ทางด้านคนที่ตกเป็นประเด็นร้อน แม้จะปฏิเสธไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่เพื่อนร่วมห้องก็ยังเอ่ยแซวไม่หยุด อาจเป็นเพราะคาลวินเป็นคนกว้างขวางหรืออาจเป็นเพราะลิลิธเป็นเด็กใหม่เพียงไม่กี่คนที่ย้ายเข้ามาเมื่อปีก่อนก็ไม่ทราบได้ ทั้งสองจึงเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย เพียงไม่นาน เพื่อนจากห้องอื่นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนก็เข้ามาร่วมวงถามไถ่ข่าวใหม่ที่ได้ยิน

และเพราะทนรำคาญไม่ไหว คาลวินจึงจับมือลิลิธก่อนจะพากันหนีออกมาจากสถานการณ์อันแสนวุ่นวาย

“สองคนนั้นหนีไปแล้ว”

“คาล นี่นายเล่นฉุดลิลิธกลางวันแสกๆ เลยเหรอ?!”

“เฮ้ยๆ ไหนมันหนีตามกันเลยนี่หว่า”

“ไม่ได้หนีโว้ย! เขาเรียกว่าถอยไปตั้งหลัก แล้วฉันก็ไม่ได้ฉุดหรือพาใครหนีมาด้วย!!”

แม้จะวิ่งหนีอยู่ แต่คาลวินก็ไม่ลืมหันกลับไปตอบกลับทุกประโยคที่ลอยเข้าหู และเพราะไม่รู้จะไปที่ไหน สุดท้ายเขาก็วิ่งจนมาถึงแหล่งกบดาน ที่มั่นสุดท้ายของตัวเอง หรือก็คือสนามบาสนั่นเอง

“เหนื่อยชะมัด เจ้าพวกนั้นคงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอกนะ” คาลวิลหายใจหอบ ขณะทรุดตัวลงนั่งข้างสนามบาส ก่อนจะเหลือบมองคนที่ตนพาวิ่งหนีมาด้วยกัน “ขอโทษทีนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันหมายถึงเรื่องที่คนในห้องเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็น อ่า เออ นั่นแหละ” พยายามพูดในสิ่งที่ต้องการจะสื่อ แต่ท้ายประโยคจะติดขัด

“ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาขอโทษสักหน่อย อีกอย่าง พวกนั้นก็คิดกันไปเอง”

“นะ นั่นสิ คงกะจะแกล้งฉันแล้วเอาเธอมาเอี่ยวด้วยแหง”

คาลวินหัวเราะ แต่ยังไม่ทันได้บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเขากับเพื่อนสาวในกลุ่มจะหายไป เสียงจากเพื่อนที่เล่นบาสด้วยกันก็ดังขึ้นเสียก่อน

“มาแล้วๆ พ่อคนดังของห้อง 2 มาแล้ว”

“ไอ้พี่คาล มาโคตรช้าเลย พี่ดูเวลาในมือถือไม่เป็นเหรอครับ”

“เฮ้ย! พูดซะฉันเป็นเพื่อนเล่นแกเลยนะ หัดความเคารพรุ่นพี่กันบ้างดิ” คาลวินหันไปตอบรุ่นน้องที่ทักทายกันด้วยประโยคแสนกวนประสาท

“เกิดก่อนแค่ปีเดียวก็ทำเป็นสั่งสอนกันเลยนะครับ ผมเพิ่งจะรู้ว่าพี่ก็บ้าระบบโซตัสกับเขาด้วย”

“ไอ้คริส” ไอ้เด็กเวร!

คริส รุ่นน้อง ม.4 และยังเป็นญาติห่างๆ กับคาลวิน ยืนยักคิ้วอย่างสนุกที่ได้ปั่นประสาทคนโตกว่าได้ ก็ใครใช้ให้คาลวินชอบทำเป็นวางมาด ข่มเขาตั้งแต่เด็กกันล่ะ คราวนี้ขอเขาเอาคืนบ้างแล้วกัน!

“สวัสดีครับพี่ลิลิธ ต้องอยู่กับคนบ้าอย่างไอ้พี่คาลคงเหนื่อยแย่เลยสินะครับ” คริสเมินคนที่หัวร้อนจนแทบจะพ่นไฟได้ หันไปทักลิลิธอย่างเป็นกันเอง

คริสและลิลิธรู้จักและได้พูดคุยกันอยู่หลายครั้ง และไม่ใช่แค่กับคริส แต่เรียกได้ว่าเพื่อนๆ รวมถึงรุ่นพี่และรุ่นน้องที่เล่นบาส ต่างรู้จักลิลิธกันทุกคน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คาลวินมักจะพาเธอมาดูเขาเล่นบาสหลังเลิกเรียนบ่อยๆ

