หลายสัปดาห์ต่อมา

หลังจากปรับตัวเข้ากับเพื่อนในห้องเรียนได้แล้ว ตอนนี้ลิลิธก็สนิทกับฮันนาห์ เพียงดาว และสิตางค์ นอกจากเพื่อนสาวทั้งสาม ก็มีเพื่อนชายในห้องอีกสองคนอย่างคาลวินและไตรที่มักจะไปทานกลางวันด้วยกันบ่อยๆ แน่นอนว่าเร็นที่ถึงแม้จะอยู่กันคนละห้อง แต่ก็จะมาร่วมแจมด้วยเสมอ

และนั่นทำให้พวกเขาทั้ง 7 คน กลายเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน

“ในที่สุดก็หมดคาบสักที”

“จะได้กลับบ้านแล้ว”

ทันทีที่เสียงออดที่บ่งบอกว่าการเรียนของวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว นักเรียนทุกคนก็พากันเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้อง บ้างก็ยืดเส้นยืดสาย บ้างก็นอนฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างหมดแรง

และลิลิธก็เป็นคนหนึ่งในคนที่ทำพฤติกรรมอย่างหลัง

“ลิลิธเป็นแบบนี้ตลอดเลย”

“ก็คงเหนื่อยแหละ ฉันเองยังต้องพยายามบังคับไม่ให้หนังตาปิดเลย นี่เกือบจะเอาเทปกาวมาแปะไว้แบบทอมแอนด์เจอร์รี่อยู่แล้ว”

“นั่นก็เว่อร์ไป” สิตางค์ขัดคาลวิน

“ว่าแต่ใครเป็นคนจัดให้คาบสุดท้ายของวันศุกร์เป็นวิชาภาษาไทยกันเนี่ย มันยิ่งทำให้เด็กอยากนอนมากกว่าอยากเรียนนะ”

“นายก็อยากนอนทุกคาบทุกเวลาอยู่แล้วนั่นแหละ” คราวนี้ฮันนาห์เป็นพูด

“ก็ฉันไม่ชอบนี่นา ถ้าคาบสุดท้ายเป็นวิชาพละก็ว่าไปอย่าง ว่าแล้วก็อยากเล่นบาสขึ้นมาเลย” คนที่ยังดูไร้พลังงานในตอนแรกกลับมาคึกเพียงแค่นึกถึงกีฬาสุดโปรด “เฮ้ย ไตร เลิกเรียนแล้วไปเล่นบาสกัน ชวนห้องอื่นกับพวกรุ่นพี่ด้วย”

“โทษทีนะ แต่วันนี้ฉันไม่ว่าง”

“ไรว้า”

สามสาวเลิกสนใจสองหนุ่มแล้วเปลี่ยนใจมาช่วยกันปลุกคนที่นอนนิ่งไม่ขยับตั้งแต่หมดคาบเรียนจนถึงตอนนี้แทน

“ลิลิธตื่นก่อน ไม่เก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเหรอ”

“ให้เร็นรอนาน เดี๋ยวหมอนั่นก็บ่นเอาหรอก”

“อื้อ”

แม้จะรู้สึกตัวแล้วแต่คนขี้เซาก็ยังอยู่ในท่าเดิม ซ้ำยังขยับตัวราวกับจะหนีเพื่อนๆ ที่รบกวนเวลาพักผ่อนของตน

“แบบนี้น่าจะใช้เวลานานแน่เลย”

“เอายังไงดีล่ะ”

“ฉันก็ต้องรีบกลับด้วยสิ”

ในตอนที่สามสาวกำลังกลุ้มใจอยู่นั้น คาลวินที่ตื๊อไตรไม่สำเร็จแถมอีกฝ่ายยังชิ่งไปแล้วเอ่ย “พวกเธอกลับไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวลิลิธฉันจะดูให้เอง”

“คาลวินเนี่ยนะ!?”

“จะดีเหรอ?”

“ไว้ใจได้ไหมเนี่ย?”

“นี่พวกเธอมองฉันเป็นคนยังไงกันน่ะห๊ะ?!” คนที่หวังดีแต่กลับไม่ได้รับความไว้ใจโวย

“เพราะพวกฉันไม่ว่างหรอก ยังไงก็ฝากนายด้วยแล้วกัน แล้วก็ห้ามแกล้งลิลิธตอนที่พวกเราไม่อยู่นะ”

หลังจากสแกนเพื่อนชายอยู่หลายสองนาน รวมถึงปรึกษากันทางสายตาอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดสิตางค์ก็ยอมฝากลิลิธไว้กับคาลวิน แม้จะยังระแวงอีกฝ่ายก็ตาม

“ฉันจะไปแกล้งยัยนั่นทำไมกันเล่า?!”

