ตอนที่ 1 หิว

 

 

 

ย่านรามคำแหงเมื่อสิบปีก่อน

ฉันที่อยู่ชุดนักศึกษานั่งตัวตรงไหล่ตั้ง พยายามทำหน้าให้ยิ้มแย้มดูเป็นมิตรมากที่สุดทั้งที่มือเย็นเฉียบใจเต้นตึกตัก ๆ อยู่ภายในอก เหงื่อเม็ดใสเริ่มผุดซึมที่หน้าผากและลำคอ ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ถึงกระเพาะอาหารที่กำลังบีบรัดราวกับจะให้มันขาดออกเป็นชิ้น ๆ "หิวฉิบหาย" ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้มีแค่น้ำเท่านั้นที่อยู่ในกระเพาะอาหารของฉัน

ใช่ ฉันกำลังหิวจัดและภาวนาไม่ให้ท้องฉันมันส่งเสียงน่าอายออกมาเพราะฉันกำลังอยู่ในห้องสัมภาษณ์งานที่ร้อนอบอ้าว พัดลมเพียงตัวเดียวที่อยู่ในห้องนี้ก็พัดจ่ออยู่ที่ชายหนุ่มหน้าตี๋ท่าทางสำอางที่กำลังจะสัมภาษณ์งานฉันอยู่ 

มือขาวสะอาดถือเอกสารใบสมัครงานของฉันไว้ เปิดดูประวัติที่ฉันกรอกลงไปแบบผ่าน ๆ 

"คุณศิรินทร์ รัฐถนอม อายุ 20 ปี วุฒิม.6หรือครับ ยังเรียนอยู่ใช่มั้ยครับ" ประโยคหลังเขาเงยหน้าขึ้นมองฉัน

"ค่ะ เรียนรามฯ " ฉันพยักหน้ารับและตอบคำถามอย่างสงบเสงี่ยม นั่งเงียบ ๆ ตาคอยมองหน้าคนสัมภาษณ์สลับกับมองเอกสารสมัครงานของฉันที่เขากำลังพลิกอ่านไปมา เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง สนใจแต่เอกสารโดยไม่ได้มองฉันอีก 

สภาพของฉันตอนนี้คงเหมือนเด็กบ้านนอกที่โทรมสุด ๆ ผิวคล้ำแดด และรูปร่างธรรมดาไม่อ้วนและไม่ผอม เหงื่อที่ซึมออกมาเพราะอากาศร้อนชื้นมันเริ่มเปียกที่หลังฉันจนรู้สึกได้ว่ามันกำลังไหลย้อยลงไปถึงสะโพกแล้ว ผมยาวหยักศกสีดำสนิทมัดรวบไว้ทั้งหมด ใบหน้าจืดชืดไร้เครื่องสำอางไม่ได้ทาแม้กระทั่งลิปมัน มีเพียงแป้งเด็กที่ใช้ผัดหน้าก่อนเดินออกจากหอพักตรงมาสมัครงานที่นี่เท่านั้น และตอนนี้แป้งขาวนวลที่ใบหน้าคงเลือนหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่หน้ามัน ๆ โทรม ๆ

ใช่ ฉันมันแค่เด็กบ้านนอก หน้าตาบ้าน ๆ ไม่ได้สวยตรงตามบิวตี้สแตนดาร์ดที่มักได้รับความสนใจมากกว่าเสมอ

"เบอร์โทรฯ ที่ติดต่อได้ เบอร์02 เบอร์บ้านหรือครับ??" คิ้วของเขาขมวดแล้วมองหน้าฉัน

"อ่า...ใช่ค่ะ...เบอร์หอพักค่ะ ตอนนี้พักอยู่หอพักสตรี"

"แล้วเบอร์มือถือ..มีมั้ยครับ"

"ไม่มีค่ะ ไม่มีมือถือ ไม่มีเงินซื้อ..."

ประโยคหลังฉันพูดเสียงเบาหวิวราวกับมีก้อนความจนติดอยู่ตรงคอหอย และคนฟังก็เงยหน้าขึ้นมองฉันทันทีด้วยแววตาพิศวง

ใช่ ฉันเห็นหัวคิ้วเขากระตุกเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาฉายแววว่าไม่อยากจะเชื่อแวบหนึ่งในดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มหน้าตี๋ตำแหน่งHRของบริษัทกิจการร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ เงยหน้าขึ้นมองฉันแบบสำรวจจริงจังมากกว่าที่มองผ่าน ๆ แบบเมื่อสักครู่ เขาคงไม่อยากเชื่อว่าในพ.ศ.นี้ยังมีคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้

"ไม่มีจริง ๆ ค่ะ บ้านจน" ฉันเอ่ยย้ำยืนยันคำตอบเดิม

บ้านจนไง จนแบบจนเหี้ย ๆ อะค่ะ ฉันได้แต่นึกคำนี้อยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดมันออกมา

"อ่า ครับ แล้วมีเบอร์ญาติที่สามารถติดต่อได้มั้ยครับ"

"มีค่ะ เป็นเบอร์พี่สาว"

"พี่น้องกันแท้ ๆ ใช่มั้ยครับ" พอฉันพยักหน้ารับ HRหนุ่มหันกลับไปสนใจเอกสารสมัครงานของฉันอีกครั้ง

"แล้วพี่สาวทำงานอะไร พักอยู่ที่ไหนครับ"

มันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวฉันวะ คนที่สมัครงานคือฉัน ไม่ใช่พี่

"ต้องมีญาติหรือคนที่สามารถติดต่อได้ หากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นระหว่างปฏิบัติงานครับ" หนุ่มตี๋HR เหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ถึงได้อธิบายเหตุผลที่ถามข้อมูลเกี่ยวกับพี่สาวฉัน

"พี่สาวรับราชการครูค่ะ สอนอยู่บนดอยแม่สะเรียง"

เป็นอีกครั้งที่พ่อหนุ่มตี๋เงยหน้าขึ้นมองฉัน หัวคิ้วเขากระตุกนิดหนึ่งอีกแล้ว ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านประวัติของฉันต่อ มือสะอาดเขียนรายการอะไรไม่รู้ยิก ๆ บนเอกสารของฉัน ในขณะที่ปากยังคงขยับพูดงึมงำหลายอย่าง

จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมามองฉันอีกครั้ง

"ทำงานเป็นกะได้ใช่มั้ย"

"ได้ค่ะ"

"ทราบใช่ไหมว่างานของเราเป็นงานบริการ ให้บริการลูกค้าตลอด24 ชั่วโมง ถ้าจะต้องเข้างานกะกลางคืน คุณสะดวกหรือเปล่า"

"ได้ค่ะ"

"ถ้าต้องเดินทางไปทำสาขาอื่นที่ไกลกว่านี้ หรือค่อนข้างเดินทางลำบากจะสะดวกมั้ยครับ"

ฉันหยุดคิดไปนิดหนึ่งกับคำถามนี้ ไม่ได้มีปัญหากับการต้องเดินทางไกล ๆ ฉันเต็มที่อยู่แล้วไม่กลัวงานหนักอะไรทั้งนั้นด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่เงินค่ารถนี่แหละมันไม่มีจริง ๆ วันนี้ที่มาที่นี่ฉันก็เดินเท้ามา ระยะทางแค่ 2 km. ฉันเดินได้สบายมาก แต่ตอนนี้ฉันมีเงินติดตัวอยู่แค่ 34 บาท เป็นเงินเหรียญทั้งหมดมันนอนสงบนิ่งอยู่ในถุงผ้าที่ใส่เอกสารใบสำเนาทะเบียนบ้านกับสำเนาวุฒิการศึกษาม.6 ที่ฉันใช้สมัครงาน ทั้งเนื้อทั้งตัวตอนนี้มีเงินแค่นั้นและฉันยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อนึกถึงตรงนี้ฉันจึงไม่ลังเลอะไรอีกรีบพยักหน้าตอบไปทันที

"คิดว่าได้ค่ะ ฉันไปทำงานได้ทุกที่ ฉันอยากทำงานค่ะ"

หิวข้าวจะเป็นลมตายห่าอยู่แล้ว ฉันอยากได้งาน อยากได้เงิน ถ้าให้ฉันไปทำงานดูดส้วมตอนนี้เพื่อแลกกับเงินกินข้าว ฉันก็ทำได้ 

"ตอนนี้เรารับเฉพาะตำแหน่งพาร์ตไทม์นะครับ ค่าแรงวันละ300+ คิดว่าพอไหวมั้ยครับ" เขาเงยหน้ามองฉันเพียงแวบเดียวในจังหวะที่ฉันพยักหน้าตอบรับ

"งั้นผมจะให้คุณประจำที่สาขานี้เลยแล้วกัน สะดวกเริ่มงานเลยไหมครับ"

"สะดวกค่ะ สะดวกมาก" ฉันที่หูอื้อเพราะอาการหิวข้าวรีบพยักหน้าตอบรับ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า หนุ่มตี๋HR หน้าหล่อก็ยิ้มนิด ๆ ให้ฉัน ยิ้มจากคนที่ฉันกำลังมองเห็นเป็นพระเจ้า ฉันจะไม่อดตายเพราะนายคนนี้ ฉันจะจำหน้านายเอาไว้ตลอดชั่วชีวิตของฉัน

"เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลยนะครับ เวลาเข้างาน 06.30 น. ส่วนชุดฟอร์มพนักงาน ผู้จัดการสาขา จะเป็นคนจัดการให้เอง ใส่กางเกงผ้าขายาวสีดำ รองเท้าสีดำนะครับ ยินดีต้อนรับเข้าบริษัทของเรา ขอให้คุณโชคดี"