“สวัสดีคริส สอบกลางภาคเป็นยังไงบ้าง”

“โหย อย่าถามคำถามที่มันทิ่มแทงใจกันแบบนั้นดิครับพี่”

“อา ขอโทษนะ”

คริสที่เห็นลิลิธตกใจจนทำหน้าไม่ถูก ก็รีบบอกว่าตัวเองล้อเล่นทันที แต่ถึงอย่างนั้น ลิลิธก็ยังมีสีหน้าเป็นกังวลจนคนชอบแกล้งเริ่มเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกเสียเอง

“ถ้างั้นผมไปเล่นบาสก่อนนะ” หาทางชิ่งให้ตัวเองได้แล้ว ก็รีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในสนามทันที

“ไอ้คริส”

“ยังไม่ทันจะเล่นกันก็เรียกจิกหัวกันแล้วเหรอพี่คาล อะไรของพี่เนี่ย”

“เมื่อกี้ คุยอะไรกับลิลิธ”

ท่าทาง น้ำเสียง รวมทั้งสายตาที่มองมา ทำให้คนถูกถามกระตุกยิ้ม “หืม? นั่นสิ คุยเรื่องอะไรกันน้า~”

“คริส”

“รู้แล้วๆ บอกก็ได้ จะบอกเดี๋ยวนี้แหละครับ” เมื่อถูกเรียกชื่อด้วยเสียงเข้มพร้อมกับรังสีชวนขนหัวลุก ท่าทีกวนๆ ก่อนหน้าหายวับไปทันที “ก็คุยกันเรื่องทั่วไป”

“เรื่องอะไร”

“พี่จะมาไล่บี้เอากับผมทำไมเนี่ย อยากรู้ก็ไปถามพี่ลิลิธเอาดิ” ถึงจะอยากกวนอีกฝ่ายต่อ แต่พอเจอแรงกดดันมากเข้า คริสก็ยอมแพ้ในที่สุด “พี่ลิลิธถามเรื่องผลสอบ”

“เออ ตกกี่วิชาล่ะ”

“โหดร้าย นี่ผมน้องพี่จริงป่ะเนี่ย?!”

“ถามโง่ๆ ก็ไม่จริงไง แกเป็นแค่ญาติ ห่างๆ” ไม่ลืมที่จะเน้นพยางค์สุดท้าย

“ผมอยากนับญาติกับพี่มากมั้ง” คริสสวนกลับทันควัน โดยไม่ลืมหย่อนระเบิดก่อนเริ่มเกม “ว่าแต่พี่คาล พี่ชอบพี่ลิลิธใช่ป่ะ?”

 

ทั้งที่เป็นการเล่นบาสกันเอาสนุก แต่คาลวินกลับจริงจัง จับลูกบาสยัดลงห่วงฝั่งตรงข้ามจนทิ้งแต้มห่างไม่เห็นฝุ่น

“คาลมันเกิดของขึ้นอะไรมาล่ะนั่น”

“คงรำคาญไอ้คริสนั่นแหละ เด็กบ้านี่มันกวนประสาทจะตาย”

“พวกพี่นินทากันระยะเผาขนไปหรือเปล่าเนี่ย? ผมก็อยู่ตรงนี้นะครับ” ตัวต้นเหตุที่ทำให้รุ่นพี่ร่วมทีมอารมณ์ขึ้น ว่าพลางยิ้มอย่างไร้เดียงสาราวกับตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

“พวกเราต้องมาวิ่งหอบแฮ่กๆ ยิ่งกว่าตอนแข่งกีฬาสีเพราะเอ็งนี่เอง”

“มานี่เลยไอ้แสบ”

“เหวอ ผมผิดไปแล้วคร้าบ”

บรรยากาศอันวุ่นวายที่คนในสนามบาสพากันวิ่งไล่จับคริสกันเป็นพัลวันมีอันต้องหยุดลงเพราะการมาของคนคนหนึ่ง

“เร็น” ลิลิธส่งเสียงเรียกเพื่อนวัยเด็ก

“โทษทีนะ รอนานหรือเปล่า”

“ไม่หรอก ทำเวรเสร็จแล้วเหรอ”

“อืม กลับกันเลยไหม”

เร็นไม่ได้ทักทายคนในสนามบาสอย่างเช่นทุกครั้ง เขาเลือกจะคุยกับเพื่อนวัยเด็กคนเดียว ลิลิธที่รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปก็รีบพยักหน้าและคว้ากระเป๋าลุกขึ้นเดินตามเพื่อนสมัยเด็กไปทันที

คล้อยหลังทั้งสองคน เหล่าคนในสนามก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคาลวินอย่างเป็นห่วง ก่อนที่ทุกสายตาจะพุ่งตรงไปยังคนที่สนิทและได้ชื่อว่าเป็นญาติอย่างคริส

จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วคริสผู้กลายเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวก็ต้องทำภารกิจนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนที่จะเดินไปเป้าหมายก็ไม่ลืมหันมาส่งเสียงกับเหล่าเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ที่ยัดเยียดงานนี้ให้ตน

“ฮัลโหลพี่คาล พี่ได้ยินผมไหมพี่”

“อะไร” คาลวินตอบกลับเสียงห้วน

“พี่จะเล่นบาสกันต่อไหม หรือจะพักกันก่อน?”

