มันเป็นช่วงต้นปี 1962 ในเบอร์ลินตะวันตกที่ซีกฟรีตและเพื่อนพ้องใช้เวลาช่วงสุดท้ายของวัยมัธยมไปอย่างเหลวไหล ถือว่าเป็นโชคดีมากที่ประคองผลการเรียนไม่ให้ร่วงลงไปได้ แน่นอนว่าก็มีเวลาสั้น ๆ ที่ซีกฟรีต ซิกมุนต์และอย่างยิ่งคือเฟรดดริชจะมีกังวลบ้าง ทว่าไม่ใช่เซอเร็น เด็กหนุ่มเชื้อสายฝรั่งเศสดูจะเป็นหน้าเป็นตาของกลุ่ม เพราะเขาทั้งหน้าตาดี เรียนเก่ง เล่นกีฬาได้ เป็นที่รักของทุกคน และยังทำอาหารอร่อยอีกด้วย! ซีกฟรีตคิดว่าถ้าพวกเขาไม่พบเซอเร็นเมื่อห้าปีที่แล้วกลุ่มของพวกเขาก็คงเป็นแค่เหล่านักเรียนผู้น่าเศร้าที่ถูกลืม

อันที่จริงแล้วเฟรดดริชก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในทางที่แย่ เด็กหนุ่มผมทองที่หน้าม้ายาวปิดคิ้วถูกมองว่าเป็นคนเงียบที่ขยัน เพราะแม้ภาพติดตาของเพื่อนร่วมชั้นจะเป็นการที่เขาฟลุบหลับตลอดเวลาเรียน เกรดของเฟรดดริชก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด ซึ่งนั่นยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนซิกมุนต์ก็พอจะมีเพื่อนอยู่บ้างเพราะคนในรุ่นเอ็นดูบุคลิกภาพที่ซุกซนจนเป็นเสน่ห์แบบเด็ก ๆ ที่สดใสไร้ผิดภัย

ช่วงหลังมานี้ ซีกฟรีตเริ่มพัฒนาความรู้สึกบางอย่างต่อเซอเร็นที่เขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่ามันดีหรือร้าย เพียงแค่รู้ว่าบางอย่างมันเปลี่ยนไป ตั้งแต่แรกแล้วที่ปกติซีกฟรีตมักจะทำงานคู่กับซิกมุนต์ทว่าตอนนี้เซอเร็นกลับพยายามแย่งตัวเขาไปเป็นคู่ทำงานด้วยทำให้ทั้งคู่รู้สึกงงเล็กน้อย แต่ซิกมุนต์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาก็เริ่มชินที่จะทำงานคู่กับเฟรดดริชแล้ว

ในห้องสมุดวันหนึ่ง ตอนที่ซีกฟรีตและเซอเร็นเข้าไปนั่งรอเพื่อทำรายงานวิชาวิทยาศาสตร์ เด็กหนุ่มผมทองพาคู่หูไปนั่งในบริเวณที่เป็นจุดอับสายตาที่สุด พวกเขาอยู่ตรงข้ามซึ่งกันและกัน ด้วยความที่ชอบตั้งหนังสือเวลาอ่านทำให้ซีกฟรีตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแอบมองเขาอยู่แต่ซีกฟรีตรู้ว่าเท้าของเขากำลังเขี่ยที่เป้ากางเกงของตัวอยู่ ถึงมันจะรู้สึกดีเพียงชั่ววูบแต่นั่นทำเอาเด็กหนุ่มทั้งตกใจ สับสนและอายพร้อมๆ กัน “เฮ้!” ซีกฟรีตร้องออกมาเบาๆ เป็นการเตือนอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มผมทองแสร้งทำท่าตกใจ “อะไร?” และคำพูดของเขาก็ทำให้ซีกฟรีตฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เซอเร็นจึงคิดว่าควรเปลี่ยนเรื่องให้เพื่อนของตนลืมเหตุการณ์เมื่อสักครู่ “Parles tu la langue de Molière? ” เซอเร็นแกล้งถามแซวด้วยสำเนียงที่เลียนแบบจากคุณยายในปารีส เพราะเห็นที่ปกหนังสือหนาในมือของอีกฝ่ายถูกเขียนว่าฝรั่งเศสเบื้องต้น