จบคำพูดของพระเจ้าหน้าตี๋คนนั้นฉันจำไม่ได้ว่ายกมือไหว้เขาไปกี่ครั้ง ถึงท้องมันแสบด้วยความหิวโหยปานใดแต่ฉันดีใจมากกว่า เพราะคิดไปว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ฉันจะไม่ต้องนอนหิวตายด้วยความทรมานอีกต่อไป

แต่ก่อนจะถึงวันนั้นฉันต้องหาน้ำมาลูบท้องก่อน นี่เป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันจะไม่ได้กินข้าว เงิน34 บาทในกระเป๋าจะต้องเก็บไว้หยอดตู้น้ำที่หน้าหอพักสำหรับเอาไว้กินแทนข้าววันนี้และพรุ่งนี้

ฉันรีบเดินออกจากร้านสะดวกซื้อสาขาที่รับสมัครงานด้วยหัวใจพองโต ฉันได้งานแล้ว ฉันกำลังจะมีเงินกินข้าว โดยไม่ต้องอาศัยใบบุญจากพี่สาวที่จะโอนมาให้ สองขารีบสืบเท้าเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ทันที ห้างนี้มีโทรศัพท์สาธารณะที่ยังใช้งานได้ ฉันตรงดิ่งเข้าไปยกหูเจ้าตู้เครื่องมือสื่อสารสีส้มเขียวหยอดเหรียญบาทใส่เข้าไปสองเหรียญแล้วกดหมายเลขโทรฯ หาบางคนที่เป็นเหมือนพระเจ้าอีกองค์ของฉัน

"โหล..น้ำ นี่กูเองนะ นัทเอง กูได้งานแล้วนะ เขารับกูทำงานแล้ว เออมึงอย่าลืมนะ ที่กูขอตังค์มึงไว้ 500 โอนมาให้หน่อย ตังค์กูจะหมดอีกแล้วกูไม่มีกางเกงใส่ทำงาน เขาให้ใส่เกงขายาวสีดำ กูมีแค่ตัวเดียว"

ฉันกรอกเสียงคุยกับพี่สาวที่เป็นครูดอยเบา ๆ เพราะไม่ต้องการให้ใครได้ยินบทสนทนาของฉัน พูดไปพลางคอยชำเลืองมองตัวเลขหน้าจอดูจำนวนเงินแล้วคำนวณเวลาก่อนจะหยอดเหรียญบาทเพิ่มไปอีกเหรียญ ได้ยินเสียงพี่สาวคนดีที่สุดของฉันตอบกลับมา

"เงินกูก็น่าจะไม่พอ เดือนนี้ต้องใช้หลายอย่าง ที่โรงเรียนกูไม่มีคอมฯ ให้ใช้เลย กูเพิ่งผ่อนโน๊ตบุ๊คไป เดี๋ยวกูลองโทรไปขอจากไอ้นิวให้ พรุ่งนี้วันที่28 เงินกยศ.มันเข้าพอดี เดี๋ยวกูให้ไอ้นิวมันกดโอนให้มึง"

"เออ ๆ อย่าลืมนะน้ำ กูไม่มีตังค์แล้ว เนี่ยทั้งตัวเหลือร้อยเดียว เดี๋ยวกูไม่มีเกงใส่ทำงาน วันนี้ก็ต้องกินมาม่าอีกแล้ว"

โกหกทั้งเพ ทั้งตัวเหลือร้อยเดียว ถุย!!! ไม่มีทั้งมาม่าไม่มีทั้งเงินหนึ่งร้อยอะไรทั้งนั้น ฉันข่มใจกัดฟันพูดโกหกพี่สาวไป ทั้งที่ท้องฉันมันเริ่มโอดครวญอย่างหิวโหยอีกแล้ว

"เออ ๆ เดี๋ยวกูโทรฯ หาไอ้นิวตอนนี้เลย จะบอกมันไว้ก่อนว่าให้โอนให้มึง500 มึงค่อยโทรถามมันอีกทีละกั..ติ๊ด ๆ ๆ"

ตัดไปแล้วหน้าจอโทรศัพท์สาธารณะดับลงพร้อมเงินของฉันที่เหลือติดตัวอยู่ตอนนี้ 30 บาท อยากจะร้องไห้ แต่อย่างน้อยก็คุยรู้เรื่องก่อนจะตัดสายไป

