หลังงานกีฬาสีจบลง บรรยากาศภายในกลุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากที่มารวมกลุ่มนั่งทานข้าวใช้เวลาร่วมกันในช่วงพักกลางวันและมีแต่เสียงพูดคุย ก็กลายเป็นความอึมครึมจนชวนอึดอัด และทุกอย่างยิ่งแย่ลงยิ่งกว่าเดิม เมื่อเร็นที่แม้จะอยู่กันคนละห้อง แต่ก็มาหาเพื่อนๆ ห้อง 2 ตลอด เลือกที่จะแยกตัวและอยู่กับเพื่อนในร่วมห้องแทน

ระหว่างทางกลับบ้านวันนั้น ลิลิธอยากเอ่ยถามเพื่อนสมัยเด็ก อยากถามว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงไม่มาที่ห้อง 2 เหมือนเมื่อก่อน หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยออกไป “ช่วงนี้นายไม่ค่อยมาที่ห้อง 2 เท่าไรเลยนะ”

“อยู่ ม.5 แล้วงานมันก็เยอะ”

“งานเหรอ?”

“งานกลุ่มน่ะ”

“ตั้งแต่ขึ้น ม.5 มา งานก็เยอะขึ้นจริงด้วย”

เร็นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เด็กหนุ่มเงียบขรึม ผิดแปลกไปจากทุกที ทำให้ลิลิธทำตัวไม่ถูกและเลือกที่จะไม่เอ่ยถามอะไรต่อ เมื่อต่างคนต่างเลือกที่จะเงียบ จึงไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงที่บ้าน เป็นความเงียบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาระหว่างเพื่อนสมัยเด็กทั้งสอง

เมื่อมาถึงหน้าบ้านของลิลิธแล้ว เร็นยิ่งทำตัวแปลกขึ้นไปอีก เขาเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองแทนที่จะเข้าไปนั่งเล่นในบ้านของเพื่อนอีกฝ่ายอย่างเช่นทุกที

แม้จะแปลกใจ แต่ลิลิธก็คิดว่าเพื่อนของตนมีการบ้านที่ต้องรีบทำให้เสร็จ ไม่แน่ว่าการที่คนที่มักพูดคุยกับเธออยู่เสมอเลือกที่เงียบตลอดทางกลับบ้าน อาจมาจากความเครียดในเรื่องนี้ก็เป็นได้

ถึงจะพยายามมองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ และลิลิธยิ่งว้าวุ่นใจมากกว่าเดิมเมื่อเร็นไม่มาทานข้าวเย็นที่บ้านของเธออย่างทุกวัน

ใจหนึ่งก็อยากเดินไปหาที่บ้าน เคาะประตูเรียกและถามไถ่ว่าเขาเป็นอะไรกันเนี่ย แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัว หากเธอเผลอทำอะไรจนไปล้ำเส้นขึ้นมา ทุกอย่างอาจจะแย่ลงยิ่งกว่าตอนนี้ก็เป็นได้

สุดท้ายลิลิธก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร และปล่อยให้ทุกอย่างคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง

วันนั้นเป็นวันแรกที่ลิลิธรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงา โดดเดี่ยว และอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยไม่รู้สึกมาก่อน ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสงสว่างในชีวิตได้หายไปแล้ว

 

“นี่ ลิลิธ”

“เธอเรียกฉันเหรอ?” เจ้าของชื่อหันตามเสียงก็พบกับเพื่อนร่วมห้องที่กำลังทำท่าแปลกๆ

“คือว่า.. ฉันสงสัยอะไรนิดหน่อยน่ะ จริงๆ ก็สงสัยมาสักระยะแล้ว”

“เรื่องอะไรเหรอ” เห็นเพื่อนพูดอ้ำๆ อึ้งๆ บิดตัวไปมา ลิลิธจึงถามกลับ

“คือว่านะ ตอนนี้เธอกับคาลกำลังคบกันอยู่เหรอ”

เพียงแค่ประโยคนั้นจบลง ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ใช่เพียงแค่คนถามเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ก็อยากรู้อยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเช่นกัน

“ฉันก็รู้ว่าเป็นมันเป็นเรื่องส่วนตัว พวกเธออาจจะอยากคบกันเงียบๆ ก็ได้ แต่ในฐานะคนมองที่เชียร์อยู่มันก็อยากรู้อะ”

“ฉันก็อยากถามเหมือนกันนะ คือทั้งสองคนสนิทกันมาก แถมยังชอบทำตัวเหมือนแฟนกันเลย”

“เอ๋! ลิลิธกับคาลวินคบกันอยู่เหรอ!? ไปแอบคบกันตอนไหนเนี่ย?”

“ไอ้คุณคาลวิน! นี่คุณเอ็งกล้าทิ้งเพื่อนแล้วหนีไปมีแฟนก่อนเหรอวะ?!”

“เป็นแฟนกันตอนไหน? ทำไมไม่บอก”

“เล่ามาเลยให้หมดนะแก!”

ในขณะที่คนทั้งห้องกำลังพุ่งความสนใจไปที่สองหนุ่มสาวที่ถูกเข้าใจว่ากุ๊กกิ๊กกันอยู่นั้น กลับมีคนหนึ่งที่เก็บของลงกระเป๋าอย่างเงียบเชียบ

“ฮันนาห์”

สิตางค์เรียกเพื่อนสนิทที่ดูซึมไปอย่างเห็นได้ชัด แต่คนถูกเรียกกลับตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกครั้ง “มีอะไรเหรอ?”

“เอ่อ คือ”

“ฉันต้องรีบกลับน่ะ คุณพ่อเพิ่งบอกว่ามีธุระด่วนให้รีบไปรอที่หน้าโรงเรียน ฉันขอกลับก่อนนะ”

“อะ อือ”

เพียงดาวและสิตางค์ทำได้เพียงแค่มองตามหลังเพื่อนสนิทอย่างเป็นห่วง พวกเธอต่างรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าที่เต็มรอยยิ้มเมื่อครู่นั้น ข้างในคงกำลังร้องไห้อย่างหนักเป็นแน่ แต่เพราะฮันนาห์ไม่อยากให้พวกเธอมาเป็นห่วงจึงเลือกที่จะแสดงออกเช่นนั้น

เพราะชอบทำตัวให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแบบนั้นตลอด แล้วจะไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงได้อย่างไร

ที่เลือกที่จะวิ่งออกไปแบบนั้น ก็คงเป็นเพราะอยู่ตรงนี้ต่อไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้ต่อแล้วแม้แต่สักวินาทีเดียว