“Je parle la langue de Goethe.” ซีกฟรีตตอบกลับก่อนจะถอนหายใจ เขาแค่พยายามจะทบทวนภาษาฝรั่งเศสก็เท่านั้นแล้วทำไมวันนี้สองคนนั้นถึงยังมาไม่ถึงห้องสมุดสักทีก็เป็นสิ่งที่เขากังวล ทว่าก่อนที่ซีกฟรีตจะเริ่มอ่านต่อเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังขึ้นมา “ใครไม่พูดกันล่ะ อีกอย่างนายเพิ่งตอบฉันมาเป็นภาษาฝรั่งเศสนะ” เซอเร็นพูดขำ ๆ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลได้แต่กลอกตา

“จริง ๆ แล้วฉันช่วยทบทวนให้ได้นะ เรื่องภาษาฝรั่งเศสน่ะ” เขาเสนอและทำตาวาวใส่อีกฝ่าย

หลังจากวันนั้นซีกฟรีตก็เก็บมันไปคิดอยู่ตลอด ไม่ใช่เรื่องที่เซอเร็นจะทบทวนภาษาฝรั่งเศสให้แต่เป็นเรื่องสิ่งที่เขาทำต่างหาก ทำไมต้องใช้เท้า แล้วทำไมต้องเป็นตรงนั้นด้วย บางทีฉากนั้นมันก็ถูกฉายซ้ำ ๆ ทุกคืนในขณะที่เขาพยายามข่มตาหลับและได้แต่หวังว่าเขาจะไม่รู้สึกดีกับเรื่องแบบนั้น

“ซีกฟรีตมาแล้ว! ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากหลังห้องเมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหลังช่วงพักกลางวันเสร็จสิ้นลง เพื่อนๆของเขานั่งรอกันครบทีม ข้าง ๆ ที่ว่างของซีกฟรีตคือซิกมุนต์ที่มีนิยายปรัมปราเล่มหนาวางอยู่บนโต๊ะ ข้างหลังมีเฟรดดริชท่าทางสะลึมสะลือ ส่วนทางขวาของเด็กหนุ่มผมทองก็คือเด็กหนุ่มผมทองอีกคนหนึ่ง เซอเร็นคนนั้นมีตาสีฟ้าสวยสดใส เขานี่เองที่เป็นคนกล่าวทักทายเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลดำ เขายิ้มหวานมองซีกฟรีตไม่ละสายตา

“ให้ตายสิ ปิดหน้าผ้าม่านหน่อยได้ไหม” ซีกฟรีตกล่าวพลางใช้มือขวาบังแดด นักเรียนที่นั่งริมหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเมื่อได้ยินเสียงก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าม่านมาปิด “แสบตาชะมัด” เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนจะนั่งลง ตอนนั้นเองที่ใครบางคนใช้มือฟาดที่บั้นท้ายของเขา “เฮ้!” ซีกฟรีตร้องก่อนจะหันไปมองเซอเร็นที่กำลังหัวเราะ “ใจเย็นน่าแค่แกล้งกันเอง” เด็กหนุ่มผมทองยังคงไม่หยุดหัวเราะ ขณะเดียวกันเพื่อนของเขาอีกสองคนก็หัวเราะในลำคอคลอตามน้ำไปด้วย

หน้าของซีกฟรีตแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้มันจะเป็นเพียงการแกล้งกันเล่น ๆ ระหว่างเพื่อน แต่ลึก ๆ แล้วมันเหมือนเป็นเข็มเล่มเล็ก ๆ มากมายที่แทงใจของเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เขาอึดอัดอับอายและขายขี้หน้า แต่กระนั้นซีกฟรีตก็หัวเราะแห้งแกล้งทำเป็นตลกไปด้วย เพราะอย่างนี้รึเปล่านะทีทำให้เซอเร็นไม่ยอมหยุด มันเป็นความผิดของซีกฟรีตจริง ๆ เหรอ?

