6 ปีก่อน

“เธอๆ” เสียงที่แตกหนุ่มเรียกคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไป แต่อีกฝ่ายกลับเมินเสียงเรียกของเขาเสียได้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอคนนั้นไม่ได้รู้ว่าที่เขาเรียกหมายถึงตัวเอง ไม่ได้ยินเสียงของเขา หรือตั้งใจจะไม่สนใจกันแน่ แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เด็กหนุ่มจึงวิ่งไปดักหน้า

สองเท้าที่กำลังเดินอยู่หยุดชะงักเพราะมีคนมาขวาง แม้จะแปลกใจที่มีคนมายืนยืนขวางทั้งที่ทางเดินก็ออกจะกว้าง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ

ในตอนที่กำลังจะเดินเลี่ยงหลบไปอีกทาง คนตรงหน้าพูดขึ้น

“เธอ เด็กใหม่ใช่มั้ย”

ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าคนพูดพูดกับตัวเองหรือไม่ กระนั้นก็ยังหันไปตามเสียง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับคนที่ไม่รู้จักยืนส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างเป็นมิตร

“เพิ่งย้ายมาเทอมนี้ใช่มั้ย เธอชื่ออะไร อยู่ห้องไหนเหรอ”

เด็กหนุ่มถาม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงความเงียบ จนต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

“นาย.. เป็นใครน่ะ”

“ก่อนถามชื่อคนอื่น ก็ต้องแนะนำตัวเองก่อนสินะ” คนที่เผลอทำตัวเสียมารยาทกระแอม “ฉันชื่อคาลวิน เรียกว่าคาลเฉยๆ ก็ได้ อยู่ ม.4 ห้อง 2 อ้อ ฉันเป็นเด็กเก่า ตอนม.ต้นก็เรียนที่นี่เพราะใกล้บ้าน สีผมสีน้ำตาลนี่ของฉันเป็นสีธรรมชาตินะ แต่ว่าสีที่ฉันชอบคือสีแดง ส่วนกีฬาที่ชอบก็บาส งานอดิเรกคือ”

“คาล ตามหาตัวตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่ที่นี่นี่เอง”

คนที่กำลังแนะนำตัวถูกขัดด้วยคนมาใหม่ เมื่อคนที่เงียบมาตลอดการสนทนาหันไปก็พบกับเด็กผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักไม่ต่างจากไอดอลที่เห็นในทีวีกำลังเดินตรงมาทางนี้

“อ้าว ฮันนาห์ มีอะไรหรือเปล่า”

“ยังจะมาถามอีก คาบโฮมรูมจะเริ่มแล้วนะ เดี๋ยวก็สายหรอก”

“ขอโทษทีนะ พอดีฉันกำลังทักทายเพื่อนใหม่อยู่นะ”

ฮันนาห์มองคนที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนร่วมห้องเรียน ก่อนจะส่งส่งยิ้มหวาน ดวงตากลมโตหยีลงจนแทบจะเป็นสระอิ “สวัสดี เราชื่อฮันนาห์ อยู่ ม.4 ห้อง 2 ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“สวัสดี”

“เธอชื่ออะไรเหรอ”

“ลิลิธ”

“ว้าว ชื่อเพราะจังเลย เธอเป็นเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ใช่มั้ย อยู่ห้องไหนเหรอ”

“ห้อง 2”

“ห้อง 2 งั้นพวกเราก็อยู่ห้องเดียวกันน่ะสิ” ดวงตากลมโตเป็นประกายที่ได้เพื่อนใหม่ “เรากำลังจะไปห้องเรียนพอดี ไปพร้อมกันเลยไหม”

ลิลิธเพียงพยักหน้าตกลง แต่นั่นก็ทำให้ฮันนาห์ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่รอช้าที่จะพาเพื่อนคนใหม่ไปยังห้องเรียน ลืมแม้กระทั่งคนที่ตนเดินตามหาก่อนหน้า

คาลวินมองตามหลังสองสาวที่เดินคุยกันอย่างสนุกสนาน (แม้คนที่เป็นฝ่ายคุยจะมีเป็นฮันนาห์ซะส่วนใหญ่) แล้วก็ได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงุนงง

เมื่อกี้เขาชวนคุยกันนานสองนาน เธอคนนั้นกลับพูดมาแค่ไม่กี่คำ แต่พอฮันนาห์ทักทายแค่ไม่กี่ประโยคก็คุยด้วย แถมยังเดินควงแขนไปด้วยกัน แล้วยังจะมาทิ้งเขาอีก

“นี่ พวกเธอรอกันด้วยสิ”

 

“ลิลิธ ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม”

หลังจากคาบสุดท้ายในช่วงเช้าจบลง ฮันนาห์ก็รีบเข้ามาชวนเพื่อนคนใหม่อย่างเป็นมิตร ลิลิธไม่ตอบกลับไปในทันที ดวงตาสีดำขวับมองเลยไปด้านหลังของคนเอ่ยชวน

หลังจากมาถึงห้องเรียนในช่วงเช้า คุณครูประจำชั้นก็ให้เธอแนะนำตัวกับทุกคน เมื่อเสร็จการโฮมรูม ฮันนาห์ก็เดินเข้ามาคุยด้วยอย่างกลัวว่าเพื่อนที่เพิ่งเข้ามาเรียนวันแรกจะเหงา ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังแนะนำเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันตั้งแต่ม.ต้นให้ลิลิธได้รู้จัก

เพียงดาว เป็นสาวหวานตัวเล็กกว่าฮันนาห์และลิลิธ ท่าทางที่เรียบร้อยและดูขี้อายจากการที่เธอมาคุยกับลิลิธด้วยประโยคตะกุกตะกัก ต่างจากสิตางค์ เพื่อนสาวอีกคนที่ดูเป็นสาวมั่นและให้อารมณ์เหมือนพี่สาวของกลุ่ม

“ไปด้วยกันนะ”

“คือ”

“เธอไปถามเซ้าซี้แบบนั้น ลิลิธก็อึดอัดกันพอดีน่ะสิ” คาลวินที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองพูดขึ้น

“เอ๊ะ ระ เราทำให้ลิลิธอึดอัดเหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ลิลิธรีบปฏิเสธเมื่อเห็นเพื่อนผู้หวังดีเริ่มน้ำตาคลอ “คือฉันกำลังรอเพื่อน”

“ลิลิธมีเพื่อนเรียนที่นี่ด้วยเหรอ” สิตางค์ถามอย่างใคร่รู้

“อืม”

“เพื่อนเธอชื่ออะไร อยู่ห้องไหน แล้วทำไมเมื่อเช้าเธอไม่มากับเพื่อน”

“คาล นายถามเยอะไปแล้วนะ” ฮันนาห์หันไปเบรกคนที่สาดคำถามไม่หยุด “ที่ลิลิธไม่คุยกับนาย เพราะนายพูดไม่หยุดแบบนี้เองสินะ”

“หา?! ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหน”

นายก็เพิ่งทำไปนี่ไงเล่า ตาบ้า

สามสาวที่รู้นิสัยเพื่อนชายร่วมห้อง คิดตรงกันอยู่ในใจ

“เอาน่าๆ ยังไงก็ดีแล้วนี่นาที่ลิลิธมีเพื่อนเรียนอยู่ที่นี่ด้วย” ไตร เพื่อนชายร่วมห้องที่นั่งอยู่ไม่ไกลว่า

“นั่นสิ”

“ตอนแรกคิดว่าเธอจะย้ายมาเรียนที่นี่คนเดียวแล้วซะอีก ถ้ามีเพื่อนแบบนี้ก็ค่อยหายห่วงหน่อย” พี่สาวของกลุ่มอย่างสิตางค์คลายความกังวล

“หมอนั่นก็เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่เหมือนกับฉัน”

“เอ๊ะ?”

“หา?”

“อ้าว”

“ลิธอยู่ไหม?!”

ในตอนที่ทุกคนกำลังประมวลผลในสิ่งที่เพื่อนใหม่ว่า เสียงที่เรียกคนที่เป็นหัวข้อบทสนทนาก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลจนเกือบแดงไม่คุ้นหน้า จะมีก็แต่เด็กสาวผมดำขวับที่เอ่ยทักคนมาใหม่

“เร็น”