เวลาผ่านพ้นไปจนกระทั่งล่วงเลยถึงวันแข่งขันงานวิชาการ และวันนี้เป็นวันที่เร็นมีแข่งตอบปัญหาภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าพวกลิลิธที่แม้จะไม่อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ยังมานั่งให้กำลังใจในการแข่ง แต่เพื่อนในกลุ่มกลับมากันไม่ครบคน

เนื่องจากการแข่งขันจัดขึ้นหลังคาบเรียนสุดท้าย เพียงดาวและสิตางค์ที่มีธุระกับทางบ้านจึงขอตัวกลับก่อน ทำให้คนมามีลิลิธ ฮันนาห์ คาลวิน และไตร

การแข่งขันมีการคัดเลือกจากคะแนนจากแต่ละห้องมารอบหนึ่งแล้ว รอบนี้จึงเป็นรอบตัดสิน โดยตัวแทนของแต่ละห้องๆ ละ 2 คน จะต้องเลือกคำตอบที่ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด หากตอบผิดจะถูกคัดออกทันที และเมื่อเหลือผู้เข้าแข่งขัน 5 คน จะเปลี่ยนการตอบคำถามเป็นการเขียนคำตอบลงในกระดาษ ซึ่งหากตอบผิดก็จะคัดออกเช่นเดิมและจะแข่งกันเช่นนี้จนกว่าจะมีผู้ได้ที่หนึ่ง

“ตอบผิดก็ตกรอบเลยเหรอ โหดชะมัด” คาลวินที่ได้ฟังกติกาการคัดเลือกถึงกับยกมือขึ้นลูบแขน

“ก็เหมือนกับทุกทีนั่นแหละ ทำเล่นใหญ่ไปได้”

“แต่มันไม่ชินนี่หว่า แล้วนายน่ะไม่ตื่นเต้นบ้างเลยเหรอ จะแข่งกันอยู่แล้วนะ แล้วเร็นก็ลงสนามเป็นครั้งแรกด้วย”

“ลงสนามอะไร นี่มันแข่งงานวิชาการ แล้วนายเป็นคนดูไม่ใช่เหรอ แล้วไหงประหม่ากว่าคนแข่งได้ล่ะ?!” ไตรเตือนสติคนที่เริ่มสติแตก

“ทำยังไงดี จะต้องเตรียมยาแก้ปวดท้องด้วยไหม? ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างแข่งขึ้นมาอันตรายแน่”

“โอย เว่อร์ไปแล้ว”

“คาล ไหวไหม?”

“ลิลิธไม่ต้องไปสนใจหรอก ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หายเอง” ฮันนาห์บอกให้ลิลิธสบายใจ “คาลเป็นพวกสงบใจไม่ค่อยได้น่ะ”

ก่อนที่ไตรจะจับคาลวินโยนออกไปจากห้องแข่งเพราะทนคนที่พูดไม่หยุดและไม่ฟังเสียงใครไม่ไหว เสียงประกาศจากครูผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินก็ดังขึ้น

“ต่อไปจะเป็นการแข่งขันเชิงวิชาการภาษาอังกฤษ ขอให้ทุกคนเงียบเสียงลงด้วย” ทันทีที่จบประโยคนั้น ห้องที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันก็เงียบสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา การแข่งขันเชิงวิชาการภาษาอังกฤษ เริ่มได้”

“คำถามยากกว่าที่คิดอีกแฮะ”

“นายอ่อนภาษาอังกฤษนี่นะ”

“แต่ถ้าเป็นวิชาคำนวณ ฉันไม่แพ้แน่” คาลวินพูดถึงวิชาที่ตัวเองถนัดอย่างมั่นใจ แต่แล้วความมั่นใจที่มีกลับต้องมาสลายไปเพียงเพราะประโยคต่อมาของฮันนาห์

“แต่คาลก็ไม่เคยได้รางวัลจากการแข่งเชิงวิชาการเลยนะ”

“ฮันนาห์!”

“จะว่าไป ไม่รู้เลยนะว่าเร็นจะเก่งอังกฤษ”

“เฮ้ย! นี่เปลี่ยนเรื่องเหรอ? เธอเมินกันเหรอ?!”