“รบกวนด้วยนะคาล แล้วเจอกันวันจันทร์”

เมื่อฮันนาห์ เพียงดาว และสิตางค์ไปแล้ว ทั้งห้องก็เหลือเพียงแค่คาลวินและลิลิธเพียงสองคน เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะอยากออกจากโรงเรียนให้เร็วที่สุดในเย็นวันศุกร์เช่นนี้

“ลิลิธ ตื่นได้แล้ว ขี้เซ้าไปแล้วนะเธอน่ะ”

คาลวินตรงไปเขย่าตัวเพื่อนสาวและก็สำเร็จ คนที่นอนฟุบกับโต๊ะอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ตื่นแล้ว

“กว่าจะตื่นได้นะเธอเนี่ย”

“มีอะไรเหรอ”

“อะไร? ตอนนี้มันเลิกเรียนแล้ว แล้วคนอื่นเขาก็กลับบ้านกันหมดแล้วด้วย เหลือแค่เธอที่เอาแต่นอนนี่แหละ” อธิบายคนที่ดูงงๆ เพราะสมองประมวลผลไม่ทันจากการเพิ่งตื่นนอน “แล้วก็อย่าขยี้ตาแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็ได้ตาแดงกันพอดี”

ไม่ว่าเปล่า มือหนายังเอื้อมไปจับมือบางที่ยกขึ้นเตรียมจะขยี้ดวงตา

“หือ?”

“จะยังไงก็ตาม เธอไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยมาเก็บกระเป๋าแล้วกัน”

“อืม” คนที่ยังไม่ตื่นดีทำตามอย่างว่าง่าย

เมื่อร่างบางออกจากห้องไปแล้ว คาลวินก็ตะปบมือเข้าที่ตำแหน่งหัวใจที่ตอนนี้ทำงานหนักกว่าทุกวัน

ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เล่นบาสจนเหนื่อยหรือนั่งดูการแข่ง NBA ที่ลุ้นจนเหนื่อยแท้ๆ แต่ทำไมหัวใจกลับเต้นแรงอย่างนี้

เต้นโครมครามราวกับจะกระเด็นหลุดออกมาจากอก เหมือนกับวันนั้น

วันแรกที่ได้เป็นเพื่อนกันในโรงอาหารตอนนั้น

ขณะที่กำลังงุนงงกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง ก็ยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้น

มือข้างที่เพิ่งสัมผัสกับอีกฝ่ายเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสตัวลิลิธ ตอนแรกคิดว่าจะโดนปัดออกซะอีก

มือของยัยนั่นเล็กชะมัด แล้วก็นุ่มมากด้วย

 

“เร็นบอกว่าให้รอก่อน”

“ไอ้เจ้านั่น!”

เมื่อรออยู่ในห้องเรียนมาได้พักใหญ่ แต่เร็นกลับยังไม่มาที่ห้องเรียนเหมือนอย่างทุกวัน ลิลิธจึงส่งข้อความหาและได้รับคำตอบเป็นคำว่าขอโทษและบอกให้รอกัน สาเหตุก็มาจากคุณครูเรียกเข้าไปคุยหลังเลิกเรียนเรื่องที่เขาเป็นตัวแทนนักเรียนแข่งขันงานวิชาการตอบคำถามภาษาอังกฤษ

“จะทำอะไรก็ต้องบอกกันก่อนหน่อยไหม”

“มันช่วยไม่ได้นี่นา คุณครูก็เรียกไปคุยกะทันหันด้วย”

“แล้วเธอจะเอาไง”

“ก็ต้องรอ”

คาลวินที่เห็นร่างบางกำลังจะกลับไปยังโต๊ะของตัวเองก็รู้สึกไม่ชอบใจอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร

“นี่ แล้วเธอจะนั่งรออยู่ในนี้คนเดียวน่ะเหรอ” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบกลับก็พูดต่อ “ทั้งที่ไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะคุยกับคุณครูเสร็จตอนไหนเนี่ยนะ?!”

“ก็เร็นบอกให้รอ”

“เธอก็ทำตอบที่เจ้านั่นบอก”

“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง?”

ไม่บ่อยที่ลิลิธจะแสดงออกทางสีหน้า แต่คิ้วโก่งที่ขมวดเข้าหากัน แค่นั้นก็บ่งบอกได้ดีว่าเธอเริ่มไม่พอใจคนที่เอาแต่เซ้าซี้ไม่หยุด

“ไปกับฉัน”

“ไปไหน?”

