สามวันต่อมา

แม้ว่าการแข่งงานวิชาการของโรงเรียนจะเพิ่งจบไป แต่กิจกรรมใหม่ก็ได้เข้ามาอย่างไม่ได้ให้นักเรียนได้หยุดพักหายใจ แต่ก็มีนักเรียนหลายคนตั้งตารองานๆ นี้ นั่นคืองานที่ในหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียวอย่างงานกีฬาสี

ก่อนที่วันแข่งพาเหรดและแสตนด์เชียร์จะมาถึง การแข่งขันกีฬาเช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน วอลเล่ย์บอล ตะกร้อ และอื่นๆ จะทำการแข่งขันก่อน สีที่ต้องแข่งกันมีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดง สีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีม่วง และสีชมพู โดยสีของแต่ละห้องจะมาจากการจับฉลากของหัวหน้าห้องตั้งแต่ต้นเทอม

ในปีนี้ ม.4 ห้อง 2 ได้อยู่สีแดง ในขณะที่ห้อง 5 ได้สีฟ้า

“ปีนี้ฉันก็ได้อยู่สีแดงอีกแล้ว ไชโย!”

“นายก็ได้อยู่สีแดงทุกปีนั่นแหละ” สิตางค์มองคาลวินที่ชูมือดีใจราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่

“ที่นี่จับฉลากเปลี่ยนสีทุกปีเลยเหรอ”

“ใช่แล้ว แล้วคาลก็ได้อยู่สีแดงตลอด” ฮันนาห์ตอบคำถามของลิลิธ

“สีแดงกับคนร้อนแรงอย่างฉันเป็นของคู่กัน ก็เหมือนกับความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่ว่ายังไงแยกกันไม่ขาด”

“ฉันว่าน่าจะแค่บังเอิญมากกว่านะ”

“ไม่ก็ติดสินบนหัวหน้าห้องแหง”

แม้จะโดนเพียงดาวขัดหรือไตรนินทาระยะเผาขน แต่คนที่หลงใหลในสีแดงก็ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย

“ว่าแต่เรื่องสีเนี่ย ที่โรงเรียนเก่าของลิลิธเหมือนกันเหรอ” ฮันนาห์หันมาถามคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่อย่างอยากรู้

“ไม่เหมือนนะ” ใบหน้าเล็กเอียงคอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “โรงเรียนเก่าโรงเรียนเป็นคนเลือกสีให้ แล้วสีก็มีแค่สีแดง สีฟ้า สีเขียว แล้วก็สีเหลือง 4 สี”

“ไม่เหมือนกันจริงด้วย”

“แล้วสีจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจนกว่าจะขึ้นม.ปลาย”

“เดี๋ยวก่อนนะ หมายความว่า ม.1 สีอะไรก็จะสีนั้นไปจนกว่าจะจบ ม.3 เลยเหรอ” ฮันนาห์คิดตาม

“อืม”

“แล้วถ้าสีตอนม.ปลายดันบังเอิญเหมือนกับตอนม.ต้นล่ะ?”

“ก็สีนั้นไปจนจบ ม.6”

ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ หัวหน้าห้องก็พูดถึงงานกีฬาที่ ม.4 ต้องดูแลขบวนพาเหรด รวมไปถึงการแข่งกีฬาต่างๆ จากนั้นทั้งห้องก็เริ่มวุ่นวายเมื่อมีทั้งคนที่เสนอตัวจะเป็นนักกีฬา คนที่อาสาวาดรูปทำงานด้านศิลปะ และคนอื่นๆ ที่มองหาสิ่งที่ตัวเองพอจะช่วยได้

คาลและไตรลงชื่อเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล เพียงดาว สิตางค์ และฮันนาห์รับหน้าที่ดูแลแผ่นป้ายที่จะแสดงในขบวนพาเหรด ในขณะที่คนอื่นๆ ได้รับมอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ส่วนไหน

“ลิลิธทำหน้าที่อะไรเหรอ”

“ฉันยังไม่รู้เลย”