“เร็นเคยไปแลกเปลี่ยนซัมเมอร์ที่ออสเตรเลียตอนจบ ม.3 ก่อนหน้านั้นก็ไปต่างประเทศบ่อยๆ เพราะมีญาติอยู่ที่นู่นด้วย” ลิลิธเอ่ยถึงเรื่องราวเพื่อนสมัยเด็กอย่างคล่องปร๋อ “แล้วเร็นก็เป็นลูกเสี้ยวด้วย”

ผมสีน้ำตาลแดงที่ดูต่างจากคนเอเชียทั่วไป ก็เป็นเพราะกรรมพันธุ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อที่มีเชื้อสายฝั่งตะวันตก

“อย่างนี้นี่เอง สุดยอดไปเลยนะ”

ลิลิธและฮันนาห์คุยกันอย่างไม่สนใจคาลวิน ไตรที่เห็นอย่างนั้นก็พยายามกระเถิบตัวเองให้ห่างจากคนที่เรียกร้องความสนใจอย่างเด็กๆ อย่างจะบอกว่าเขาไม่รู้จักกับคนคนนี้อย่างไรอย่างนั้น

“อื้อ เร็นสุดยอดมาก” ลิลิธพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนสาว “เร็นน่ะ ถึงจะดูเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่ก็ทำคะแนนสอบออกมาได้ดีตลอดทุกวิชาด้วย”

“โอ้โห เร็นเป็นพวกซุ่มเงียบเหรอเนี่ย”

“เปล่าหรอก” ดวงตาสีดำขวับจ้องมองไปยังคนที่ถูกพูดถึงที่กำลังมีสมาธิในการแข่งขัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่เอ่ยต่อ “เร็นเป็นประเภทที่ชอบโหมอ่านหนังสือรวดเดียวแล้วไปสอบน่ะ”

“เอ๋?”

“จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องหัวดีมากๆ เลยนะนั่น”

“ช่วงก่อนสอบ เร็นจะอ่านหนังสือแบบไม่หลับไม่นอนเลย บางทีก็อ่านจนลืมกินข้าวด้วย”

“ขะ ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฮันนาห์ตกใจกับนิสัยของเพื่อนต่างห้องที่เพิ่งได้รู้

“เจ้านั่นก็มีช่วงที่จริงจังเหมือนกัน” แม้แต่คาลวินก็ยังคาดไม่ถึง

“แต่เร็นอยู่ห้อง 5 ห้องนั้นเป็นห้องเด็กเรียนดีอยู่แล้วนี่” ไตรที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินว่า ซึ่งคำพูดนี้ก็ราวกับช่วยเตือนสติคนอื่นๆ

เพราะเจอกันเพียงแค่ช่วงพักกลางวันกับหลังเลิกเรียน เวลาที่รวมกลุ่มกันเร็นดูเข้าขากับคาลวินเป็นอย่างดี จนพวกเขาลืมไปเลยว่าเร็นเป็นเด็กห้อง 5 ห้องที่ได้ชื่อว่าเด็กเก่ง

เรียกได้ว่าการที่เร็นอยู่กับคาลวิน ทำให้ภาพลักษณ์เด็กเรียนของเพื่อนต่างห้องลดลงอย่างมากก็ไม่ผิด

“อ๊ะ เหลือคนแข่งแค่ 5 คน แล้ว”

“รอบสุดท้ายแล้วสินะ”

“เหลือแต่พวกท็อปๆ ทั้งนั้นเลย เจ้านั่นจะไหวไหมเนี่ย”

ในขณะที่ฮันนาห์ ไตร และคาลวิน ยืนดูการแข่งขันอย่างลุ้นระทึกกึ่งเป็นกังวล ลิลิธกลับเอ่ยเพียงคำพูดสั้นๆ

“ไม่เป็นไรหรอก เร็นจะต้องชนะอยู่แล้ว”

เขาจะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน

 

และผลการแข่งขันงานวิชาการภาษาอังกฤษก็เป็นไปตามที่ลิลิธพูดไว้ คนที่ชนะเลิศคือเร็น และเมื่อคนที่ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้เดินมาหากลุ่มเพื่อนที่ยืนให้กำลังใจตั้งแต่ก่อนการแข่งจะเริ่ม ทุกคนก็ต่างแสดงความยินดีกับเขา

จะมีก็เพียงคนคนหนึ่งที่แม้จะเอ่ยยินดีที่เพื่อนในกลุ่มได้รับรางวัล แต่ในใจกลับหงุดหงิดแปลกๆ

มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกัน?

ตั้งแต่ตอนที่ลิลิธเอ่ยชมถึงความสามารถด้านภาษาของเพื่อนสมัยเด็ก

หรือตอนที่เธอพูดอย่างมั่นใจว่าเร็นจะต้องชนะราวกับเชื่อในตัวของเร็นอย่างหมดหัวใจ

ทั้งที่ก็มาเชียร์ ทั้งที่อาจเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนชนะ แต่ทำไมเขากลับเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาได้?

ความรู้สึกอิจฉาเพื่อนตัวเอง