“แน่ใจนะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ” เฟรดดริชพูดขำ ๆ พลางชี้หน้าเพื่อนที่นั่งข้างๆ เซอเร็นเลิกคิ้วขึ้น “แล้วแต่นายเลย” เด็กหนุ่มตอบเสียงสูงก่อนจะเท้าคาง หันหน้าไปเจอกับด้านหลังของซีกฟรีต เขาเล่นกับผมสีน้ำตาลเข้ม ใช้นิ้วม้วนมันเป็นเกลียวอย่างเพลิดเพลิน “เซอเร็น! ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลพยายามปัดมือของอีกฝ่ายออก

จริง ๆ แล้วซีกฟรีตในวัย 17 ปีก็ไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก เขาไม่ถือสาอะไรถ้าเกิดว่าเซอเร็นจะหยอกล้อเขาบ้างบางครั้ง แต่มันไม่ใช่ เขาทำแบบนี้ ทุกที่ ทุกวัน ทุกครั้งที่เจอกันจนเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เพราะว่าเซอเร็นไม่เคยแกล้งใครแบบนี้นอกจากเขา แม้แต่กับเฟรดดริชและซิกมุนต์ที่อยู่ในกลุ่ม จนซีกฟรีตคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะหยุดเรื่องนี้สักที ทว่าตอนนี้เขายังไม่มีแผนที่ดีนัก“เฮ้ พวก” ซิกมุนต์เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือก่อนจะพูดต่อ “เย็นนี้ไปค้างบ้านฉันไหม?”

“ถ้ามาบ้านฉันล่ะ?” ไม่รู้อะไรเข้าสิงให้ซีกฟรีตเสนอ วินาทีต่อมานั้นเขาก็เม้มปากด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่น่าจะพูดออกไปทั้งแต่แรก แก้มของเด็กหนุ่มรู้สึกร้อนและแดงขึ้นจากความอายและอึดอัดอีกครั้ง เขาควรรีบหาทางออกได้แล้ว ก่อนที่มันจะเริ่มส่งผลต่อสภาพจิตใจระยะยาว คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเงียบด้วยความอึ้ง เพื่อน ๆ ของเขามองหน้าเด็กหนุ่มตาไม่กะพริบ “อะไร? ” เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างเขิน ๆ

“14 ปีมานี้นายไม่เคยชวนใครไปบ้านเลยนะพวก” ซิกมุนต์บอก ขมวดคิ้ว เฟรดดริชพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนก่อนจะฟลุบตัวลงนอน “สรุปยังไงบอกฉันด้วยละกัน”

“ทำไมคราวนี้ไปได้ล่ะ” เซอเร็นยังคงเท้าคางอยู่ เลิกคิ้วขึ้นดูท่าทางสนใจไม่น้อยเลย

“แม่ฉันไม่อยู่บ้านน่ะ ก็คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดี…. เอ่อ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมากนักหรอกนะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกลืนน้ำลายและพยายามยิ้ม แต่ในขณะที่ทุกอย่างจะกลับไปเป็นอย่างปกติ เฟรดดริชก็เงยหน้าขึ้นมา “เห้ย!” เขาอุทาน “เย็นนี้ฉันต้องไปต่างจังหวัดนี่นา”

“ไม่มีเฟรดแล้วใครจะตบมุขละเนี่ย” เซอเร็นบ่น

“งั้นก็เหลือแค่สามคนอย่างนั้นเหรอ? ” ซีกฟรีตถามย้ำ สายตาแสดงถึงความผิดหวังเล็กน้อยแต่เฟรดดริชที่พยายามจะหลบสายตาของเพื่อนก็รับรู้ได้ “อืม..ขอโทษนะ ไม่ได้จริง ๆ ”

