มันเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใส อากาศปลอดโปร่ง ปิแอร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างชื่นใจ ป่าอันกว้างใหญ่อยู่เบื้องหน้านี่เอง เขาอยู่ข้างนอกแล้ว ในที่สุด ทว่าที่แย่คือซีกฟรีตที่เดินตามหลังเขามาต้อย ๆ ทั้งคู่แต่งตัวด้วยชุดลำลองเหมือนอยู่บ้านวันปกติเว้นแต่รองเท้าผ้าใบแทนที่เท้าเปล่าสองคู่

ชายหนุ่มผมทองเห็นอีกฝ่ายแบกอะไรต่อมิอะไรมาเต็มไปหมด ทั้งตะกร้าปิ๊กนิคในมือขวา ผ้าปู และก็กระเป๋ากีต้าร์บนหลัง เขาเดาจากขนาดของมัน และด้วยความที่ปิแอร์ก็เคยเล่นและร้องรำทำเพลงกับพี่สาวพร้อมกีต้าร์เก่า ๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คงนอนเหงารออยู่ที่บ้าน ตัวคนเดียว ในขณะที่เจ้าของมันกำลังเดินบนถนนกรวดดินตามคำชี้ทางจากชายหนุ่มผมสีน้ำตาล

“ขนมาทำไมตั้งเยอะแยะล่ะ?” ปิแอร์แกล้งถาม “แล้วนายต้องเดินนำหน้าไม่ใช่เหรอ? ”

“ถ้าอยู่ข้างหลังฉันจะได้เห็นนายตลอด เอาล่ะเดินตรงไปอีกแปปเดียวก็ถึงแล้ว” ว่าแล้วซีกฟรีตก็ยกแขนข้างที่ถือตะกร้าชี้ไปข้างหน้า

ไม่นานนักก็พบกับที่โล่งเล็ก ๆ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจโดยเฉพาะ พื้นเป็นแบบเดียวกับถนนที่พวกเขาเดินมา ก็คือไม่มีหญ้ารก ที่ใกล้ริมน้ำมีโต๊ะไม้เก่า ๆ ตัวหนึ่งพร้อมม้านั่งเข้าชุดเป็นหลักฐาน ซีกฟรีตวางตะกร้าลงที่ม้านั่งและปูผ้าลายตารางขาวแดงบนโต๊ะก่อนจะยกตระกร้ามาวางทับอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกันปิแอร์ที่นั่งเท้าคางอยู่ ก็หันหน้าไปทางแม่น้ำและพูดขึ้นมา “นายจะร้องเพลงอะไรให้ฟังล่ะ? ”

“หืม? ” ซีกฟรีตหยุดและนั่งลง สายตาไม่เคลื่อนไปที่ไหนนอกจากเพื่อสบกับของอีกฝ่าย “ฉันเอามาให้นายเล่นต่างหาก ดูแล้วน่าจะเล่นเป็น” เขาเผยอปากทำหน้าเย้ยหยั่นนิดหน่อย ซึ่งทำไมปิแอร์ก็ไม่เข้าใจนัก “ดูยังไงเนี่ย?” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะจนลืมไปเลยว่าเบื้องหน้านี้คือคนผู้ที่กักขังเขาไว้ จริง ๆ แล้วปิแอร์คิดว่าเขาอาจแค่มีปมบางอย่าง และการค่อย ๆ สร้างความไว้ใจเพื่อหวังเกลี้ยกล่อมคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการชวนทะเลาะ

“แสดงว่าเดาถูกเหรอเนี่ย?” ซีกฟรีตยิ้มและพูดด้วยความเหลือเชื่อ “มันก็แค่ความรู้สึก ไม่เคยบ้างเหรอที่พอเรามองใครหรืออะไรก็จะมีภาพ มีเสียง มีกลิ่นที่ให้อารมณ์ความรู้สึกแบบเดียวกัน เหมือนอย่างมองรูปหนองน้ำแล้วเราได้กลิ่นเหม็น หรือรู้สึกว่าถูกยุงตอมน่ะ” เขาพูดอย่างฉะฉาน ดูมีความมั่นใจกับเรื่องนี้มาก คำพูดเขาทำให้ปิแอร์รู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกยกเอาหนองน้ำมาเปรียบเทียบ