ตอนนี้ก็ฝากความหวังไว้ที่ไอ้นิว น้องสาวคนเล็กที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยของรัฐที่อยู่ทางภาคใต้ พวกเราสามคนพี่น้องสายเลือดเดียวกันเป็นผู้หญิงล้วนและเราเป็นลูกกำพร้า ที่อาศัยกับญาติฝ่ายพ่อตั้งแต่จำความได้ ชีวิตวัยเด็กลำบากแค่ไหนตอนนี้ก็แทบไม่ต่างกัน ตอนเป็นเด็กต้องรับจ้างทำงานหาเงินไปโรงเรียน ไม่มีอะไรกินจนต้องทอดกะปิกินกับข้าวสวย แต่ยังมีที่นอนมีบ้านคุ้มกะลาหัวโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่ตอนนี้อายุ20 ปีแล้วจะอาศัยชายคาบ้านญาติอีกต่อไปมันจึงไม่ใช่เรื่อง ต้องออกจากบ้านมาเช่าหอพักเท่ารูหนูหนำซ้ำยังค้างค่าเช่า แม้แต่กะปิทอดคลุกข้าวยังไม่มีให้กิน ต้องเอาน้ำลูบท้องไปวัน ๆ ชีวิตไม่ได้ดีขึ้นเลยมีแต่ความบัดซบและความหิวโหยที่ต้องเอาชนะให้ผ่านพ้นในแต่ละวันเท่านั้น

 

 

หลังจากออกจากห้างฯ มานั่งอยู่ในสวนสาธารณะจนค่ำ ฉันคอยดูนาฬิกาข้อมือราคาถูกที่สวมอยู่เรื่อย ๆ เพื่อตรวจสอบเวลาที่คาดว่าคนดูแลหอพักจะกลับออกไปแล้ว ใช่ ฉันกำลังหลบหน้าคนดูแลหอพักเพราะค้างค่าเช่าห้องอยู่เกือบสองเดือนยังไม่ได้จ่าย ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยแต่มันจนปัญญาจริง ๆ ถ้าป้าอ้อยเจอฉันตอนนี้ ฉันจะเอาเงินเกือบ5000พันที่ไหนไปให้แก

เมื่อดูเวลาจนแน่ใจแล้วว่ากลับไปถึงหอจะไม่เจอป้าอ้อย ฉันจึงลุกขึ้นจากสนามหญ้าในสวนสาธารณะ แต่พอลุกขึ้นยืนก็รู้สึกได้ทันทีถึงอาการหน้ามืดตาลายรู้สึกวิ๊ง ๆ เหมือนเห็นดาวลอยเคว้งอยู่ในม่านตา แผ่นดินโคลงเคลง ฉันหูอื้อไปหมด เหมือนจะวูบล้มลงให้ได้ จนต้องยืนนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งเพื่อสภาพร่างกาย โอย แย่แล้ว ฉันหิวจนจะเป็นลม น้ำขวดในถุงผ้าที่กรอกจากเครื่องกรองน้ำหน้าหอพักถูกดื่มหมดขวดไปสักพักแล้ว

 

ผ่านไปครู่หนึ่งพอตั้งหลักได้ ฉันพยายามฝืนสังขารพาร่างตัวเองเดินโซเซขาสั่นหูอื้อตาลาย ประคองตัวเดินเข้าไปในซอยที่มีแสงสลัว เพิ่งจะสองทุ่มกว่ารถรายังวิ่งอยู่มากโดยเฉพาะวินมอเตอร์ไซค์ยังวิ่งฉวัดเฉวียนรับส่งผู้โดยสารไม่ขาดสาย

หอพักสตรีที่ฉันอยู่ต้องเดินเข้าซอยไปประมาณแปดร้อยเมตร ด้านหน้ามีวัดเล็ก ๆ ที่อยู่ติดลำคลองน้ำครำส่วนหอพักเดินข้ามสะพานหลังกำแพงวัดไปเพียงไม่ไกล หอพักสตรีราคาถูกค่าห้องรวมกับค่าน้ำค่าไฟเดือนละสองพันกว่าบาทหาไม่ง่ายเลยในกรุงเทพฯ ถึงแม้มันจะเปลี่ยวไปหน่อยแต่มันก็เหมาะกับคนจนอย่างฉัน

ระหว่างที่ประคองสารร่างตัวเองที่ดูแทบไม่ได้เดินกลับหอ ฉันแทบจะหมดแรงหมดลมตายเสียให้แล้ว ๆ ไปซะ หิวจนตาลาย ขอแค่น้ำเปล่ามายากระเพาะอาหารไม่ให้มันเจ็บปวดทรมานไปมากกว่านี้ ใจคิดอยากกลับไปถึงหอพักให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้กรอกน้ำหน้าหอมากินบรรเทาความหิว

ในหัวผุดความคิดเข้ามาแวบหนึ่งจะเดินผ่านทางลัดดีไหมหนอ ทางลัดที่ว่าคือเดินตัดเข้าด้านข้างกำแพงวัดเพื่อไปออกทางประตูหลังมันมีช่องเข้าออกเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังวัดตรงท่าน้ำนั้น ถ้าหากเป็นกลางวันฉันก็ยินดีจะเดินผ่านมันโดยไม่อิดออด แต่เวลานี้มันมืดค่ำแล้ว และที่สำคัญทางออกด้านหลังนั้นมันอยู่ใกล้กับเมรุ