แต่แล้วมันก็มาลงเอยที่เซอเร็นเป็นแค่คนเดียวที่เดินกลับบ้านไปกับซีกฟรีตเพราะซิกมุนต์ต้องไปเยี่ยมพี่ชายที่โรงพยาบาล เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ คุณนายชไนเดอร์ หญิงชราที่เดินข้ามถนนสวนทางทั้งคู่ไปได้แต่มองหน้าและส่ายหัวเมื่อเห็นว่ามือที่กุมมือซีกฟรีตอยู่เป็นของผู้ชายด้วยกัน เธอบ่นงึมงำแต่เด็กหนุ่มได้ยินไม่ถนัดนัก

“ปล่อยมือเถอะ” ซีกฟรีตกระซิบเบา ๆ

“คิดมากน่า เราเป็นเพื่อนกัน จับมือไม่เห็นแปลกอะไร” เซอเร็นไม่ได้กระซิบกลับแต่ว่าตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ซึ่งถือว่าดังมากสำหรับซีกฟรีต คนแถวนั้นหันมามองเต็มไปหมด ทั้งคู่เป็นจุดสนใจ ความคิดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตามากมายหลายคู่นั้นกดความมั่นใจในตัวเองของซีกฟรีตให้ต่ำลงจากเดิม เขาเกลียดการเป็นจุดสนใจ “ยืนมือมาเถอะ จับมือหน่อยไม่ได้รึไง”

เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียน เดินจูงมือกัน ดูยังไงก็ล่อตำรวจชัดๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นซีกฟรีตก็รีบสะบัดมือและเดินนำไปก้าวหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับมาพูดกับเซอเร็น “เป็นเพื่อนกันก็ฟังกันบ้างสิ” มันเป็นความคิดที่แย่ แย่จริงๆ แย่กว่าโชคที่ไม่ค่อยจะมีของเขาเสียด้วยซ้ำ

ช่วงเวลาแห่งความอึดอัดที่ซีกฟรีตไม่ยอมปริปากพูดอะไรกับเซอเร็นที่เอาแต่จะพยายามเกาะแกะโน่นนี่นั่นของเพื่อนระหว่างเดินก็ดำเนินไปจนกระทั่งถึงที่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นของเด็กหนุ่มผมเข้ม “รู้อะไรไหม? ฉันไม่ค้างก็ได้ถ้านายไม่สบายใจ” เซอเร็นแกล้งพูด กอดอกเล่นตัว

มันมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่หน้าบ้าน พอดีเลยที่บังแดดยามเย็น ซีกฟรีตยืนอยู่ในเงาร่มไม้ เด็กหนุ่มถอนหายใจ เขาเกลียดที่เซอเร็นทำแบบนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ คำว่าเพื่อนที่อีกฝ่ายชอบอ้างนักอ้างหนานั้นมีผลกระทบกับซีกฟรีตมากว่าที่เด็กหนุ่มผมทองคิดไว้ ซีกฟรีตมีไม่มากนัก นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาน่ารังเกียจหรือไม่เข้าสังคม แต่เป็นเพราะเขามีความถือตัวเบาๆเท่านั้น และตอนนี้หนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่ซีกฟรีตเลือกเองกับมือก็แสร้งทำเดินจากไป

“นายมาค้างเถอะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเป็นฝ่ายรั้งเอาไว้

เซอเร็นที่ได้ยินก็รีบหันกลับมา “เยี่ยมมากเพื่อน” เขาหัวเราะ

ในบ้านของซีกฟรีตนั้นคงเรียกได้ว่าเป็นบ้านต้นแบบแห่งยุค 40s เพราะทุกอย่างมันเหมือนอย่างกับว่าถอดแบบมาจากแค็ตตาล็อก ทั้งตู้ เก้าอี้ โต๊ะ โซฟา นาฬิกาแขวน แม้กระทั่ง พรม วอลล์เปเปอร์และเพดาน ทุกอย่างถูกคุมโทนด้วยสีเขียวอ่อน ครีม และสีแดง กลิ่นหอมบางอย่างโชยเข้ามาเตะจมูกของเซอเร็น เด็กหนุ่มผมสีทองหลับตาลง “กุหลาบเหรอ? ”

