“อะไรนะ?! นายตื่นสายก็เลยโดนลิลิธทิ้งให้มาโรงเรียนคนเดียวอย่างนั้นเหรอ โคตรจะตลกเลย”

“อย่ามาหัวเราะกันนะ ถึงฉันจะมาสายแต่ฉันก็ไม่หลงจนหาห้องไม่เจอ”

“แต่มาสายตั้งแต่วันแรกของการเรียนแบบนี้ สุดยอดไปเลย”

ภายในโรงอาหารของโรงเรียน โต๊ะที่มีคน 7 คน เรียกความสนใจจากโต๊ะอื่นได้ไม่น้อย ไม่เพียงแต่บทสนทนาที่ดังลั่น แต่เพราะมีเด็กใหม่ถึง 2 คน นั่งรวมอยู่

หลังจากนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่มีนักเรียนที่ไม่รู้จักเดินพรวดพราดเข้ามาในห้องเรียน ฮันนาห์ก็เอ่ยชวนให้ลิลิธและเร็นมาทานข้าวกลางวันด้วยกัน และด้วยความที่ผู้ชายในห้องเหลือเพียงคาลวินกับไตร สองหนุ่มจึงไปเลือกจะมาด้วย

เมื่อแนะนำตัวและพูดคุยกันแล้วจึงได้ความว่าลิลิธกับเร็นเป็นเพื่อนสมัยเด็ก บ้านรั้วติดกัน แต่เพราะพ่อย้ายที่ทำงานทำให้ลิลิธต้องย้ายบ้านและโรงเรียน เร็นที่เป็นห่วงเพื่อนก็ย้ายที่เรียนตาม โดยอาศัยที่บ้านของญาติ

และพอถามถึงสาเหตุที่ว่าทำไมถึงปล่อยให้เพื่อนสมัยเด็กมาโรงเรียนคนเดียว คำตอบที่ได้ยินก็ทำเอาคนฟังกลั้นขำกันไม่อยู่ โดยเฉพาะคาลวิน

ก็คนที่ห่วงเพื่อนจนย้ายที่อยู่ย้ายที่เรียนตามมากลับนอนจนลืมเวลา ฟังกี่ครั้งก็ขำ

“แต่ก็ยังดีที่ลิธได้พวกนายช่วย”

“จะว่าไปเมื่อเช้าที่เจอกัน ลิลิธไม่คุยกับฉันสักคำเลย ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ”

“ฉันคุยนะ”

คาลวินพยายามคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้คุยกับเพื่อนใหม่เมื่อเช้า แต่จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายคุยกับตนตอนไหน

“จำไม่เห็นได้เลย”

“ความจำไม่ดี”

“นี่ นี่เธอว่าฉันเหรอ?!”

ลิลิธไม่คิดว่าประโยคที่บ่นงึมงำกับตัวเองคนเดียว อีกคนจะได้ยินด้วยจึงแสร้งหันหน้าไปทางอื่น

“ลิลิธ เธออย่าเมินกันดิ”

“นายชอบเสียงดังแบบนี้ไง ลิลิธถึงไม่อยากคุยด้วย”

“คาลขี้โวยวาย”

“น่ารำคาญ”

สิตางค์ เพียงดาว และไตร ต่างพร้อมใจกันเอ่ยนิสัยด้านดีแต่กลับทำให้เพื่อนใหม่ไม่คุยด้วย

“ไปถามเหมือนรัวกระสุนใส่แบบนั้น ลิธไม่คุยด้วยก็ไม่แปลกหรอก”

“ฉันก็แค่ถามเฉยๆ”

“แต่นายทำลิธกลัวไง”

ถึงแม้จะเพิ่งได้รู้จักและคุยกัน แต่เร็นพอจะเดานิสัยของคาลวินได้ เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ตรงไปตรงมา ติดจะโผงผาง และเลือดร้อน ต่างจากลิลิธที่ค่อนข้างหวงตัว มีกำแพงกับคนแปลกหน้าและพูดน้อยกับคนไม่สนิท

จะบอกว่าทั้งสองคนเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกันเลยก็ว่าได้

แต่เร็นก็ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะเมินคาลวินขนาดนี้

“กลัว?”

“ก็..”

เร็นเหลือบมองลิลิธอย่างต้องการขออนุญาตก่อนเอ่ยเรื่องส่วนตัวของเพื่อนสมัยเด็ก และเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยห้าม เขาจึงพูดต่อ

“ลิธมีประสบการณ์กับคนแปลกหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะ”

“หมายถึงถามนั่นถามนี่เยอะแบบคาลใช่ไหม” สิตางค์เอ่ย

“ถ้าเป็นฉันก็คงไม่ค่อยชอบเหมือนกัน”

“เพียงดาวก็ด้วยเหรอ” คาลวินตกใจ ที่ไม่คิดว่าคนที่แสนอ่อนหวานอย่างเพียงดาวจะไม่ชอบอะไรเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

“ถ้าถามมากเกินไปมันก็น่ารำคาญน่ะสิ”

“แต่ฉันก็แค่ทำความรู้จัก”

“ลิลิธอาจไม่อยากรู้จักนายก็ได้”

ทันทีที่ไตรพูดจบ คาลวินหันขวับหาเด็กสาวที่นั่งเงียบมาตลอด “เธอไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันจริงดิ”

เหล่าเพื่อนๆ ต่างพากันยกถอนหายใจ ยกมือกุมขมับ เมื่อคาลวินดันตีความไปคนละทางกับสิ่งที่พวกเขาบอก

“ลิธไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก” เร็นว่าพลางตบไหล่ให้กำลังใจคนที่เพิ่งจิตตก แต่เหมือนจะไม่ได้ผล

“แต่ลิลิธก็ยังไม่พูดกับฉันอยู่เลย หรือว่าเธอจะโกรธฉัน”

“ฉันไม่ได้โกรธ”

“ไม่ได้โกรธ? จริงเหรอ?! แล้วทำไม”

“คาล” ฮันนาห์ที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ ปรามคนที่เริ่มพูดไม่หยุด

“โทษที มันเผลอไป”

“เป็นนิสัยของหมอนี่ที่แก้ไม่หาย” ไตรอธิบาย

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่านายไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” สองมือเล็กกุมกันแน่น ดวงตาสีดำขวับที่เมินคนที่พยายามเข้าหาตนก่อนหน้า มองสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอยู่ก่อน “ขอโทษนะที่ทำให้รู้สึกไม่ดี”

“อะ อืม คือฉันไม่ได้รู้สึกแย่หรือไม่ดีอะไรหรอกนะ มันก็แค่ แบบว่า”

ในตอนที่คาลวินกำลังพยายามหาวิธีพูดตอบกลับเพื่อไม่ให้อีกคนไม่เมินกัน เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นและดวงตาสีดำใสที่มีประกายก็ทำให้คนที่ได้เห็นดังนั้นถึงกับชะงัก

แม้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม เพราะมือเล็กยกขึ้นปิดปาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ภาพตรงหน้าน่ามองน้อยลงเลย

“นายเป็นคนดีจังนะคาล แล้วก็ตลกด้วย”

อ่า อะไรกัน ความรู้สึกแบบนี้..