ให้ตายสิ ฉันเกลียดวัดเพราะฉันกลัวผี ผีที่ฉันยังไม่เคยเจอสักครั้งเลย แต่ตอนนี้ถ้าฉันไม่เดินเข้าไปในวัดนี้ฉันนี่แหละกำลังจะกลายเป็นผีเพราะอดตาย

ไม่ทนอีกแล้ว ฉันตัดสินใจเดินตัดเข้าวัดทางประตูด้านข้างทันที แสงไฟสว่างโร่ขนาดนี้จะต้องกลัวอะไร หมาวัดหลายตัวมันยังนอนเฝ้าวัดกันได้ไม่เห็นมีผีที่ไหนมาหลอกมัน ฉันทำใจดีสู้ผีเร่งพาตัวเองเดินไปตามทางที่เคยเดินผ่านหลายครั้งยามกลางวันตั้งใจเดินลัดตัดตรงไปประตูหลังทันที

แต่ทันใดสายตาก็เหลือบไปเห็นตู้น้ำดื่มในวัด เหมือนพระมาโปรด ฉันลืมไปได้ยังไงกันในวัดนี้มีตู้น้ำเย็นวางไว้ให้ดื่มฟรีอยู่นี่นา ฉันยิ้มกว้างรอดตายแล้วสองขาตรงรี่เข้าไปหาตู้น้ำและกดใส่แก้วดื่มมันทันทีสามแก้วติด ๆ ด้วยความหิวโหย

เอาล่ะ ฉันรอดตายไปอีกหนึ่งวัน

เมื่อกดใส่แก้วดื่มจนพอใจและกรอกน้ำใส่ขวดเปล่าที่อยู่ในถุงผ้าของฉันจนเต็มขวด กดน้ำฟรีไปจากนี่เลยจะได้ไม่ต้องเสียเงินหยอดเหรียญตู้กดน้ำหน้าหอประหยัดได้อีกบาทสองบาทก็ยังดี

ฉันเก็บขวดน้ำยัดใส่กระเป๋าผ้าอุ้มมันด้วยสองแขนเพราะเหนื่อยล้าเกินที่จะยกไว้บนบ่าได้อีก สองเท้าก้าวเดินออกไปด้านหลังวัดอย่างเร่งรีบ เพราะในใจลึก ๆ มันหวาดหวั่นใจเต้นโครมครามเพราะฉันกลัวผี เร่งฝีเท้ามองตรงไปข้างหน้า แทบจะวิ่งผ่านหน้าเมรุจนไปถึงประตูทางออกเล็ก ๆ ตรงท่าน้ำด้วยความโล่งใจ ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า ไม่เห็นมีผีอะไรออกมาหลอกมีแต่หมาวัดที่นอนเรียงกันเต็มลานวัดไปหมด 

เฮ้ออออ ฉันผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ 

ขอบคุณวัดนี้ที่ต่อชีวิตฉันออกไปอีกวันหนึ่ง ถ้าฉันพอจะมีเงินเมื่อไหร่ฉันจะมาหยอดใส่ตู้บริจาคให้วัดนี้เพื่อตอบแทน

 

 

ออกจากวัดมาจนถึงท่าน้ำหลังวัดที่ค่อนข้างมืด มีแสงไฟจากหลอดไฟเพียงดวงเดียวเท่านั้น ทำให้ฉันต้องก้มหน้ามองทางอยู่ตลอดเพราะเกรงจะเดินสะดุดล้มคะมำ

ในขณะที่กำลังจะเดินข้ามสะพานหลังวัดเพื่อข้ามไปอีกฝั่งคลอง สายตาฉันก็บังเอิญไปเห็นผลส้มที่ตกอยู่ข้างทางหนึ่งผลมันวางนิ่งอยู่บนพื้นคอนกรีตตรงเชิงสะพาน ฉันกำลังจะเดินผ่านมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับหยุดนิ่งในใจลังเลอยู่เพียงครู่

ส้มตกพื้นแล้วมันสกปรกมั้ยนะ มันเน่าหรือยังวะ มันกลิ้งมาจากไหน หล่นออกมาจากถุงส้มของใครหรือเปล่า

ทั้งที่ในหัวมีความคิดมากมาย แต่ร่างกายฉันมันกลับก้มลงไปหยิบส้มผลนั้นขึ้นมาถือในมือ ลูกใหญ่มากยังสดอยู่ด้วยยังไม่เน่า แล้วก็ไม่ได้เปื้อนด้วย

"มึงจะอดตายห่าอยู่แล้วไอ้นัท จะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไร ตอนนี้มึงไม่ได้ต่างอะไรกับคนจรจัด ถ้ามึงรังเกียจส้มลูกนี้ มึงก็นอนแห้งเป็นผีตายอดตายอยากไปเถอะ มึงไม่สงสารกระเพาะอาหารมึงมั่งอะ ให้กระเพาะมึงได้ย่อยอาหารบ้างนะ อิห่า"

เสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในหัวฉัน นี่คงเป็นตัวฉันอีกคนที่กำลังก่นด่าตัวฉันเองอยู่ ฉันจึงรีบเอาส้มใส่ในกระเป๋าผ้าโดยไม่ลังเล เอากลับไปล้างก่อนละกัน ต่อให้หิวจนตาลายแต่ส้มที่เก็บได้จากพื้นข้างทางก็ควรต้องล้างก่อนที่จะเอามันมากิน คิดได้ดังนี้ก็รีบจ้ำเท้าข้ามสะพานตรงไปยังซอยเล็ก ๆ ที่เป็นที่ตั้งของหอพักสตรีที่ฉันใช้ซุกหัวนอนทันทีอย่างเร่งรีบ 

 

 

ที่หน้าหอพักสตรี สองตาฉันจ้องมองเข้าไปภายในโถงชั้นล่างของหอพักเห็นเพื่อนร่วมหอนั่งดูละครทีวีกันอยู่สองสามคน ฉันสอดสายตามองดูจนแน่ใจแล้วว่าตรงนั้นไม่มีป้าอ้อยนั่งอยู่ด้วยจึงเดินเข้าไปเงียบ ๆ แต่พอจะเดินเลยเข้าไปด้านในก็มีเสียงเรียกร้องทักมาเสียก่อน

"อ้าวนัท กลับมาแล้วเหรอ" 

ฉันสะดุ้งโหยงเพราะมีชนักปักหลัง กลัวป้าอ้อยคนดูแลหอพักจะมาเจอฉันเข้า แต่พอนึกได้ว่าเสียงนี้ไม่ใช่ป้าอ้อย แต่เป็นเสียงพี่บีที่อยู่ห้อง302 พี่สาวใจดีที่ดีกับฉันตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันก็ให้ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง

"ค่ะพี่บี นัทเพิ่งจะกลับเข้ามา" ฉันหันกลับไปยิ้มให้พี่บีทั้งที่ยังหน้าซีดใจสั่นเพราะนึกอายหากความลับแตกเรื่องค้างค่าเช่าห้อง

"มากินผลไม้ด้วยกันสิ วันนี้เจ้านายพี่ทำบุญบริษัทแกเอาผลไม้มาแจกเยอะแยะเลย เนี่ยมีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น ทั้งแอปเปิล ส้ม สาลี่หิมะ มาสินัท มาแบ่งเอาไปกิน" 

จบคำชวนของพี่บีฉันก็เหลือบไปเห็นถุงใบใหญ่ที่วางบนโต๊ะหน้าทีวี มีผลไม้เยอะแยะอย่างที่พี่บีบอกจริง ๆ ยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าฉันรู้สึกได้ทันทีว่าความสุขมันคงวิ่งกระจายออกมาจากรอยยิ้มของฉัน

"ขอบคุณมากค่ะพี่บี เดี๋ยวนัทมากิน ขอเอาขยะออกไปทิ้งก่อน เพิ่งนึกได้ว่ามีขยะอยู่ในกระเป๋าลืมเอาออก"

ฉันพูดพลางส่งยิ้มจนตาปิดให้พี่บีคนใจดีแล้วเดินออกมายังถังขยะข้าง ๆ หอพัก เอามือล้วงลงไปในถุงผ้าหยิบส้มผลโตที่ฉันเก็บได้จากพื้นข้างถนนออกมา จ้องมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนใจ

"ขอโทษนะ ส้มจ๋า เราคงมีวาสนาต่อกันแค่นี้ฉันรู้ว่าแกอยากช่วยฉัน ขอบใจนะ ถึงฉันจะไม่กินแต่ฉันจะไม่ทิ้งแกลงในถังขยะหรอก วางไว้แถวนี้แหละ เดี๋ยวก็คงมีสักคนเอาแกไปกิน แกคงไม่ทันได้เน่าหรอก"

อะไรไม่รู้ดลใจให้ฉันพูดกับส้ม บ้าบอไปแล้ว นี่ฉันหิวจนเลอะเลือนพอมีของกินให้ลาภปากฉันก็ดีใจจนเป็นบ้า

ฉันส่ายหัวให้กับความบ้าบอของตัวเองวางส้มผลใหญ่ในมือลงพื้นข้างถังขยะตรงที่ฉันคิดว่าน่าจะเปรอะน้อยที่สุด แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หันหลังกลับเดินเข้าหอพักไปโดยไม่สนใจส้มผลนั้นอีกเลย

 

 

 

 

คืนนั้น ในขณะที่ฉันกำลังหลับสนิทในห้องนอนรูหนูที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสองติดกับห้องส้วม ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงบางอย่างดังกุกกักออกมาจากห้องข้าง ๆ ที่อยู่ติดกัน หอพักสตรีราคาถูกผนังมันบางมากมีเพียงกระดานไม้อัดตีเป็นผนังกั้นเท่านั้น ฉันงัวเงียตื่นเงี่ยหูฟังว่าเสียงอะไร