“ใช่แล้ว กลิ่นน้ำหอมของแม่น่ะ” ซีกฟรีตพยักหน้าก่อนจะนั่งลงบนโซฟาและหาว “เหลือคนเดียวแล้วทำไมยังมาอีกล่ะ?” เขาตัดสินใจถามออกไป 
ถึงนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่กวนใจเขามากที่สุดก็ตาม ใจจริงแล้วซีกฟรีตอยากรู้มากกว่าว่าทำไมเซอเร็นชอบหยอกล้อกับเขาจนมันน่ารำคาญ

“จำเรื่องฝรั่งเศสได้ไหม? ที่เราคุยกันในห้องสมุด” เซอเร็นนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนของเขา วางกระเป๋าไว้ใกล้ขาโซฟา “จำได้สิ ทำไม? ” ซีกฟรีตถามกลับ เด็กหนุ่มลูบผมตัวเองรอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ในตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไม่ได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มผมสีทองก็คว้ามือของเขาไว้และดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามา หน้าของทั้งคู่ใกล้กันจนน่าอันตราย ซีกฟรีตใจเต้นรัวเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขากลืนน้ำลายผ่านคอที่แห้งผาก ทว่าก่อนที่จะผลักออกไป เซอเร็นก็มอบจูบแรกในชีวิตให้กับเขา

ในขณะที่ลิ้นสอดเข้ามาซีกฟรีตก็หลับตาลงและยอมแพ้ เขาปล่อยให้เซอเร็นเข้าสำรวจเสียทั่วก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มหายให้ไม่ออกจนมันจบลง เพียงแค่เหตุการณ์สั้น ๆ ครั้งเดียว มันก็เปลี่ยนมุมมองทุกอย่างที่ซีกฟรีตมีต่อเซอเร็นไปสนิท เขาหายใจหอบ เหงื่อออกจากผาก เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหลบตาอีกฝ่าย เขาสับสนไปหมด มันคืออะไรกัน สำหรับเขาแล้วซีกฟรีตเป็นอะไรกันแน่ ยังเป็นเพื่อนกันจริง ๆ หรือเปล่า

“นั่นคือจูบแบบฝรั่งเศส” เซอเร็นกระซิบก่อนจะหัวเราะและหยิบกระเป๋านักเรียนตัวเองขึ้นมาวางบนตักก่อนที่จะรูดซิปหาหนังสือ “เอาล่ะไหนดูซิ...” แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นซีกฟรีตที่นั่งอย่างอึดอัดก็หัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “นายมีอารมณ์ กับจูบเมื่อกี้เนี่ยนะ!? ” เซอเร็นถาม คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เลือดลมสูบฉีดก็ยิ่งไปถึงที่ตรงนั้นเร็วขึ้น “ก็ทำไมล่ะ นายทำแบบนั้นทำไม!” ซีกฟรีตร้อง เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย นั่นมันก็เป็นแค่การแกล้งเท่านั้น คงเป็นความผิดของเขาเองสินะที่มีความรู้สึก ที่เป็นคนอ่อนไหว “ตอบฉันสิ”

“นายน่าแกล้งดีนี่นา” เซอเร็นพูดอย่างยิ้ม ๆ พลางเปิดหนังสือภาษาฝรั่งเศส “อีกอย่างมันก็ดูเหมือนนายจะชอบด้วยนี่ ไม่งั้นจะยอมมาถึงขนาดนี้เหรอ? ”

“ฉันยอมเพราะนายเป็นเพื่อนต่างหาก” ว่าแล้วซีกฟรีตก็เอาหมอนมาซ่อนความอับอายของตนเอง “ถ้ามีใครมาเห็นเข้าพวกเราซวยแน่รู้ไหม?” น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความกังวลและหงุดหงิดอย่างชัดเจน ซีกฟรีตหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าจะมีใครแอบมอง

