ท่ามกลางเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา เสียงฟ้าผ่าอันคลุ้มคลั่ง ภายในซอยซึ่งถูกปิดใช้งานชั่วคราวเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมายจากการก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จสิ้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามา เขาขบกรามแน่นและพยายามไล่ตามเงาร่างเล็กๆ ที่หายไป

แสงวูบจากท้องฟ้าเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ทั่วบริเวณนี้สว่างวาบบางครั้ง เขาผ่านกองหินบด กองทราย ปีนข้ามกองไม้เข้าไปแบบระมัดระวัง กวาดสายตามองหากระทั่งเจอเด็กตัวเล็กนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ในซอกด้านหลังกองเหล็กที่ตั้งเรียงแถวซ้อนกันสูงกว่าสามเมตร เขาไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไป แต่เอื้อมแขนยื่นสุดกำลังก็แตะคว้าไม่ถึง เธอยิ่งเบิกตาโตตกใจถดหนีกว่าเดิม

พริบตานั้นเสียงดังสนั่นสะเทือนคู่กับเสียงแปร่งหูของโลหะที่เคลื่อนตัวก็เรียกให้เงยหน้าขึ้นมองทันควัน ภาพสุดท้ายที่สะท้อนกับแววตาคือพวกชิ้นเหล็กที่ร่วงหล่นลงมา

เด็กน้อยยังคงนั่งคู้ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ไม่แม้แต่จะขยับตัวหาทางหนีออกไปหรือร้องขอความช่วยเหลือ เธอใช้ฝ่ามือปิดปากตัวเองไว้ น้ำตาเม็ดโตปริ่มตกจากขอบตา ลมหายใจติดๆ ขาดๆ แต่ก็เก็บกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นสุดชีวิต ทำเพียงพยายามที่จะหยุดทุกอย่างในตัวเอง หลับตาไว้แน่นๆ อยู่ที่เดิมภายในนั้น

รอบด้านเหลือเพียงความเงียบ โดยฝนที่ตกลงมาได้ชโลมสิ่งต่างๆ แผ่ขยายเลือดสีเข้มเป็นวงกว้างไปตามน้ำขัง พยายามชะล้าง เจือจางไปพร้อมกับแสงฟ้าผ่า ราวกับจะกลบทับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดซ่อนไว้

 

เมื่อฤดูหนาวมาเยือนเมืองโค้งแม่น้ำ หิมะสีขาวก็ทิ้งตัวจากเมฆบนฟ้าตกสู่ผืนดิน กลางคืนเริ่มยาวนานกว่ากลางวัน อุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนหนาวจับขั้วหัวใจทำให้ผู้คนที่เลิกงานทยอยกลับเข้าบ้านเพื่อไปนั่งผิงเตาไฟอุ่นๆ อีกไม่นานท้องถนนจะเต็มไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ โคมไฟแก๊สที่ทอดยาวทุกจุดของถนนพากันส่องสว่าง ผิวแม่น้ำค่อยๆ จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นหนา

ทิวทัศน์เวลานี้ดูสวยงามมาก ทว่าในสายตาของคนไร้บ้าน มันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด รวมถึงเด็กสามคนที่จับมือเดินไปด้วยกันตามลำพังบนทางเท้า

 

“..หนาว หนูหนาวมากเลย”

 

เด็กหญิงตัวเล็กที่สุดสั่นจนฟันกระทบกัน เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่หนาเพียงพอ ทางพี่ชายที่จับมือก็พยายามจะแบ่งผ้าผืนเก่าๆ ที่มีแบ่งคลุมด้วยกันไว้

 

“ผม ผมเองก็หนาวมาก”

“ทนไว้ นะ”

 

พี่สาวคนโตสุดย้ำคำ ควันไอเย็นออกจากปากทุกครั้งที่พูด เธอจูงมือสองคนเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ย่อท้อ ดวงตาสอดส่องมองหาที่หลบลมหนาวในคืนนี้ กระทั่งมองเข้าไปหลังรั้วเหล็กดัดสีดำเบื้องหน้า ที่ตั้งอยู่ด้านในคือคฤหาสน์ใหญ่โตมืดสนิท สวนรอบๆ กว้างขวางแต่รกร้างขาดการดูแลแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่อาศัยที่นี่

 

“รอ รอเดี๋ยวนะ”

 

เธอเร่งรีบเดินไปดูบริเวณประตูรั้ว จากนั้นจับแม่กุญแจที่ล็อกคล้องกับโซ่เส้นหนาพลิกดู เด็กหญิงนำลวดเส้นเล็กสอดเข้าไปในช่องไขขยับทีละนิด มือเล็กที่ไม่ได้สวมถุงมือเป็นแผลแดงและชา หิมะกัดนิ้วไร้ความรู้สึกทำให้ไม่ถนัด อีกทั้งหนาวมือสั่นกึกๆ คุมได้ยาก ทว่าเธอไม่อยากยอมแพ้ ที่นี่เหมาะที่สุดสำหรับหลบพัก

ระหว่างยืนรอ เด็กหญิงตัวเล็กสุดก็ล้มลงกับพื้น พี่ชายกับพี่สาวตกใจรีบเข้าไปประคองทันที

 

“ไม่นะ ไม่”

 

น้องสาวตัวเย็นเฉียบปากซีดคล้ำอย่างน่ากลัว ความรู้สึกสิ้นหวังท่วมท้น สองคนพยายามกอดน้องเอาไว้สุดชีวิต กระทั่งเสียงแม่กุญแจปลดตัวมันเองตกลงบนหิมะเรียกทั้งคู่หันไป

 

“อะไรน่ะ?”

 

แม้แต่บานประตูของตัวอาคารที่อยู่ไกลออกไปก็เปิดออก มันเปิดกว้างประหนึ่งคฤหาสน์หลังนี้กำลังเชื้อเชิญพวกเขา

มองจากตรงนี้ด้านในดูมืดสนิทวังเวง แต่เด็กหญิงคนโตก็ตัดสินใจให้น้องชายช่วยส่งน้องสาวขี่หลัง แล้วรีบวิ่งเข้าไปแบบไม่ลังเล ซึ่งเมื่อทั้งหมดก้าวเข้าไปแล้ว ประตูใหญ่บานคู่ก็ปิดสนิทลงตามหลัง ตัวกลอนล็อกที่ถูกปลดออกเลื่อนตัวคล้องไว้เอง ขณะที่เสียงฝีเท้าน้อยๆ ก็เบาบางลงจนเงียบไป