"อื้ออออ บะ..แบงค์ ซี้ดดด อื้อ..เค้าเสียววว"

"แฮ่ก อื่อ อือออ อ่าสส"

"แบงค์ฮิ่อออ ซี้ดด กินเค้าเบา ๆ สิคะ อื้ออ อูยย"

กึก ๆ ๆ ๆ ตึ่ก ๆ ๆ ๆ 

"ซี้ดดดด อ่า อ่า อื้ออออ เค้าเสียววว แบงค์ อร๊าาาา"

 

เสียงร้องครวญครางซ่านสยิวของผู้หญิงที่ดังลอดออกมาพร้อมเสียงเตียงเหล็กที่กระแทกผนังดังกึก ๆ ๆ แม้จะดูออกว่าผู้หญิงคนนั้นพยายามจะกลั้นเสียงครางเอาไว้แค่ไหน แต่มันก็ยังดังพอให้ได้ยินชัดเจนอยู่ดี ทำให้ฉันต้องเอาหมอนที่หนุนอยู่มาอุดหูทั้งสองข้างไว้แน่น ๆ แล้วดึงผ้าห่มคลุมมิดหัว

 

"ฉิบหายเอ๊ย!! ไอ้ทอมแบงค์พาผู้หญิงมานอนอีกแล้ว จะไม่ว่างเว้นสักคืนเลยรึไง มันจะขยันเอาอะไรนักหนา พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปทำวันแรกด้วย โว้ย!!! รีบ ๆ เยกันให้เสร็จ ๆ สักทีคนจะนอน"

ฉันได้แต่กัดฟันก่นด่าอยู่ในใจ ไม่อาจส่งเสียงออกไปหรือทำอะไรเพื่อเป็นสัญญาณให้ห้องข้าง ๆ รู้ตัวว่าฉันได้ยิน เพราะนึกกระดากหากต่อไปต้องเจอหน้ากันกับไอ้แบงค์ทอมหล่อข้างห้องอาจจะอายจนมองหน้ากันไม่ติดก็ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้คนทั้งคู่ร่วมรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงส่งเสียงครวญครางต่อไปโดยที่ฉันเองทำได้เพียงแค่อุดหูเอาไว้ให้ได้ยินเสียงให้เบาที่สุดก็พอ

สาวโสดบริสุทธิ์อย่างฉันไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาก่อน มีเพียงนิ้วเย็น ๆ ของตัวเองที่เคยส่งให้ตัวฉันเองขึ้นสวรรค์มาบ้างเท่านั้น อายุก็ 20 ปีแล้วพอจะรู้เดียงสาว่าต้องทำเช่นไรเวลาที่เกิดอารมณ์อย่างนั้น ส่วนเรื่องมีแฟนมันไม่เคยอยู่ในหัวของฉันเลย เด็กบ้านนอกหน้าจืดสนิทอย่างฉันตั้งแต่เด็กยันโตไม่เคยมีใครมาจีบและไม่คิดที่จะชอบใครด้วย วัน ๆ แค่ต้องดิ้นรนคิดขวนขวายว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินฉันก็ท้อมากพอแล้ว คำว่ามีผัวสำหรับฉันคือมีผัวแค่ในฝันเท่านั้น

ใช่ ฉันเคยฝันและจินตนาการว่ากำลังร่วมรักกับใครสักคนหนึ่งบ่อยครั้ง แต่คนในฝันนั้นฉันไม่เคยเห็นหน้าเลยเห็นเพียงร่างกายของเขา

และที่แปลกไปยิ่งกว่า ฉันเคยฝันว่ากำลังเมคเลิฟกับผู้หญิงด้วยกันในบางครั้งเหมือนกัน ยังเคยคิดว่าฉันเป็นเลสเบี้ยนเหรอ นี่ฉันชอบผู้หญิงอย่างนั้นหรือ 

"โถ..อินัท ตั้งแต่เกิดมึงยังไม่เคยชอบใครเลยจ้า ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย นอกจากคริส แฮมเวิร์ธ กับโรเบิร์ต แพตติสันที่มึงเคยจินตนาการเอาเองว่าได้เย_กับเขา" เสียงของฉันอีกคนตะโกนดังก้องอยู่ในหัว ฉันจึงเถียงย้อนกลับไป

"ก็สองคนนั้นเป็นผู้ชายไง ฉันชอบเขาแปลว่าฉันชอบผู้ชายสิไม่ใช่ผู้หญิง"

"แต่มึงเคยฝันว่าเยกับผู้หญิงด้วยเหมือนกัน" ฉันอีกคนยังส่งเสียงหยาบคายสะท้อนกลับมา ซึ่งคราวนี้ฉันได้แต่เงียบแล้วคิดตาม

"นิ่งเลยดิมึง ทีงี้ละเถียงไม่ออก"

