“อะนี่” ซีกฟรีตยื่นการ์ดกระดาษแข็งสีชมพูพาสเทลให้กับปิแอร์ที่คราวนี้แต่งตัวอยู่บ้านอย่างคนปกติ จะแย่หน่อยก็ตรงที่เขางัวเงียและเริ่มรู้สึกกวนใจนิด ๆ ที่ซีกฟรีตมาเกาะแกะตั้งแต่เช้า ชายหนุ่มผมสีทองรับมันมาโดยไม่สบตาอีกฝ่าย เขาฟลุบตัวลงนอนกับโต๊ะกินข้าว “เราอาจจะเริ่มต้นกันไม่ดีนะ แต่ว่าฉันเขียนอะไรมาให้ ลองอ่านดูสักหน่อยก็ดี” นั่นเป็นเสียงที่ปิแอร์ได้ยินก่อนเสียงสะอื้นและเสียงเดินลงบันได

ข้อความในนั้นถูกเขียนด้วยลายมือที่พยายามจะทำให้ดูเรียบร้อยและอ่านง่าย แต่ก็มองออกอยู่ดีว่าโดยธรรมชาติแล้วเขียนตัวอะไรก็ไม่เท่ากันสักตัว

“ฉันขอโทษนะที่ทำร้ายนาย จริง ๆ ฉันรักนายนะ” พร้อมกับรูปแมวทักซิโด้ทำหน้าเศร้า แต่มันหน้าตาเหมือนเจ้าแมวในฝันเลย

“ให้ตายสิขี้แพ้ชะมัด” ปิแอร์บ่นกับตัวเอง ซีกฟรีตทำตัวเหมือนนางเอกในขณะที่เขาเองนั่นแหละเป็นตัวร้าย เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็งอน เดี๋ยวก็หงุดหงิด แถมประชดเก่งเป็นบ้าเลย ชายหนุ่มเกาหัวตัวเองแกรก ๆ จนผมทองนั่นฟูไปหมด เขาไม่ได้ต้องการการ์ดบ้า ๆ นี้ แต่ต้องการหนีออกไปต่างหากล่ะ

ปิแอร์คิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้น เขาต้องรีบหากระเป๋าและโทรศัพท์ให้เจอ แต่เป็นโชคร้ายของเขาที่ซีกฟรีตดันลงไปนั่งซึมอยู่ข้างล่างพร้อมกับเพลงเศร้ายุค 1950s เขาว่าเพราะเพลงพวกนั้นจะทำให้ซีกฟรีตเศร้ากว่าเดิม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาอยากลงไปสำรวจที่ชั้นล่างแต่ว่าวันนี้คงทำได้แค่ค้นห้องนอนและห้องน้ำ ทว่าสายตาของเขาก็สบเข้ากับบางอย่าง


“วันนี้วันที่ 10?” ชายหนุ่มผมทองในเสื้อยืดสีเทาจ้องมองปฏิทินจากไกล ๆ ไม่ยักรู้ว่าตัวเองสลบไปนานขนาดไหนหลังจากเป็นลมหมดสติไปบนเตียง เขาคิดว่าอย่างมากก็แค่ถึงเช้า ซึ่งก็จริง ถึงเช้าของวันที่ 10 ปิแอร์ก้มลงมองตัวเอง เขาพลิกแขนตัวเองไปมา ตัวเขาสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นเหงื่อกลิ่นไคล จะมีก็แต่กลิ่นน้ำยาซักและสบู่ของซีกฟรีต แสดงว่าซีกฟรีตคงต้องดูแลและเปลี่ยนชุดให้เขาก่อนจะอุ้มมานั่งที่เก้าอี้สินะ มันน่าขนลุกมากในความคิดของปิแอร์ เดาว่าคงเป็นพวกยึดติดง่ายปล่อยวางยาก

ในห้องน้ำนั้นไม่มีอะไรมากนัก ปิแอร์ถูกต้อนรับด้วยรูปวิวของบ้านเมืองในยุโรปสักแห่ง ถัดจากนั้นไปคือรูปขนมปัง คนแบบไหนกันอยากจะมองขนมปังเวลาปลดทุกข์หรืออาบน้ำ? ชั้นวางของในห้องนั้นไม่มีลิ้นชัก ดังนั้นเขาจึงเห็นผ้าเช็ดตัวที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย แชมพู ครีม และอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน

ชายหนุ่มมองหน้าตัวเองในกระจก ลูบคาง “จริงสิ! ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีความหวังเมื่อเห็นที่จับอยู่ตรงกรอบไม้ของกระจก ปิแอร์เปิดมันเพื่อสำรวจก็พบแต่พวกแผงยาแก้แพ้หมดอายุ ดังนั้นลิ้นชักในห้องนอนจึงเป็นที่สุดท้ายของการค้นหาคราวนี้

เพลงเศร้าเริ่มวนซ้ำมาที่เพลงแรก “ไหนดูซิ...” ชายหนุ่มฝรั่งเศสค่อย ๆ เลื่อนลิ้นชักเปิดจากล่างขึ้นบน สองชั้นล่างนั้นว่างเปล่าแต่ว่าชั้นบนสุดนั้นมีลิปสติกอยู่หนึ่งแท่ง ข้าง ๆ มันมีกล่องไม้ถูกวางไว้ ด้วยความสงสัยและระแวง ปิแอร์หันมองซ้ายขวา เมื่อทางสะดวกจึงเปิดมันเพื่อคลายความใคร่รู้โดยวางฝากล่องไว้บนลิ้นชัก กลิ่นกระดาษเก่าตีขึ้นมา มันพาเขาย้อนกลับไปในยุค 60s พวกนั้นคือจดหมายที่ถูกเคลือบไว้จากใครบางคนถึงซีกฟรีตด้วยกระดาษไซส์เอห้าพอดีกล่อง

ชายหนุ่มรู้ภาษาเยอรมันไม่มากนักแต่อย่างน้อยเขาก็แปลประโยคสุดท้ายออก

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

ลงชื่อ เซอเร็น “เซอเร็นเหรอ? ” ปิแอร์ขมวดคิ้ว ไล่ ๆ ดูจดหมายฉบับไหนก็มีแต่ลงท้ายด้วยชื่อนี้ทั้งนั้น อาจเป็นคนที่หน้าตาเหมือนปิแอร์ก็ได้ 
ซีกฟรีตอาจเคยอกหักมาก่อน แต่น่าแปลกใจที่วันที่ในจดหมายเหล่านั้นกลับเป็นเมื่อเกือบ 50 ที่แล้ว คงถึงเวลาที่จะลงไปถามเจ้าตัวที่นั่งซึมเศร้าอยู่ข้างล่าง

เขาเดินลงบันไดไปอย่างเงียบ ๆ เรียกว่าย่องเลยก็แทบจะได้ เมื่อก้าวลงมาจากบันไดจะพบกับกีต้าร์โปร่งที่ถูกตั้งไว้อย่างเหงาๆ ณ มุมห้อง ส่วน ทางขวาก็มีตู้หนังสือสองตู้ใหญ่ซึ่งถูกคั่นกลางด้วยโต๊ะเขียนหนังสือ ในอีกส่วนของห้องห้องมีโซฟาใหญ่สีขาวซึ่งหันหลังให้กับปิแอร์ มันและโซฟาเล็กอีกสองตัวพร้อมกับทีวีจอแบนล้อมรอบโต๊ะกาแฟเล็ก ๆ และที่ถัดไปจากตู้หนังสือทางขวานั้นก็มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ขับกล่อมความระทมให้ทวียิ่งขึ้นไปอีก แต่พระเจ้า ซีกฟรีตเป็นนักสะสมแผ่นเสียงที่มีของในคอเล็คชั่นมากที่สุดที่เขาเคยเจอมาเลย

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนั่งหงอยอยู่บนโซฟา โดยมีแมวสามสี เจ้าลิลลี่นอนตัก “เฮ้!” ปิแอร์ทักทายโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว ซีกฟรีตสะดุ้งโหยงทำเอาแมวน้อยหล่นจากตัก มันร้องแง้ว ส่วนเขาก็ส่งเสียงขู่ชายหนุ่มอีกคนเหมือนแมวที่โดนพรมน้ำใส่

“ไม่ยักรู้ว่าทำอย่างนั้นได้” ปิแอร์หรี่ตามองใบหน้าที่ตอนนี้ดูหงุดหงิดใจของอีกฝ่ายแต่คราบน้ำตาก็ยังคงอยู่บนหน้า ตาบวมขึ้นนิดหน่อย “ฉันอ่านแล้ว เจ้านี่น่ะ” ว่าแล้วปิแอร์ก็ชูการ์ดให้ซีกฟรีตดู “ของแบบนี้พูดตรง ๆ ดีกว่าไหม? และรูปแมวมันไม่ช่วยให้น่ารักขึ้นหรอกนะ”ซีกฟรีตได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ คิ้วขมวด จ้องเขม็งเข้าไปในนัยย์ตาสีฟ้า “บางคนก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาทางคำพูดได้ดีที่สุดนะ” ว่าแล้วเขาก็เอาขาขึ้นมานั่งกอดเข่า นี่มันพื้นฐานของเด็กมีปัญหา 101 ชัดๆ 

“ทำไมนายไม่ใจดีกับฉันเลย”

“นายนั่นแหละ!” ปิแอร์โยนการ์ดนั่นใส่หน้าซีกฟรีตที่เหมือนจะสะกิดต่อมน้ำตาของเขาอย่างแรง “เคยคิดบ้างรึเปล่าว่าฉันน่ะเจ็บแค่ไหน นายมันเห็นแก่ตัวชัด ๆ ความรักอย่างงั้นเหรอ? อย่ามาอ้างให้อ้วกเลย!” เสียงตะคอกของเขาดังมาก ดังเสียจนซีกฟรีตขยี้หัวตัวเองแรงๆ

“พอแล้วพอ!” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นตะโกนใส่อีกฝ่ายด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ว่าแล้วว่ายึดติดของแบบเดิม ๆ มันไม่ดี” เขาลุกขึ้นแล้วจับหูของปิแอร์ที่ตอนนี้ยืนอยู่หน้าโซฟา “นี่ก็เหมือนเขา” จากนั้นก็จมูก หัวตา คิ้ว ปาก “นี่ นี่ นี่ พวกนี้หมดเลย” ซีกฟรีตไม่ใช่คนแบบที่จะรับอารมณ์ตัวเองไหว เมื่อมันถึงจุดที่เกินไป น้ำตามันก็จะเล็ดออกมาเสมอ ตอนนี้ก็ด้วย

“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ? ฉันละอยากรู้จริงๆ ว่าต่อมน้ำตาทำงานหนักขนาดไหน” ปิแอร์กลอกตา “และช่วยเคารพฉันหน่อย เรียกฉัน ปิแอร์! ไม่ใช่ตัวแทนของใคร” ว่าแล้วเขาก็กอดอก ซีกฟรีตถอนหายใจ ชายหนุ่มส่ายหัวและก้มหน้า เขาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือไม้ เลื่อนลิ้นชักแล้วหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา

มือขวาชูรูปขาวดำเก่า ๆ ให้ปิแอร์จากไกลๆ ก่อนจะเข้ามาใกล้ๆ “จะไม่ได้คิดอย่างนั้นได้อย่างไงล่ะ?” ก็จริงของซีกฟรีต ปิแอร์เหมือนมองหน้าตัวเองแต่ว่าเป็นเวอร์ชันยุค 60s ทั้งสีหน้าที่แสดงออกมาก็ยังไม่ผิด “ว้าว…” ชายหนุ่มฝรั่งเศสหรี่ตา “นายมีปัญหากับคุณปู่งั้นเหรอ? หรือว่าอะไร”

“เขาไม่ใช่ปู่ แต่เคยเป็นเพื่อนสนิทฉัน” ซีกฟรีตตอบเรียบ ๆ เขาสงบสิตได้เร็วกว่าที่ปิแอร์คาดไว้ ซึ่งดูไปแล้วซีกฟรีตอาจจะเป็นคนที่สงบโดยธรรมชาติ แต่นี่มันเป็นปมปัญหาที่ใหญ่เกินไป

“เอางี้นะ” ปิแอร์นั่งลงบนโซฟาเดิมพร้อมดึงซีกฟรีตมานั่งด้วย “ฉันรู้จักจิตแพทย์ดี ๆ บางทีถ้านายยอม พวกเราก็ไปหาเขาได้ ดีไหม?” 
เขากระพริบตาปริบ ๆ ลูบหลังซีกฟรีตเบา ๆ แต่น้ำเสียงของเขายังคงโมโหและหงุดหงิดอยู่ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ที่ใต้ตู้หนังสือมีตู้เล็ก ๆ อีก เดาว่าคงเอาไว้เก็บกระเป๋าได้พอดี

“นายไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย” ซีกฟรีตส่ายหัวและกุมขมับ “ทำไมนายไม่ชอบการ์ดฉันล่ะ”

ปิแอร์ได้แต่ถอนหายใจ “หัดตามใจคนอื่นซะบ้างนะ” ว่าแล้วก็จิ้มที่จมูกของอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ “สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่การ์ดหรอกนะ นายลงทุนผิดไป”  ปิแอร์ปล่อยมือจากหลังของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

เขามองตรงไปยังรูปวาดสีน้ำมันของป่าที่ถูกแขวนบนกำแพงทางขวา “ฉันอยากออกไปข้างนอกต่างหาก”