังจึงหันกลับมาเห็นฉันที่ยืนนิ่งไม่ห่างกันเท่าไหร่ เธอรีบยกมือขึ้นเช็ดปาดน้ำตาบนใบหน้าขาวสวยนั้น
อะไรไม่รู้ดลใจให้เธอมองหน้าฉัน และฉันก็มองตอบ
ใช่ เธอร้องไห้จริง ๆ ดวงตาคู่สวยแสนเย็นชานั้นมีน้ำตาคลออยู่
เราสองคนมองหน้ากันนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วฉันก็เป็นฝ่ายหลบตาเธอด้วยการเสมองไปทางอื่น ฉันไม่กล้ามองเธอนานหรอก ความลับสัปดนในใจฉันทำให้ใจมันไม่ด้านพอที่จะมองสบตาเธอด้วยซ้ำ
เธอก็เป็นฝ่ายหันหลังให้ฉันแล้วเดินนำหน้าไป
เราสองคนเดินตามกันห่าง ๆ ไปตามทางสะพานข้ามคลองที่เงียบสงบ เธอไม่หยุดรอ และฉันก็ไม่เร่งก้าวเดินเพื่อให้ทันเธอ ระยะห่างระหว่างเรายังคงห่างกันเท่าเดิม เราไม่คุยกัน ไม่มีใครพูดอะไรตลอดทางจนถึงหอพักต่างคนก็แยกย้าย
ในหัวของฉันตอนนี้มันสับสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าเต็มทน
วันนี้มันวันอะไรกัน
ฉันไล่จับโจรด้วยความประมาท
เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดของฉันชิงลาออกไป ทำให้ฉันเคว้งคว้าง
หัวหน้าที่สอนงานฉันมีทัศนคติที่ฉันไม่อาจรับได้
ฉันร้องไห้ให้กับความโง่เขลาไร้เดียงสาของฉันเอง
และฉันเห็นคุณไข่ร้องไห้โดยที่ฉันไม่รู้สาเหตุ
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉันดูนาฬิกาข้อมือหลังจากไขกุญแจเข้าห้อง ตอนนี้18.23 น.
ไม่หิวข้าว ไม่อยากกินอะไรเลย ฉันวางกระเป๋าผ้าลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียง แล้วล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังอยู่ในชุดฟอร์มพนักงาน ไม่ไหวฉันเหมือนจะแหลกสลายทั้งร่างกายและจิตใจ
ทำไมชีวิตมันยากขนาดนี้
อยากพักเหลือเกิน...
อยากนอน....จนไม่อยากตื่น
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีตอนที่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทับอยู่ตรงหน้าอก ฉันพยายามขยับตัวแต่แขนขามันแทบไม่มีแรงเลย แย่แล้ว เกิดอะไรขึ้น
ฉันพยายามดิ้นฝืนให้ตัวเองลืมตา ไม่แน่ ฉันอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักเปลือกตาที่หนักอึ้งจนในที่สุดก็ตื่น
"เหี้...!!" ทันทีที่ลืมตาได้ฉันก็มองเห็นสาเหตุของการหายใจไม่ออกขยับตัวไม่ได้ทันที
นั่นเพราะมีร่างสีดำทะมึนนั่งทับหน้าอกฉันเอาไว้ เงาดำที่แสนจะหนักอึ้งราวกับน้ำหนักตัวของคนหนึ่งเทน้ำหนักลงมาทั้งตัว นัยน์ตาของมันแดงก่ำลุกวาวจ้องมองมาที่ฉัน
"ผี!!!" ฉันแหกปากตะโกนลั่นดิ้นพล่าน ทั้งออกแรงผลักไสให้เงาดำนั้นออกไปพ้นจากตัวฉัน
แต่เปล่าประโยชน์ เสียงที่ฉันร้องแหกปากตะโกนลั่นมันกลับเงียบงันเหมือนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย ยิ่งตะโกนยิ่งเหมือนเป็นใบ้ เสียงอยู่แค่ในลำคอ
แต่ฉันไม่ยอมแพ้ ในหัวคิดสารพัดวิธีไล่ผี
ฉันรู้ว่าฉันโดนผีอำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเจอผีมานั่งทับตัวอยู่แบบนี้ แต่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วตอนที่ยังเด็ก และตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันโดนผีอำ
"ออกไป๊ ไป!! ไปให้พ้น!" ฉันตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าเปล่าประโยชน์คงไม่มีเสียงใดลอดออกมา หรืออาจจะมีแต่มันคงเบาหวิว
ร่างดำทะมึนแววตาดุดันแข็งกร้าวยังคงนั่งนิ่งบนหน้าอกฉัน และเหมือนว่ามันยิ่งกดน้ำหนักเพิ่มลงไปอีก ฉันดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจติดขัดเต็มที กำมือทุบเตียงนอนปัง ๆ ดิ้นขลุกขลัก ในใจภาวนาขอให้ใครสักคนได้ยินเสียงแล้วมาช่วยปลุกฉันที ได้โปรด แต่เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล
แทบสิ้นหวัง ฉันไอแค่ก ๆ เพราะเริ่มขาดอากาศ หายใจไม่ทัน หน้าแดงจนเต็มกลั้น
"ไป...ออกไปเถอะ ขอร้อง เราไม่ได้มีเวรกรรมอะไรกัน ฉันไม่รู้จักแก ต่างคนต่างอยู่เถิดอย่าทำร้ายฉันเลย ออกไปเถอะ ออกไป..."