“มาทำป้ายกับพวกเราไหม” ฮันนาห์ชวนเข้ากลุ่ม แต่ลิลิธยังคงมีสีหน้ากังวล

“ฉันวาดรูปไม่เก่งนะ ระบายสีไม่สวยด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ศิลปะมันมีคำว่าสวยหรือไม่สวยด้วยหรือไง” สิตางค์เอ่ย

“มาพยายามด้วยกันนะ ลิลิธ”

“ถ้าทุกคนว่าอย่างนั้น.. ก็ได้”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว สี่สาวก็นั่งล้อมวงและเริ่มปรึกษากันถึงงานที่จะทำ แต่แทนที่จะคุยกันอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าของทุกคนกลับมีรอยยิ้ม บรรยากาศสบายๆ แผ่ออกมาจนคนมองสัมผัสได้

“คาล ไอ้คุณคาลวิน!”

“โอ๊ย!! ทำบ้าอะไรของนายวะไตร?! เรียกเฉยๆ ก็ได้เถอะ” คนที่จู่ๆ ก็ถูกเพื่อนเขกหัวโวยวาย

“ก็นายเอาแต่เหม่อ ไม่ฟังที่อชิพูด”

“ฉันฟังอยู่เหอะ”

ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเถียงข้างๆ คูๆ แต่ไตรก็ปล่อยผ่านอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วเมื่อกี้นายมองอะไร”

“ไม่ได้มองอะไรสักหน่อย”

“ไม่ นายมอง”

“ก็บอกว่าไม่ได้มองไง! นายจะถามอะไรนักหนา เอาแต่ถามนั่นนี่อยู่ได้ ไม่ฟังที่อชิพูดหรือไง” คนที่ถูกถามเซ้าซี้เปลี่ยนเรื่อง

แม้จะแปลกใจกับท่าทีของคาลวิน แต่ไตรก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวมองไปยังทิศทางที่เพื่อนของตนมองก่อนหน้า ตรงนั้นมีสี่สาวในกลุ่มกำลังนั่งจับกลุ่มคุยงานกันอยู่

น่าสนใจแฮะ

ว่าแต่.. เมื่อกี้คาลวินมองใครกัน

 

การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ เริ่มทยอยรู้ผลการแข่ง และวันนี้ก็มาถึงเป็นของการแข่งรอบชนะเลิศบาสเกตบอลชายม.ปลาย ระหว่างสีแดงและสีฟ้า ซึ่งก็หมายความว่าคาลวินและไตรกับเร็นต้องมาแข่งกันเอง

การแข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือด เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร อีกทั้งด้วยรูปร่าง ขนาดตัว และส่วนสูงของคาลวิน ไตร และเร็น ที่แม้จะยังอายุเพียงแค่ 16 ปี แต่ก็สูงเกือบ 180 เซนติเมตร ทำให้เหล่าผู้ชมจับตามองทั้งสามคนเป็นพิเศษ

แต่แม้ว่าลักษณะทางกายภาพภายนอกจะดูใกล้เคียงกันอย่างไร การแข่งขันย่อมต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะ ด้วยการเล่นบาสหลังเลิกเรียนทุกวัน รวมถึงแวะไปเล่นที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน ทำให้ทักษะทางด้านกีฬา การเคลื่อนไหว ความคล่องตัวของคาลวินเหนือชั้นกว่า

หลังจากผลัดกันรุกผลัดกันรับตลอดเกมการแข่งขัน ชัยชนะก็ตกเป็นของสีแดง โดยวินาทีสุดท้ายก่อนเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งจะดังขึ้น คาลวินก็จัดการยัดลูกบาสลงห่วงด้วยการดังค์ได้อย่างสวยงาม

“ไชโย! เป็นยังไงลูกดังค์ของฉัน สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ”

“อชิส่งสวยมาก”

“ไตรก็กันได้ดีเหมือนกัน”

“ก็แค่ฟลุ๊คไม่ใช่หรือไง”