“ก็ไม่ แต่ว่าเอ่อ...หลังจากกินเสร็จ ฉันเล่นให้ฟังเพลงหนึ่งก็ได้” ชายหนุ่มผมทองเสนอก่อนที่มือของเขาจะเปิดตะกร้าและค่อย ๆ หยิบขนมปังฝรั่งเศสออกมา มันยังคงเย็นอยู่เพราะว่าซีกฟรีตชอบเอาขนมปังไปแช่เย็นด้วยเหตุผลส่วนตัว จากนั้นก็ตามด้วยเนย ใช่ มันจะละลายเต็มทีเพราะซีกฟรีตไม่ยอมแช่เนยในตู้เย็น

มีดที่มีเนยถูกทาลงเบา ๆ บนชิ้นส่วนขนมปังฝรั่งเศสแข็งในมือนุ่มของชายหนุ่มชาวเยอรมัน มันบางมากเสียจนอีกฝ่ายละสายตาไม่ได้ด้วยรู้สึกประหลาดใจ “ไม่ชอบเนยงั้นเหรอ?” ปิแอร์เอ่ย เพราะเนยบนขนมปังเขาเองมันใหญ่เกือบเท่าก้อนที่จะหยิบใส่ปากอีกก้อนหนึ่งเลยทีเดียว

“ฉันไม่ชอบเนยน่ะ จริง ๆ ฉันเป็นคนไม่ชอบปรุงอะไรมากเท่าไหร่ด้วย...ว่าแต่...นายจะเล่นเพลงอะไร” ซีกฟรีตพูดพลางหยิบขนมปังชิ้นเล็กเข้าปาก สายตาเขาดูคาดหวังบางอย่างจากหนุ่มผมทองคนนี้ “เดี๋ยวก็รู้เองน่า” ปิแอร์ยิ้มนิด ๆ เขาชอบเวลาซีกฟรีตเป็นแบบนี้ที่สุดเลย บรรยากาศรอบตัวเขาตอนนี้มันช่างผ่อนคลายเหลือเกิน มีนกร้องจากไกล ๆ ลมพัดสบาย แดดอ่อน ๆ ยามสายฉายลงบนหน้าของชายหนุ่มผมสีทอง “ทำไมเราไม่มาร้องเพลงด้วยกันล่ะ?”

“ฉันไม่มั่นใจว่าจะรู้จักเพลงที่นายร้อง”

“จริงเหรอ? งั้น...นายชอบฟังเพลงเก่าใช่ไหม? ”

“สำหรับฉันก็ไม่เก่านะ แต่ใช่” ซีกฟรีตพยักหน้า “เสียดายที่นายฟังแต่เพลงทั่ว ๆ ไป”

ปิแอร์ขมวดคิ้วก่อนจะวางมือจากขนมปังและมีดเนย “มันไม่ดีอย่างนั้นเหรอ” สีหน้าเขาแสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อยนั่นทำให้ซีกฟรีตกังวล ชายหนุ่มเลยรีบพูด “เปล่าๆ มันก็โอเค ดีกว่านายไม่ฟังเพลง คือ… ฉันชอบทำความรู้จักคนจากเพลงน่ะ” ซีกฟรีตอธิบายก่อนจะกลืนน้ำลาย เขากลัวจริง ๆ ว่าปิแอร์จะเข้าใจผิดไป

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบพูดก็ได้น่า” ชายฝรั่งเศสรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกลัว “ตอนนี้ฉันอยู่ตรงนี้” เขาเอนตัวเข้ามาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้กำลังใจ ถ้าซีกฟรีตอารมณ์ดี เขาก็จะไม่ทำอะไรบ้า ๆ รวมไปถึงทำร้ายตัวปิแอร์ด้วย แต่ประโยคนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลต้องปาดน้ำตาออกไป เขาก็ไม่ได้อยากร้องไห้นักหรอก

“ขอโทษที ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้เลย นายแค่พูดเหมือนเขาน่ะ….” ซีกฟรีตสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหลบตาอีกฝ่าย หันหน้าไปทางแม่น้ำ ดูน้ำที่ไหลอย่างเอื่อย ๆ และค่อย ๆ พยายามหายใจให้ช้าลง สงบใจตัวเอง “มันผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่ฉันก็ลืมเขาไม่ได้สักที”

“รู้อะไรไหม” ปิแอร์ลูบมือของซีกฟรีตเบาๆ “ฉันก็มีคนที่ยังลืมไม่ได้เหมือนกัน และฉันกำลังตามหาเธออยู่” เขาเองก็มองไปทางเดียวกัน ความเงียบทำให้เสียงน้ำไหลดังยิ่งขึ้นกว่าที่ควรเป็น ความคิดของเขาก็ไหลเร็วกว่าเดิมด้วยเช่นกัน หวังว่าซีกฟรีตจะยอมปล่อยเขาไปแต่ดูเหมือนความหวังจะริบหรี่ลงเรื่อย ๆ เพราะสิ่งที่ออกจากปากของชายผมสีน้ำตาลนั้นคือประโยคที่ว่า

“ฉันชอบนายนะ”

“ชอบฉันเพราะฉันเป็นปิแอร์ก็ดีสิ” เจ้าของชื่อยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ ซีกฟรีตหันมามองเขา มันดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เห็นดังนั้นแล้วชายผมสีทองก็หยิบกีต้าร์มาและเช็คเสียงดูก่อนจะปรับไปมา มันมีกลิ่นของไม้เก่า ๆ คงเก็บไว้นานแล้วแต่สภาพยังคงดีอยู่ ไม่มีรอยขีดข่วน “ไม่ได้เล่นมานานเลยน่ะสิ”

“อืม ฉันแทบไม่ได้แตะมันเลยช่วงนี้” ซีกฟรีตพยักหน้าอย่างเรียบง่าย

“คิดก่อนนะ...” ปิแอร์เปลี่ยนคอร์ดที่จะเริ่มอยู่สองสามครั้งก่อนที่เขาจะเริ่มเล่นจริง ๆ ซีกฟรีตนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ และแล้วเสียงน้ำ เสียงนกก็เบาลงเพราะบทเพลงถูกบรรเลงขึ้นกลางป่า

“Someone told me long ago...” ชายทั้งคู่ขับขานพร้อมกัน สร้างความประหลาดใจที่ไม่ได้คาดคิดให้กับปิแอร์ และแล้ว Have You Ever Seen The Rain ก็ดำเนินไปจนจบ อย่างราบรื่น ซีกฟรีตร้องเพลงเพราะกว่าที่ปิแอร์คิดไว้ เสียงของเขาไม่เหมือนใคร และแน่นอนว่าซีกฟรีตเองก็ประทับใจการเล่นกีต้าร์ของปิแอร์เช่นกัน

“น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกนะเนี่ย” ชายผมสีน้ำตาลหัวเราะเขิน ๆ เขาไม่ละสายตาจากอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นพรวดพราดทำเอาปิแอร์ตกใจเล็กหน่อย “เก็บกีต้าร์ก่อนสิ” ซีกฟรีตกล่าวอย่างสุภาพ  “ทำไมเหรอ?” ชายหนุ่มฝรั่งเศสขมวดคิ้วแต่ก็ทำตามที่คนเยอรมันสั่ง

เขานั่งลงข้าง ๆ ปิแอร์ก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือโอบอีกฝ่ายเบา ๆ ด้วยความเขินอายและด้วยกลัวว่าปิแอร์จะตกใจ ซีกฟรีตหันไปวางจุมพิตอันอบอุ่นบนแก้มของปิแอร์ก่อนจะเอียงคอไปพิงไหล่ของเขา “รู้อะไรไหม...ฉันชอบปิแอร์ที่เป็นปิแอร์นะ”

“งั้นเหรอ?” เขาแกล้งถาม จริงอยู่ว่าวันนี้ดูปลอดภัย แต่เขาก็ไม่ควรไว้ใจคนที่ทุบหัวเขาด้วยค้อนและลักพาตัวมาหรอกนะ ปิแอร์ไม่มีทางไว้ใจ
ซีกฟรีต อย่างเด็ดขาด