ฉันน้ำตาซึม ผีใจดำนี่กำลังจะฆ่าฉัน มันจ้องเขม็ง แล้วมันก็หัวเราะสะใจ
ฉันทำอะไรมันไม่ได้เลย ฉันสวดมนตร์ไล่ผีไม่ได้ แม้แต่ท่องบทสวดอรหังฉันยังท่องไม่จบด้วยซ้ำ
แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาด ยิ่งมันหัวเราะราวผู้ชนะจุดชนวนให้ฉันฮึดขึ้นสู้มันอีกครั้ง
ฉันกลั้นใจดิ้นรนสุดกำลัง ตะโกนดังลั่นเฮือกสุดท้าย
"อะ..ออกไป๊!! ออกไปให้พ้น!!! ไอ้ผีสารเลว!!!!!"
ปึง ๆ ๆ ๆ
"เธอ.. นี่เธอ ได้ยินหรือเปล่า นัท นัท ได้ยินมั้ย"
เสียงเคาะประตูห้องรัว ๆ พร้อมเสียงเรียกปลุกให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย
ฉันลืมตาโพลงสะดุ้งเฮือก กะพริบตาถี่ ๆ ปรับแสงในความมืดจนปรับสายตาได้ดีดตัวขึ้นจากเตียง ในขณะที่หน้าประตูยังมีเสียงเคาะดังต่อเนื่อง
ฉันลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟพลางกับโต้ตอบกลับคนที่กำลังเคาะประตูอยู่นั้น
"อยู่ค่ะ อยู่ ๆ แป๊บนึงค่ะ"
แม้ปากจะเอ่ยตอบคนข้างนอก แต่ยังไม่วายกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อความแน่ใจว่าฉันตื่นแล้วจริง ๆ และไม่มีผีหรือวิญญาณใดอยู่ในห้องฉัน
แต่พอฉันเปิดประตูห้องออกไป ก็ต้องชะงักกึกนิ่งตัวชา เมื่อเห็นหน้าชัด ๆ ว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องของฉันนั้นคือใคร
ooooooooooooooooooooo
#กลางวันสีดำ
โปรดติดตามตอนต่อไป
0000000000000000
สวัสดีค่ะทุกคน สีสันเองนะคะ มาทักทายค่ะ อยากรู้ว่าทุกคนอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง คุณเคยมีประสบการณ์โดนผีอำกันมั้ย หรือใครมีเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ จะเป็นเรื่องลึกลับ หรือเรื่องงานที่อยากแบ่งปันก็ได้☺
มาคุยกันค่ะ
อ่านให้สนุกนะคะทุกคน
ขอบคุณค่ะ?
***
แฟค
ผีอำ ทางวิทยาศาสตร์เรียก Sleep paralysis จะมีอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ขยับร่างกายไม่ได้ อึดอัด มีปัจจัยกระตุ้นจาก
- นอนไม่พอ คุณภาพการนอนไม่ดี
- ดื่มแอล ใช้สารเสพติด
- กินยานอนหลับ ยาทางจิตเวช
- เปลี่ยนเวลานอนไปมา
- เครียด
แก้โดย นอนเป็นเวลา ออกกำลัง พยายามคลายเครียด
จากบทความของ
***หมอผิง พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล