9 ตอน ตอนที่ 8
โดย บีริน
“ลิลิธ เร็น กลับบ้านกันดีๆ นะ”
“เจอกันพรุ่งนี้”
“อย่าลืมทำการบ้านด้วยนะ”
“ห้ามมาสายด้วย”
“รู้แล้วน่า!”
“เจอกัน”
หลังจากเลิกเรียน กลุ่มเพื่อน 7 คน ก็เดินมาด้วยกันจึงมาถึงสี่แยกไฟแดงที่ทุกคนต้องแยกย้ายกัน ลิลิธและเร็นไปด้วยกัน คาลวินและไตรแยกไปคนละทาง ในขณะที่ฮันนาห์ เพียงดาว และสิตางค์พากันเดินไปยังร้านคาเฟ่ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อรอผู้ปกครองมารับ
“จะกินอะไรดีนะ”
“ฉันเอาวาฟเฟิลกับวนิลลาปั่น”
“ส่วนฉันขอเป็นชาเอิร์ลเกรย์กับเค้กเลมอน”
“บลูเบอรี่ชีสเค้กกับสตอเบอรี่เฟรปเป้ค่ะ”
เมื่อพนักงานทวนรายการที่สั่ง สามสาวก็หันมาคุยเล่นกัน โดยไม่ลืมหยิบการบ้านมานั่งทำไปพลางๆ ระหว่างของหวานมาเสิร์ฟ
“หิวจัง สั่งเพิ่มอีกดีไหม”
“ไม่ได้นะสิตางค์ ถ้ากินจนอิ่มก็ไม่ได้กินข้าวเย็นกันพอดี ไหนจะเรื่องที่จะไดเอทอีก” ฮันนาห์เตือนความจำเพื่อนสนิท
“ฮันนาห์ เธอจะพูดถึงเรื่องไดเอททำไม”
“ก็เผื่อว่าเธอลืม” ฮันนาห์ตอบกลับอย่างไร้เดียงสา ผิดกับคนที่ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะลดน้ำหนักด้วยการควบคุมลักษณะการกิน แต่ทำไปได้ไม่กี่วัน ก็ดันตบะแตก
“ฉันไม่ลืมหรอก ก็แค่ขอใช้โควตาวันหยุดก่อน แล้วค่อยชดเชยทีหลัง”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
“แต่ฉันก็อยากสั่งของกินเพิ่มอีกสักอย่างเหมือนกันนะ” เพียงดาวที่ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน เงยหน้ามาคุยกับเพื่อน
“ใช่ไหมๆ เวลาทำงานก็ต้องกินของหวานสิ หัวจะได้แล่น”
“แล้วอย่ามาบ่นทีหลังกันล่ะ”
สุดท้ายสามสาวก็สั่งเค้กมาเพิ่ม จนโต๊ะกระจกใสเต็มไปด้วยของหวานน่าอร่อยอีกครั้ง
“จะว่าไป ฮันนาห์ก็กินเมนูเดิมตลอดเลยนะ”
“เอ๊ะ?! ฉันเหรอ?”
“น้ำก็สั่งแต่สตอเบอรี่ปั่นเหมือนกัน” เพียงดาวเอ่ยเสริม “คงชอบผลไม้ตระกูลเบอรี่มากเลยสินะ”
“ก็รสชาติมันเปรี้ยวๆ หวานๆ กินแล้วก็ดีกับดวงตาด้วย”
“มิน่าล่ะ เธอถึงได้มีตาแป๋วแบบนี้”
“ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นหรอกนะ” ฮันนาห์ตอบกลับเพียงดาวไปอย่างเขินๆ
ในตอนที่บทสนทนาบนโต๊ะกำลังเต็มไปด้วยเสียงเฮฮา สิตางค์มองเพื่อนสนิทที่กำลังพูดคุยอย่างเจื้อยแจ้ว ก่อนจะรวบรวมความกล้า เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกไป
“ฮันนาห์ เธอชอบคาลเหรอ”
จบประโยคนั้น ทุกอย่างก็ตกลงในความเงียบ ฮันนาห์หันมองสิตางค์ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ส่วนเพียงดาวอึ้งจนยกมือขึ้นปิดปาก
“ระ รู้ด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ก็พอจะเดาได้”
เพราะเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม อีกทั้งยังเห็นท่าทาง การแสดงออกของฮันนาห์ที่มีต่อคาลวินค่อนข้างพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่น และการแสดงออกก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อพวกเธอขึ้นชั้น ม.5
หรือก็คือตั้งแต่ที่คาลวินและลิลิธสนิทสนมกันมากขึ้น
“ฮันนาห์ เรื่องจริงเหรอ?” เพียงดาวที่ไม่เคยรู้ถึงเพื่อนรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนชายในกลุ่มยังคงตกใจไม่หาย
“อะ อื้อ”
“ฉันขอถามได้ไหมว่าเธอเริ่มชอบหมอนั่นตั้งแต่ตอนไหน” เมื่อเห็นฮันนาห์เงียบไป สิตางค์ก็รีบเธออธิบาย “แต่ว่าถ้าเธอไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ แล้วก็ที่ฉันถามก็เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
ทั้งที่ภายในร้านเปิดเพลงสากลคลอ นอกจากนี้ยังมีเสียงพูดคุยจากคนในร้าน แต่บนโต๊ะที่สามสาวกำลังดังอยู่กลับเงียบกริบจนน่าอึดอัด
“นี่ ทั้งสองคน มากินเค้กกันต่อเถอะ น้ำด้วย ถ้าไม่รีบดื่มเดี๋ยวจะละลายเอาหมดนะ” เพียงดาวที่เห็นบรรยากาศไม่ดี หาเรื่องคุย
“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ฮันนาห์ก็เอ่ยออกมา สองมือที่กำชายกระโปรงก่อนหน้าค่อยๆ คลายออก ก่อนจะหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงใบหน้าของคนที่ตนแอบเก็บซ่อนอยู่ในใจ
เธอเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเพื่อนสนิท แต่แค่คิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว คาลวินกับเธอสนิทกันมากขึ้นจนมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
ได้อยู่ข้างๆ เขาในมุมเงียบๆ แค่นี้ก็ดีตั้งเท่าไรแล้ว
แต่แล้วสิ่งที่พยายามสร้างมาหลายปีกลับสั่นคลอนจนแทบจะพังลงมาในทีเดียว เพียงเพราะการปรากฎตัวของคนคนเดียว
ลิลิธเพิ่งย้ายเข้ามา แต่คาลวินก็ชวนคุย ทั้งยังพยายามเข้าหาเพื่อนใหม่เสมอ รู้ตัวอีกที ฮันนาห์ก็เห็นว่าสายตาของเขาก็มองไปแต่ที่เธอคนนั้น
มองแค่ลิลิธเพียงคนเดียว
ฮันนาห์รู้ดีว่าเรื่องหัวใจเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้
ในเกมของความรักไม่มีใครผิดใครถูก จะมาก่อนหรือหลังก็ไม่เกี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้
ทั้งที่ตอนนั้น แค่ได้อยู่ข้างเขาก็เพียงพอแล้วแท้ๆ แต่กลับเกิดความโลภ
อยากให้เขาหันมามองกันบ้าง อยากให้แบ่งสายตาที่มองเธอคนนั้นให้มองที่เธอบ้าง สักนิดก็ยังดี
ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวอย่างนี้นะ ฮันนาห์
“เฮ้อ ผู้ชายในห้องเราก็มีตั้งเยอะแยะ ไหนจะห้องอื่น พวกรุ่นพี่รุ่นน้องอีก ทำไมต้องเป็นเจ้านั่นด้วย” สิตางค์ถอนหายใจ
“นั่นสินะ”
ทำไมต้องเป็นเขา เป็นคาลวิน เป็นคนที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทไปเสียได้ เป็นคำถามที่ฮันนาห์เองก็เฝ้าถามตัวเองในใจเสมอมา
“หมอนั่นมีดีอะไรกัน”
