“สรุปคือลิลิธเคยโดนพวกโรคจิตคุกคาม”

หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับคาลวินแล้ว พวกเขาก็ย้ายกันไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้หน้าอาคารเรียน ก่อนที่ลิลิธก็เป็นคนเล่าประสบการณ์ที่เธอได้พบมาด้วยตัวเอง โดยมีเร็นคอยเสริม

เรื่องราวที่ไม่น่าจดจำที่เคยเจอตั้งแต่ประถมจนถึงม.ต้น ในตอนแรกที่มีผู้ใหญ่เข้ามาชวนคุยด้วย เธอก็เพียงแค่ตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แต่เมื่อเริ่มโตขึ้นก็รู้สึกไม่ปลอดภัย เหตุการณ์ที่หนักที่สุดคือก่อนที่เธอจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่เดือนก่อน

ตอนนั้นก็มีชายวัยฉกรรจ์สามคนเข้ามาพูดคุย ถึงจะพยายามเลี่ยงและเดินหนี แต่คนพวกนั้นก็ปิดทาง ในตอนที่กลัวจับใจก็ได้เร็นที่กำลังตามหาเธออยู่ช่วยเอาไว้

เขาจัดการซัดคนที่ตัวใหญ่และอายุมากกว่าจนพวกนั้นวิ่งหนีแทบไม่ทัน

แม้เร็นจะโกรธที่เธอเดินกลับบ้านคนเดียวโดยไม่รอ แต่ท่าทางราวถึงสีหน้าที่โกรธจัดนั้น ลิลิธเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ไอ้พวกนั้นเลวที่สุด!”

“แย่มาก”

“เออ! โคตรจะขยะสังคมเลย”

ทันทีที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด เหล่าเพื่อนใหม่ก็พร้อมใจกันด่าเหล่าพวกคนไม่ดีที่สร้างบาดแผลใจให้กับเพื่อนสาวคนใหม่

“โชคดีแล้วนะที่ลิลิธไม่เป็นอะไร” ฮันนาห์จับมือลิลิธทั้งที่ตัวเองก็น้ำตาคลอ

“สังคมสมัยนี้มันอันตรายขึ้นทุกวัน เธอก็อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกล่ะ” คาลวินเอ่ยเสียงเข้ม

ตัวเขาก็พอจะเข้าใจที่บางครั้งอีกฝ่ายอาจจะเดินทางคนเดียว เพราะคิดว่าสะดวกและเร็วกว่าที่จะมานั่งรอเพื่อนอย่างเร็น แต่เพราะโลกภายนอกอันตราย ยิ่งกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ยิ่งแล้วใหญ่

แม้จะบอกว่าดูแลตัวเองได้ยังไง แต่เราก็ไม่รู้ว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับเราตอนไหน กันไว้ก่อนย่อมต้องดีกว่าแก้

ถึงจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุก็ตาม

ลิลิธมองเจ้าของประโยคที่เอ่ยอย่างจริงใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเพื่อนสมัยเด็กที่มองมาอยู่ก่อน แล้วไล่สายตาไปยังคนอื่นๆ

ทำให้เร็นกับคนอื่นเป็นห่วงอีกแล้วสิ

“อืม เข้าใจแล้ว”

“ตอนไปกลับโรงเรียน เธอก็อยู่กับเร็น ส่วนตอนที่อยู่ในโรงเรียน พวกเราจะเป็นคนดูแลเธอเอง”

“คาล นายพูดเหมือนเป็นพ่อลิลิธเลย”

“พ่อเหรอ?”

“ก็เหมือนพวกพ่อห่วงลูกสาวน่ะ” ฮันนาห์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

“ฉันไม่ได้แก่แบบนั้นสักหน่อย”

“งั้นก็พวกคุณลุงที่เป็นห่วงหลานตัวน้อยๆ”

“ฮันนาห์!”

คาลวินโดนล้อจนหน้าเปลี่ยนสี แต่คนที่พูดล้ออย่างฮันนาห์กลับหัวเราะรั่วอย่างสนุกสนาน

“จะว่าไปโรงเรียนของพวกเราก็ปลอดภัยอยู่แล้วนะ” ไตรพูดขึ้นบ้าง “มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนนอกเข้ามาไม่ได้”

“แต่นักเรียนอย่างพวกเราก็แอบหนีออกนอกโรงเรียนไม่ได้”

“แอบปีนรั้วตอนที่มาสายไม่ได้เหมือนกัน”

“พวกนายนี่มันอนาคตภัยสังคมชัดๆ” สิตางค์ที่เห็นคาลวินและเร็นเข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยในทางที่ไม่ดีรีบกั้นสองหนุ่มออกห่างจากเพื่อนสาวของตนทันที

“อะไรกันเล่า ฉันก็แค่พูดเปรียบเหมือนไตรเองนะ ทำไมต้องมาว่ากันด้วย”