“สนามบาส” ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองและอีกคนมาถือไว้ “เจ้านั่นบอกให้รอ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องรอที่ห้องเรียนสักหน่อย อยู่แต่ในนี้เดี๋ยวก็เฉาตายกันพอดี”

 

แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่ตอนนี้ลิลิธก็มานั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบาส ในขณะที่ตัวคนชวนกึ่งบังคับเข้าไปเล่นกับเพื่อนในสนาม

ดวงตาสีดำขวับราวกับตาแมวมองคนที่วิ่งไปมารอบสนามติดจะเคืองอยู่ไม่น้อย

คาลวินก็แค่อยากมาเล่นบาส แต่ไม่อยากมาคนเดียวเลยลากเธอมาด้วย พาคนที่ไม่ได้ชอบดูกีฬามาอยู่ข้างสนาม คิดอะไรของเขากัน? มาบอกว่าเธอจะเฉาตาย คนที่จะเฉาก่อนใครมันคือเขาต่างหาก

ในเรื่องกฏหรือกติกาการเล่นบาสลิลิธก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก เธอรู้แค่ระดับพื้นฐานอย่างต้องทำให้ลูกบาสลงห่วงถึงจะได้คะแนน ทีมไหนได้คะแนนมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นคือศูนย์

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจที่อีกคนทำพาเธอมาที่นี่ทำไม แต่เมื่อมองดูคน 10 คน บนสนามวิ่งไปมา ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ในสนามเพื่อทำแต้มก็แก้เบื่อได้ไม่น้อย ยิ่งโดยเฉพาะที่โยนเพื่อให้ลูกบาสลงห่วงก็ชวนให้คนที่มองอยู่ข้างสนามลุ้นตาม

นอกเหนือจากนั้น สีหน้า ท่าทาง รวมไปถึงแววตาของเพื่อนร่วมห้องก็ดูต่างไปจากที่ทุกที

ใบหน้าของคาลวินที่ตั้งใจ จริงจัง มุ่งมั่น และสนุกสนานกับการเล่นในสนาม เป็นสิ่งลิลิธเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

เป็นเพราะปกติเธอนั่งอยู่หน้าเขาแถวหนึ่งหรือเปล่านะ จึงไม่เคยได้เห็นมุมนี้ของเขา แล้วในตอนปกติคาลวินทำหน้าแบบไหนกัน?

ระหว่างที่กำลังนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว เสียงจากทั้งในและนอกสนามก็ดังขึ้น

“เฮ้ย! เธอตรงนั้น ระวัง!”

“หลบเร็ว!” ”

ลิลิธหันไปตามทางที่ได้ยินเสียงก็พบกับลูกบาสที่กำลังลอยมาทางที่เธอนั่งอยู่ ถึงจะได้ยินและรู้ว่าต้องหลบ แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ เมื่อคิดว่าหลบไม่พ้นแน่ๆ แล้ว จึงทำได้เพียงแค่หลับตาแน่น เกร็งตัวรับความเจ็บที่จะตามมา

ในตอนที่เปลือกตากำลังจะปิดลง ก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งมาขว้างและรับลูกบาสที่ลอยมาอย่างแรงได้ทันก่อนที่มันจะกระแทกใส่หน้าเธอ

“เกือบไปแล้ว” คนที่เข้ามารับลูกบาสได้อย่างหวุดหวิดถอนหายใจ

เป็นคาลวินที่กระโดดเข้ามาช่วยและถามไถ่คนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งไปแล้วอย่างเป็นห่วง “ขอโทษนะลิลิธ เธอไม่เป็นไรนะ”

“อะ อืม”

“โอเคแน่นะ?”

“ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะ”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัว คาลวินก็กลับเข้าไปในสนามบาสต่อ โดยไม่ลืมเตือนให้ทุกคนระวังให้มาก ซึ่งเหล่าผู้เล่นที่เล่นกันอย่างไม่ออมแรงก่อนหน้าจนทำให้ลูกบาสลอยกระเด็นออกมานอกสนาม หันมาขอโทษขอโพยลิลิธ

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เรื่องที่เกิดย่อมเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดและอยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว

เมื่อเคลียร์กันได้ เหล่าเด็กหนุ่มก็กลับมาเล่นบาสกันต่อ ทุกอย่างดูปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็เพียงเด็กสาวที่นั่งคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อกี้ หากคาลวินมาไม่ทัน เธอต้องเจ็บตัวไปแล้วแน่ๆ

ใบหน้าที่ก้มมองพื้นเงยขึ้นมองคนที่เข้ามาช่วยตัวเอง

เขาอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางผู้คนที่ขยับและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เธอกลับหาเขาเจอได้ในทันที

มองจากด้านหลังแบบนี้แล้ว ลิลิธถึงเพิ่งรู้ว่าแผ่นหลังของคาลวินกว้างแค่ไหน

มือเล็กยกขึ้นทาบทับอกด้านซ้าย ตำแหน่งที่ก้อนเนื้อกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ

ความรู้สึกอุ่นวาบสายหนึ่งเกิดขึ้นกลางใจ

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 

อัพเพิ่มอีกตอน ฉลองการลงวันแรก

เริ่มมีคนหวั่นไหวแล้ว อิอิ

บีริน