“ใช่” ซีกฟรีตกระซิบแผ่วเบา แต่เพราะลมหายใจร้อนที่ออกมานั้นเองที่ทำให้ปิแอร์รู้สึกถึงบางอย่าง และมันเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย “เรามาลองอะไรใหม่ ๆ กันหน่อยไหม? ” ทั้งคู่สบตากัน ระหว่างนั้นเองที่ซีกฟรีตจับมือขวาของปิแอร์ เขาเลื่อนมันมาสัมผัสกับจุดที่กางเกงคับตึง ปิแอร์รู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และใช่ซีกฟรีตขยับมือนั่นขึ้น ๆ ลง ๆ และเริ่มถู ๆ ไถ ๆ

ตอนนั้นเองที่หมัดลงจอดที่แก้มซ้ายของซีกฟรีตอย่างแรง “ออกไป!” ปิแอร์ตะคอก เขาโกรธสุดขีดจนปรอทแทบแตก แต่แล้วซีกฟรีตก็ได้กลิ่นคาวเลือดออกมาจากปากของตัวเอง เขาปล่อยมือจากปิแอร์แล้วใช้มือป้องปาก โชคดีที่แค่กัดลิ้น ฟันไม่ได้หลุดออกมาเป็นซี่ ๆ “โอ้ย..”ชายหนุ่มกัดปากตัวเองอย่างหงุดหงิด

และด้วยความโมโห ซีกฟรีตจึงผลักอีกฝ่ายตกจากเก้าอี้ ลงไปในแม่น้ำตื้น ๆ นั่น ก่อนที่แขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มฝรั่งเศสที่เพิ่งล้มหงายหน้าจะพยุงตัวขึ้นได้ ขาขวาของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็กระทืบซ้ำลงที่หน้าอกด้วยแรงที่ตนมี ไม่ มันไม่ใช่เรื่องของแรงที่มีปัญหาหรอก ซีกฟรีตแรงน้อยทว่าบางอย่างมันสร้างความเจ็บปวดไปทั่วร่างของอีกฝ่าย ประสบการณ์ชีวิตที่ยากลำบากสอนปิแอร์หลายอย่าง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่หนึ่งในนั้นเลย ไม่เลยสักนิด

ไม่นานนักที่ซีกฟรีตเปลือยทั้งตัว รวมถึงคนที่นอนไร้ความหวังตรงหน้านี่ก็ด้วย ปิแอร์เห็นมันกับน้ำใส ๆ ที่เริ่มเล็ดออกมา มันเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อชายผมสีน้ำตาลนั่งบนหน้าอกของเขา ไม่รู้ทำไมแต่ยิ่งทั้งคู่สัมผัสกันความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนเหมือนโดนทับด้วยทั่ง

ซีกฟรีตเริ่มต่อยที่หน้าของปิแอร์สลับไปมาซ้ายที ขวาที ซ้ายที ขวาที ไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ หมัดก็หนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ปิแอร์อยากจะใช้หัวโหม่ง อยากจะต่อยคืน อยากจะทำอะไรบ้าง อยากจะโต้กลับได้บ้าง อยากจะร้องออกมาได้บ้าง ทว่าแรงแค่เพื่อจะหายใจก็แทบมีไม่พอ ทันใดนั้นเขาก็หยุด ใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำก็ถูกบังคับให้เปิดปากโดยมือที่นิ่มเนียนนุ่มของชายหนุ่มผมสีน้ำตาล เขากระแทกเอว มันเข้ามาแล้ว เข้ามาในปาก ด้วยความอุ่น ความเปียก ความชื้น มันมากเกินไปสำหรับซีกฟรีตจนของเหลวขาวข้นน่ารังเกียจไหลลงคอของผู้ที่ไร้ทางสู้ ความตายนั้นจะแย่แค่ไหนเชียวถ้าเทียบกับนรกบนดินนี้

แต่แล้วผู้กระหายในกามก็ยังคงกระแทกอย่างไม่หยุดยั้ง รอยยิ้มของซีกฟรีตนั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูเผิน ๆ แสนจะธรรมดา แต่สำหรับปิแอร์นั้นมันน่าขยะแขยง มีแต่เดรัจฉานเท่านั้นที่กระทำการอย่างนี้เป็นเหมือนอย่างเรื่องปกติ เรื่องปกติที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เรื่องปกติที่ปิแอร์ต้องรองรับอารมณ์แปรปรวณของซีกฟรีต เรื่องปกติที่ถูกกระทำปางตายก็ยังรอดกลับมาได้โดยไร้ร่องรอยบาดแผล เรื่องปกติ เรื่องปกติทั้งนั้น