“ใช่! จะว่าก็ว่าคาลคนเดียวไปดิ ไม่เห็นต้องเหมารวมฉันไปด้วยเลย”

“อ้าวเฮ้ย! ไหงนายก็มาว่าฉันอีกคนล่ะเนี่ย”

“ก็นายเป็นเด็กไม่ดีเองนี่หว่า” เร็นยักไหล่ “คนดีๆ ที่ไหนเขาจะโดดเรียนกัน”

“โอ้โห ทีนายมาเรียนสายจนต้องแอบปีนรั้วเข้ามา นี่เด็กดีมากมั้ง”

“ฉันแค่ลองดูเฉยๆ ยังไม่ได้ทำจริง”

“มันก็เหมือนกันล่ะโว้ย”

จากคนที่เข้ากันได้ดีในตอนแรก กลับหันมาตีกันเองซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะให้เพื่อนคนอื่นได้ไม่น้อย รวมถึงเด็กสาวที่แม้จะแสดงออกทางสีหน้าไม่ค่อยเก่ง แต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนใบหน้า

รอยยิ้มที่ชวนให้คนมองใจกระตุก

 

“กลับบ้านกันดีๆ นะทั้งสองคน”

“พวกเธอก็ด้วยนะ”

“บ๊ายบายนะ ลิลิธ เร็น”

“เจอกันพรุ่งนี้”

โบกมือร่ำลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว ลิลิธและเร็นก็หมุนตัวแล้วเดินกลับบ้าน ระหว่างทางไม่มีประโยคสนทนาใดซึ่งเป็นกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติของทั้งสองคน

ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

“วันแรกที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง”

และหากจะพูดคุยกัน คนที่เริ่มบทสนทนาก่อนก็มักจะเป็นเร็นเสมอ

“ดีมากเลย” อมยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จัก “ทุกคนใจดีมาก”

“ดีแล้ว”

เห็นเพื่อนสมัยเด็กมีรอยยิ้ม เขาก็วางใจ

“แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเล่าเรื่องนั้นด้วยตัวเอง”

เดิมทีลิลิธก็เป็นคนที่พูดน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ได้เจอ ยิ่งทำให้เด็กสาวเงียบขรึมกว่าเด็กรุ่นเดียวกันขึ้นไปอีก

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำให้เธอไม่เปิดใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอดูเข้าถึงยากและมีเพื่อนน้อย

แต่การที่ลิลิธกล้าจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนที่เพิ่งเจอกันได้วันเดียว นั่นก็ทำให้เร็นทั้งโล่งและหนักใจในคราวเดียว

โล่งใจ ที่เธอไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง

หนักใจ ว่าหากเธอไปเจอใครที่คิดไม่ดีกับตัวเองและอาจจะใช้มันมาทำร้ายเธอ

ทั้งที่เป็นคนที่ดูปิดกั้น แต่กลับไว้ใจและเชื่อใจคนอื่นง่ายจนน่าเป็นห่วง

“ทุกคนเป็นคนดี”

นั่นสิ

อันนี้เขาเองก็เห็นด้วย

“โดยเฉพาะฮันนาห์กับคาล”

“ฮันนาห์น่ะฉันไม่เถียงหรอกนะ แต่คาลเนี่ย เรียกว่าดีแบบเพี้ยนๆ แปลกๆ ได้ไหม”

“แต่พวกนายก็ดูเข้ากันได้ดี”

“ตรงไหนกัน?!”

ลิลิธไม่ตอบ เพียงแต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น

รอยยิ้มที่เหมือนเจอเรื่องน่าขำ จนคนที่เพิ่งโวยวายเมื่อครู่เสมองไปทางอื่น

“อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ”

“แล้วพรุ่งนี้เธอก็อยากหนีออกมาก่อน รอฉันด้วย” เน้นย้ำเพื่อป้องกันการถูกทิ้งให้มาโรงเรียนคนเดียวอย่างวันนี้

“ถ้านายไม่ตื่นสาย”

“ไม่สายหรอกน่า”

เร็นตอบกลับราวกับขอไปที แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้บอก

ความรู้สึกในตอนที่ตัวเองตื่นสายและไม่เจออีกฝ่ายที่บ้าน ระหว่างที่รีบไปโรงเรียน เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน เป็นกังวลกลัวว่าเธอจะไปเจอพวกอันตพาลมารังแกระหว่างทาง ทั้งยังโกรธที่ตัวเองเหมือนจะละเลยเธอ

แม้จะไม่ใช่หน้าที่ แต่เขาก็ตัดสินใจและสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะดูแลและปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้น

เพราะลิลิธบริสุทธิ์ เขาจึงต้องคอยอยู่เคียงข้างไม่ว่าเธอจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 

เค้าเคยคิดว่าอยากแต่งแนวความสัมพันธ์โยงใยอิรุงตุงนังในกลุ่มเพื่อน

ใครอยู่ทีมไหนก็คอมเม้นบอกกันได้นะคะ

บีริน