“นายกังวลมากเกินไปแล้ว เอาล่ะมาติวกันเถอะ” เด็กหนุ่มผมสีทองโบกหนังสือไปมาหน้าอีกฝ่าย “โอเคไหม ลืมมันซะ”

“ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำก่อน เพราะนายนั่นแหละ” เมื่อกล่าวอย่างหงุดหงิดแล้วซีกฟรีตก็ปาหมอนใส่เซอเร็นก่อนจะปรี่เพื่อไประบายความใคร่กับตัวเองในที่ลับตา ทิ้งให้เซอเร็นนั่งงงอยู่อย่างนั้น

ในห้องน้ำสีเขียวอ่อน บนชักโครกสีชมพู ซีกฟรีตนั่งอยู่ เด็กหนุ่มหลับตา ในมือกำมันอยู่ขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ ในขณะที่จินตนาการแล่นไปไกล ตอนแรกเป็นรูปสาว ๆ ริมชายหาดแต่มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เป็นเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกัน ผมสีทอง ตาสีฟ้าสดใส หุ่นผอมอย่างสุขภาพดี เขาพูดติดสำเนียงฝรั่งเศสนิด ๆ ใช่ นั่นคือเซอเร็นที่ทำให้จินตนาการของเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านโลดแล่นไปไกลจนน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมา

เขามองของเหลวบนมือของตนก่อนจะเดินไปล้างมือ คิดแค้นเพื่อนคนนั้นที่นั่งสบายใจอยู่บนโซฟาสีแดง ตอนนี้เซอเร็นคงเปลี่ยนท่าไปเป็นนอนอ่านหนังสือ มากกว่านั้นหน่อยอาจถือวิสาสะเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง อ่าใช่… เพลงบลูส์กำลังบรรเลงอยู่ในห้องนั่งเล่น ปกติแล้วซีกฟรีตจะต้องลุกขึ้นเต้นเสมอเมื่อเพลงดังขึ้นแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะขยับเท้าหรือส่ายเอวอีกแล้ว

ซีกฟรีตคิดว่าวันนี้มันแย่ที่สุดก็เพราะจูบแบบฝรั่งเศสที่ทำให้ตัวเองสับสนทางเพศ เท่านั่นยังไม่พอ เซอเร็นดื้อดึงไม่ยอมนอนบนโซฟาเพราะเขาอยากนอนบนเตียงเดียวกับซีกฟรีต บนเตียงเดียวกับซีกฟรีต! เพื่อนของเขาต้องเป็นเสียสติไปแล้วแน่ ๆ

“ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจไงล่ะ” นั่นเป็นสิ่งที่เซอเร็นอ้าง “ถ้านายไม่คิดอะไร มันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ” เขากอดอก ยืนเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านอยู่หน้าห้องนอนของเขา “ก็ได้ ๆ ” ซีกฟรีตกลอกตาและยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาก่อนจะค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง “ชอบสีอะไร” เด็กหนุ่มถามเพื่อน ยังคงหาชุดนอนให้เขาอยู่

“อะไรก็ได้ ฉันไม่เรื่องมากหรอก” เขาตอบก่อนจะนั่งลงบนเตียงของซีกฟรีต เซอเร็นตบที่นอนเบา ๆ และเอนตัวนอนอย่างขี้เกียจ เขาหมุนตัว เห็นนาฬิกาที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง “ห้าทุ่มแล้ว เร็วจังเลยนะ”

“อืม… ใส่พวกนี้ได้รึเปล่า” ซีกฟรีตโยนเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นใส่เพื่อนของเขา แต่เมื่อมันตกลงใส่หน้าแล้วเซอเร็นก็โยนเสื้อคืนไป “ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ มันร้อน” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ถอดเสื้อของตัวเองออกเช่นกัน นั่นทำให้ซีกฟรีตต้องหันหน้าหนีและพยายามไม่คิดมาก