"ไม่ได้นิ่ง แต่กำลังใช้ความคิด ฉันอาจจะได้ยินเสียงแบงค์มันเอากับผู้หญิงบ่อย ๆ จนหลอนแล้วเผลอเอามาฝันก็ได้"

ฉันเถียงย้อนกลับไปแต่ไม่ทันขาดคำเสียงผู้หญิงจากห้องข้าง ๆ ก็ร้องครวญครางดังมาอีกแล้ว

"ซี้ดดด อ๊ะ อ่ะ อ่า อ๊า อื้อออออ  อื้อออ แบงค์ อ๊าสสสส"

พร้อมกับเสียงเตียงที่กระแทกตึง ๆ ๆ ถี่รัว ๆ ตามมาอีกระลอก ทำให้ฉันหยุดทะเลาะกับตัวเองทันทีแล้วหันไปสาปแช่งก่นด่าคนข้างห้องแทนด้วยความหงุดหงิดโมโห

 

แม่ง!! อิทอมแบงค์ ฮึ่ย!!! มึงไปหิวอะไรกันมาจากไหนวะ จะเย_กันทั้งคืนเลยรึไง อิห่า!!!

 

 

 

 

 

 

ติ๊ด ๆ ๆ ๆ

เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เวลาตี 05.40 น. ปลุกฉันให้ลุกจากที่นอน หลังจากที่เพิ่งข่มตาหลับไปได้เพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้นเพราะพายุพิศวาสจากห้องทอมแบงค์ที่ซัดกระหน่ำจนสะเทือนไปทั้งชั้นสอง ฉันมั่นใจนะว่าห้องอื่นก็น่าจะได้ยินเหมือนกันแต่ในเมื่อไม่มีใครออกมาเทคแอคชั่นใด ๆ ก็ปล่อยกันไปเลยตามเลย

ฉันงัวเงียรีบกดปิดนาฬิกาปลุกลุกขึ้นเปิดไฟ แล้วคว้าผ้าขนหนูกับตะกร้าใส่อุปกรณ์อาบน้ำวิ่งเข้าห้องน้ำรวมของหอพักทันที ชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้คนที่ตื่นก่อนจะได้ห้องน้ำที่ดีที่สุดไปใช้ ฉันวิ่งเข้าไปอาบน้ำแปรงฟันลวก ๆ ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลาฉันคำนวณไว้แล้วเวลาในการอาบน้ำแต่งตัวบวกกับการเดินออกจากหอพักไปยังร้านสะดวกซื้อสาขาที่ฉันต้องทำงาน ในระยะทาง 2 km.ฉันน่าจะไปถึงก่อน 6โมงครึ่งทันเข้างานพอดี

ฉันรีบจัดการตัวเองอย่างเร็วจี๋ในเวลาสั้น ๆ คว้าเอาถุงผลไม้ที่พี่บีแบ่งไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากรู้ว่าฉันได้งานทำแล้ว บอกว่าให้ฉันเอาไปกินที่ทำงานด้วย ฉันหยิบส้มจากในถุงมาลูกหนึ่งปอกเปลือกแกะกินขณะวิ่งจากชั้นสองลงมาหน้าหอ เวลานี้ยังเช้าอยู่มากเพิ่งจะหกโมงนิด ๆ ยังไม่ทันสว่างดีด้วยซ้ำ พอฉันวิ่งมาถึงถังขยะด้านข้างหอพักตั้งใจจะเหวี่ยงเปลือกส้มทิ้งลงถังแต่พลันสายตาก็สะดุดเอากับส้มผลโตที่ฉันวางทิ้งไว้เมื่อคืน 

"เอ้า!! ยังอยู่อีกเหรอ นึกว่ามีหนูหรือคนจรจัดมาเอาไปกินแล้วซะอีก" 

ฉันนึกในใจแต่ก็แค่นั้นไม่ได้สนใจมันอีก เพราะฉันใจจดจ่ออยู่กับการเริ่มทำงานวันแรกไม่อยากไปสาย และตื่นเต้นมากไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรที่ในทำงานบ้าง นี่เป็นการทำงานจริงจังครั้งแรกในชีวิตของฉัน ก้าวแรกในการเติบโตหาเลี้ยงตัวเอง สองขาเร่งก้าวออกกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามถนนในซอยแคบ ๆ อนาคตของฉันมันรออยู่ข้างหน้า อนาคตที่จะพาฉันให้หลุดพ้นจากความอดอยากหิวโหย

โดยไม่รู้เลยว่าส้มผลโตที่เก็บมาวางทิ้งไว้ข้างถังขยะนั้นมันเปลี่ยนสภาพจากส้มสุกลูกโตกลายเป็นส้มเน่าขึ้นรามีหนอนชอนไชแค่ในพริบตาเดียวเท่านั้น...

 

 

 

 

 

oooooooooo

 

#กลางวันสีดำ

 

อ่านให้สนุกนะคะทุกคน