“เฮ้ย! พวกนายสนใจกันหน่อยดิเว้ย!! แล้วเมื่อกี้ใครบอกฟลุ๊คฟะ?! นี่ฉันซ้อมมาทั้งเทอม ซ้อมมาตั้งแต่ม.ต้นเลยนะ” คนที่ควรจะเป็นดาวเด่นโวยเมื่อโดนเพื่อนร่วมทีมเมินอย่างสิ้นเชิง ท่าทางกระฟัดกระเฟียด เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมทีมและคนดูไม่น้อย

เมื่อจับมือแสดงน้ำใจนักกีฬากับทีมตรงข้ามแล้ว เหล่านักกีฬาก็ทยอยเดินออกจากสนาม ซึ่งเหล่าเพื่อนที่มาเชียร์ก็ไม่รอช้าที่จะเข้ามาแสดงความยินดีกับผู้ชนะ

“ทั้งสองคนสุดยอด อชิกับพวกพี่ๆ ม.5 เองก็เก่งมากเลย” ฮันนาห์เอ่ยชมเพื่อนในกลุ่มและคนในทีม

“ลูกสุดท้ายของคาลวินก็เท่มาก”

“เพียงดาว ชมแบบนั้นเดี๋ยวหมอนี่ก็ได้ตัวลอยกันหมดหรอก” เพียงดาวที่ชมลูกทำคะแนนสุดท้ายของคาลวิน แต่ก็โดนสิตางค์ขัดจนคนถูกชมขยี้หัวกัดปากอย่างเจ็บใจ

ในตอนที่ทุกคนต่างพากันหัวเราะอยู่นั้น สายตาของคาลวินก็มองเลยไปยังด้านหลังสามสาว

ลิลิธยืนอยู่ตรงนั้น

แม้เธอจะไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือเอ่ยชม แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้ก็มากมายพอจะทำให้คนที่ได้เห็นดีใจเป็นอย่างมาก

รอยยิ้มกว้างที่ไม่ใช่การแย้มยิ้มน้อยๆ เหมือนทุกครั้ง

คาลวินจึงยิ้มจนตาหยีพลางยกนิ้วโป้งกลับไป

ชั่วขณะหนึ่ง ท่ามกลางผู้คนมากมาก พวกเขากลับราวกับมองเห็นพวกคนตรงหน้า เสียงดังพูดคุยที่ดังจากรอบทิศทางก็คล้ายกับเงียบลง

ราวกับ ณ ตอนนี้ ในที่แห่งนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเ

 

ที่อีกฝั่งของสนาม

เร็นกำมือทั้งสองข้างแน่นจนท่อนแขนปรากฎเส้นเลือดอย่างชัดเจน

“แข่งกันก็ต้องมีแพ้มีชนะเป็นธรรมดา อย่าคิดมากเลยน่า”

“ใช่ๆ นายเองก็ทำเต็มที่แล้วด้วย”

เพื่อนร่วมทีมพากันพูดปลอบใจ เมื่อคิดว่าเร็นเจ็บใจที่แพ้ให้กับคู่แข่ง

เร็นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่คนในทีมพูดถูก

เขากำลังรู้สึกแพ้

เหมือนเขากำลังแพ้ให้กับเพื่อนอย่างคาลวิน

ราวกับตัวเองกำลังสูญเสียบางอย่างไป เพียงเพราะภาพที่ได้เห็น ภาพที่คาลวินและลิลิธส่งยิ้มให้กัน

และไม่ใช่เพียงแค่เร็นที่รู้สึกเช่นนั้น

ที่ข้างกายของคาลวิน เพื่อนสาวในกลุ่มที่เตรียมจะยื่นผ้าขนหนูให้คนที่เพิ่งเล่นกีฬามาเหนื่อยๆ ได้ซับเหงื่อก็ชะงัก ก่อนส่งผ้าขนหนูไปให้ไตรที่อยู่ไม่ไกลแทน

เธอก็เป็นอีกคนที่มองเห็นทุกอย่างและรู้สึกไม่ต่างกัน

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 

แวบมาลงตอนดึกก่อนนอนอีกตอนค่ะ ^^