ในตอนแรกนั้นทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเว้นแต่ว่าซีกฟรีตนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวไปมาหลายรอบจนเซอเร็นที่นอนอยู่ทางขวาของตนส่งเสียงเตือนว่ารำคาญ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงพยายามนอนนิ่ง ๆ ทั้งคู่ห่มผ้าผืนเดียวกัน นั่นคงเป็นสาเหตุที่เขารู้สึกร้อนจนนอนไม่หลับ ทว่าจู่ๆ ซีกฟรีตก็ได้กลิ่นบางอย่าง เขาค่อย ๆ เขยิบตัวไปใกล้แหล่งของมันมากขึ้น เซอเร็น มันคือกลิ่นของเซอเร็น

กลิ่นมันไม่ได้หอมแบบเดียวกับดอกไม้แต่หอมแบบที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้ ซีกฟรีตเขยิบตัวไปติดกับอีกฝ่าย แต่เพื่อความแนบเนียนเด็กหนุ่มจึงจำต้องแสร้งทำเป็นละเมอ เขาใช้ขาก่ายอีกฝ่ายไว้และพูดพึมพำๆ ไม่ได้ศัพท์ จริง ๆ เซอเร็นรู้สึกทุกอย่างเพราะเขาเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน เพียงแต่อยู่นิ่งๆ เท่านั้น

แต่แล้วมันก็เริ่มขึ้น ซีกฟรีตได้ถูไถส่วนล่างของตนกับบั้นท้ายอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ แต่เซอเร็นก็ยังนิ่งต่อไป เด็กหนุ่มเร่งจังหวะขึ้นแต่ก็พยายามไม่ให้มันเร็วเกินจนทำให้เพื่อนตื่น ในขณะเดียวกัน คอของเขามันดูน่าดึงดูดเหลือเกิน ซีกฟรีตอดไม่ได้ก็จะเลียมันเบา ๆ ก่อนที่จะกัดลงไป เมื่อจุดสุดยอดเคลื่อนมาใกล้ทุกทีสติของเขาก็เหมือนจะหนีไป เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกต่อไปว่าเซอเร็นจะรู้สึกตัวหรือไม่เพียงแค่คืนนี้เขาสามารถเติมเต็มความต้องการได้ก็เพียงพอแล้ว

ในตอนเช้า แน่นอนซีกฟรีตเห็นได้ชัดเจนว่าเซอเร็นรู้สึกไม่สบายใจแม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมันตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก “เป็นอะไรเหรอ” ซีกฟรีตแกล้งถามพลางเกาหัว

“ไม่ ไม่มีอะไรฉันสบายดี” เซอเร็นหัวเราะกลบเกลื่อนความกลัวที่เขาค่อย ๆ สร้างต่อซีกฟรีตอย่างช้า ๆ แต่เมื่อเขาหันหน้าไปสบตากับเพื่อนก็ค้นพบว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว ซีกฟรีตยิ้มให้เขา มันไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะลูบบั้นท้ายของเพื่อนอย่างช้าๆ มันทำให้เซอเร็นสะดุ้ง เด็กหนุ่มผมทองรีบเดินหนี “ทำไมต้องทำแบบนั้น” เขาขมวดคิ้ว

“อะไร? นี่นายคิดมากเหรอ?” ซีกฟรีตทำตาโตใส่ “ก็แค่แกล้งกันเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็รีบเดินตามเพื่อนของตัวเองไปและวางจูบเล็ก ๆ ที่แก้มให้ก่อนจะไปแปรงฟัน เซอเร็นสบตากับเขาตลอดจนกระทั่งซีกฟรีตหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เขายืนอยู่อย่างนั้น เด็กหนุ่มผมทองเห็นว่าเพื่อนของเขายิ้ม มันไม่ใช่แบบที่สะใจเหมือนอย่างที่เขาทำเมื่อแกล้งซีกฟรีต แต่สายตานั้นทำเอาเขาขนลุก เซอเร็นไม่เคยเห็นซีกฟรีตมองใครด้วยแววตาแบบนั้นมาก่อน มันแสดงให้เห็นหลายอย่าง ความต้องการ ชัยชนะ และการอยากครอบครอง