“ก็ต่อเลยสิ จะรออะไร”

ทุกคนเขารอพี่นั่นแหละ! ไอ้พี่บ้า!!

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่คริสก็ยังรักชีวิตมากกว่าจะเอ่ยออกไป

ถึงภายนอกคาลวินจะเป็นพวกเฮฮา เป็นมิตร และดูไร้แก่นสารไปบ้างในบางครั้ง แต่เพื่อนที่รู้จักต่างรู้ดีว่าหากคนคนนี้อยู่โหมดที่อารมณ์ไม่ดีหรือได้โมโหแล้วละก็ ให้ทำตัวจืดจางและออกห่างจากเจ้าตัวให้ได้มากที่เป็นดี

กระนั้นคาลวินก็ไม่ใช่คนที่โกรธแล้วพาลไปลงที่คนอื่น เขาเพียงแต่ต้องการเวลาในการสงบสติและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น

“พี่คาล”

“อะไรอีก”

“คนอื่นอาจจะไม่อยากพูดหรือไม่กล้าพูด แต่ผมขอพูดเองแล้วกัน”

คาลวินเลิกคิ้วมองญาติที่เด็กกว่าตนแค่ปีเดียวอย่างรอฟังว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไร

“ทำไมพี่ถึงได้ยอมปล่อยให้พี่ลิลิธไปกับพี่เร็นแบบนั้น”

เพียงเพราะประโยคๆ เดียวทั่วทั้งโรงยิมบาสตกอยู่ในความเงียบ เหล่าคนที่คะยั้นคะยอให้คริสไปคุยกับคาลวิน และยืนรอสังเกตอยู่ห่างๆ แทบจะสิ้นสติกับสิ่งที่ได้ยิน

ไอ้เจ้าบ้าคริสมันพูดอะไรของมัน นั่นมันเรื่องที่ไม่ควรไปแตะมากที่สุดเลยนะเว้ย! นี่เอ็งไม่รักชีวิตแล้วใช่ไหม?! แต่ถึงจะอยากตรงไปเขย่าคอคริสมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ตะโกนอีกฝ่ายในใจ

บรรยากาศที่อึมครึมอยู่แล้ว กลับต้องเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เมื่อคริสเปิดปากพูดประโยคถัดมา “พี่รู้ไหมว่าคนอื่น ไม่สิ ทุกคนเขามองว่าพี่กับพี่ลิลิธเป็นอะไรกัน”

คาลวินยังคงเงียบ แต่มือทั้งสองข้างกลับกำแน่น ดวงตาที่มักจะมีความขี้เล่น ในตอนนี้กลับมีวูบไหว

ทำไมคาลวินจะไม่รู้ว่าในสายตาคนนอกที่มองมาจะคิดว่าเขากับลิลิธเป็นอะไรกัน แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังหมดคาบเรียนนั่นก็ชัดเจนแล้ว

แต่ถึงใครจะมองว่าเขากับลิลิธเป็นอะไรกัน แล้วมันสำคัญยังไง ในเมื่อสถานะของพวกเขายังเหมือนเดิม

“รู้สิ”

“ถ้าพี่รู้แล้ว ทำไมยังจะ” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกอีกคนเอ่ยแทรก

“ลิลิธก็เป็นเพื่อนของฉันไง”

คริสอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็ชะงักและเลือกที่จะเงียบ

เขาไม่เคยเห็นใบหน้าแบบนั้นของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติห่างๆ มาก่อน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บใจ แม้มุมปากจะยกขึ้น แต่กลับดูเป็นยิ้มที่ราวกับสมเพชที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

คริสไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน แม้จะเคยมีคนที่คุยๆ อยู่บ้าง แต่คนที่มีความรู้สึกดีจนอยากจะเอาตัวเองไปอยู่เคียงข้าง เขาไม่เคยมี

เจ็บใจที่ไม่ได้อยู่ข้างกายเขาขนาดไหนเลยเหรอ?

ต้องมีความรู้สึกที่มากล้นขนาดไหนกัน ถึงได้จนอยากครอบครอบเขาไว้เพียงผู้เดียว

คริสไม่เข้าใจและอาจจะไม่มีวันเข้าใจด้วย

ความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเนี่ย ทั้งยากแล้วก็ซับซ้อนจังแฮะ