“สิตางค์ อย่าดูถูกคาลเชียวนา เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็คนชอบเยอะนะ สูง ขาว ตี๋ แบบพิมพ์นิยม” เพียงดาวเอ่ยถึงข้อดีของเพื่อนหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่สิตางค์ได้พูดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก คาลน่ะใจดี มีน้ำใจ แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษ” ใบหน้าหวานอมยิ้มเมื่อพูดถึงคนที่ชอบ
ฮันนาห์ยังจำได้ดี ถึงเหตุการณ์ตอนเจอกันครั้งแรกของเธอกับเขาตอน ม.1
อาจจะเป็นเพราะผมสีทองที่เด่นสะดุดตาและแตกต่างจากคนอื่น ทำให้วันแรกที่ของการมาเรียนเธอถูกมองราวกับเป็นตัวประหลาด แม้ว่าจะมีสิตางค์คอยไล่พวกที่คอยรังแกและล้อเลียน มีเพียงดาวคอยพูดปลอบ แต่พวกนั้นก็ยังไม่หยุด
ในวันนั้นเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งหยิบกรรไกรขึ้นมาจะตัดผมของเธอ สิตางค์และเพียงดาวพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็โดนอีกฝั่งที่อยู่กลุ่มเดียวกันขวางเอาไว้ ในขณะที่เธอได้แต่ร้องไห้ คนคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น
ทั้งที่ไม่ได้รู้จักหรืออยู่ห้องเดียวกัน ทั้งที่แค่เดินผ่านมาและจะเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปก็ได้ แต่คาลวินกลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ก็ทำให้ฮันนาห์ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับเพื่อนต่างห้องอย่างคาลวิน
และแม้ว่าจะห้องเดียวกัน แต่เด็กชายก็มักจะมาหาหรือพูดคุยกับเด็กน้อยผมสีทองทุกครั้งที่เดินผ่านห้องเรียนหรือเดินสวนกัน นอกจากนี้เขายังรู้จักวิธีทำให้เธอหัวเราะ
ด้วยความที่โรงเรียนทำการจัดห้องเรียนใหม่ทุกปีตามลำดับคะแนน ฮันนาห์แอบภาวนาในใจให้เธอได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับคาลวิน แต่คำอธิฐานของเธอกลับไม่เป็นผล แต่แล้วเมื่อขึ้น ม.3 ในที่สุดพระเจ้าก็ฟังคำขอร้องของเธอ
ให้เธอได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับเขา ได้เจอหน้าเขาทั้งวัน ไม่ใช่แค่ตอนเช้าที่เดินเข้าโรงเรียน ตอนกลางวันที่โรงอาหาร หรือช่วงเวลาสั้นๆ ที่เปลี่ยนคาบเรียนแล้วเดินสวนกัน
เมื่อตอนที่ได้รู้ว่าเธอและคาลวินอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งในม.ปลาย เธอทั้งดีใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนให้ห้องเรียนจะเปลี่ยนไปตามผลการเรียนเหมือนม.ต้น
แต่แล้วเธอก็ค้นพบกับความจริงว่าคนที่เธอแอบเก็บเขาไว้ในใจมากนาน มีคนอยู่ในใจ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกัน
ถึงจะอยากเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขา หรือพยายามเท่าไร ก็รู้ตัวดีว่าไม่เป็นผล เธอจึงพยายามรักษาระยะห่าง ทำทุกอย่างให้เหมือนปกติและมองเลือกที่จะกลับมามองเขาจากที่ไกลๆ เหมือนที่เคยทำมา แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
แต่ถึงอย่างไร ก็คงจะรอดพ้นสายตาของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเกือบ 10 ปี อย่างสิตางค์ไปได้
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
ในตอนที่กำลังนึกสมเพชตัวเองอยู่นั้น เสียงของสิตางค์ก็ดังขึ้น
“ฉันจะไม่ว่า ไม่โทษ หรือเข้าข้างใครหรอกนะ”
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ทุกคนก็คือเพื่อนคนสำคัญของเธอ
“แต่ฉันอยากจะบอกว่าเธอเองก็ยังมีโอกาสอยู่ อย่าเพิ่งปิดโอกาสของตัวเองขนาดนั้น”
โอกาสอย่างนั้นเหรอ?
แต่คาลวินกับลิลิธ ต่างคนต่างก็รู้สึกดีต่อกัน ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกอย่างก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว
แล้วโอกาสที่ว่านั่นคืออะไร? เธอจะยังทำอะไรได้อีก?