ปัก ปัก ปัก ปัก เสียงหินกระทบกับกระโหลกดังเป็นจังหวะเดียวกํบที่เขาขยับสะโพก มือซ้ายที่ไม่มีหินยังคงกดไหล่ของปิแอร์อยู่ จนถึงตอนนี้ซีกฟรีตยิ้มเห็นฟันอย่างไม่รู้ตัว เขาดูมีความสุขมาก ไม่ใช่ยิ้มปลอม ๆ ที่มักมอบให้กับอีกฝ่ายเมื่อตอนต้องการแก้เขิน

ผ่านไปเป็นชั่วโมงจนแดดเริ่มแรง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่าที่ร่างกายของซีกฟรีตบังแดดให้กับชายชาวฝรั่งเศสที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้เพียงแค่หวังว่ามันคือฝันร้าย แต่มันไม่ใช่ เขารู้สึกถึงทุกอย่าง รู้สึกถึงของเหลวข้นที่ไหลลงคอนับครั้งไม่ถ้วน รู้สึกถึงแรงกด รู้สึกถึงแรงกระแทก รู้สึกถึงกระโหลกที่ร้าวและค่อย ๆ แตก สีแดงของเลือดแทนที่สีผิวเดิมของปิแอร์เกือบครึ่งหน้าจนเขาสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงยังรู้สึกตัวอยู่

ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บหลับตาลงแต่นั่นก็เท่ากับการทำให้สัมผัสอื่นมันชัดเจนขึ้น เขาได้ยินเสียง เสียงร้องของซีกฟรีต เขาร้องเหมือนอย่างตัวเองเป็นผู้หญิงที่โดนกระทำ กลับกันนั้นปิแอร์แค่ปริปากยังไม่ได้เลย แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ชายหนุ่มใช้แรงเฮือกสุดท้ายกัดลงอย่างเต็มแรง นั่นทำให้ซีกฟรีตร้องโวยวายเสียงดังจนผละตัวออกไป

มีเพียงสายตาอันอาฆาตของปิแอร์เท่านั้นที่ถูกแสดงออกมา นั่นเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย เขาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ อยากจะให้ซีกฟรีตตายซะที่ตรงนี้ แต่ปิแอร์ทำอะไรได้ล่ะนอกจากเป็นแค่ที่รองรับอารมณ์ เป็นแค่ตัวแทนของใครก็ไม่รู้ที่ตายไปนานแล้ว ทำไมกัน ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

เมื่อตั้งสติได้ซีกฟรีตที่โมโหมากกว่าเดิมก็พลิกตัวปิแอร์ก่อนจะจิกหัวและกระแทกมันกับหินในน้ำ เป็นการกดน้ำไปด้วยในตัว แผลเดิมที่ผากถูกซ้ำเติม เส้นบาง ๆ เท่านั้นกั้นขวางเขากับความตายเอาไว้ ปิแอร์ตายไม่ได้ ปิแอร์ต้องไม่ตาย ปิแอร์ไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้วิธีดูแลเอาใจใส่คนอื่นอย่างซีกฟรีตคนนี้ เขาเห็นภาพ หลายสิ่งหลายอย่าง ความทรงจำเก่า ๆ ที่ผุดขึ้นมาจาง ๆ เหมือนคนใกล้สิ้นลม ร่างของเขาถูกควบคุมเหมือนตุ๊กตาที่เปราะบาง ซีกฟรีตกดให้หัวเขาจมลงไปนานกว่ารอบอื่น ๆ ฟองที่ออกมาทางจมูกและปากเริ่มหมดไป น้ำเย็น ๆ ก็ไม่สามารถทำให้ปิแอร์รู้สึกตัวได้อีกต่อไป ตรงหน้าเขานี้คือหินอีกก้อน 
มันดูเขาถูกจับกดน้ำ และในความเป็นจริงมันเห็นทุกอย่าง

มันถึงเวลาแล้วอย่างนั้นเหรอ

“เปรีน เปรีน เธออยู่ไหน? ”