12 ตอน บทที่ 11 สวนสาธารณะ
โดย monodice
แคลร์ยืนมองภาพตรงหน้าแบบประทับใจ แม็กกี้กับเอลลี่ดูน่ารักมากๆ ในชุดเดรส ตัวเสื้อเป็นสีขาวปักระบายช่วงอกทับด้วยเดรสชิ้นนอก ซึ่งเธอให้เลือกกันเองว่าอยากใส่ตัวไหน ของแม็กกี้เป็นลายสก็อตสีเขียวเข้ม เอลลี่ชี้ตัวสีชมพูอ่อนหวานๆ แน่นอนว่าด้านในเสริมผ้าซับให้ช่วงประโปรงด้านหลังดูพองๆ เอาไว้ทั้งคู่
“แม็กกี้ถักเปียไหมคะ?”
หลังจากที่มัดผมเอลลี่และหวีผมให้ฟินน์เรียบร้อย พี่เลี้ยงก็ตาเป็นประกายหันมาขอทำผมให้
“น-นี่เราจะออกไปข้างนอกสภาพนี้จริงน่ะ?”
“ดูเหมาะมากๆ เลยล่ะค่ะ”
เด็กหญิงผมแดงรู้สึกขัดเขิน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่มันต่างกับที่ใส่ปกติโดยสิ้นเชิง
“ฟินน์ดูดีมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ..”
เขายังดูขี้อายเหมือนเคย ถึงจะเริ่มสนทนากับแคลร์บ่อยขึ้นกว่าเดิมก็ยังไม่ค่อยกล้ามองตาตรงๆ เด็กชายสวมชุดสีน้ำเงินเข้มปกทรงกะลาสี
“คุณแคลร์สนุกใหญ่เลยนะครับ”
ฟิโลนั่งที่พื้นพรมตรงหน้าเอลลี่และขยับตุ๊กตาเล่นกันอยู่ เขาสังเกตได้ว่าวันนี้พี่เลี้ยงไฟแรงสุดๆ เธอสามารถพาแต่ละคนเข้าไปอาบน้ำ ล้างหน้า แต่งตัว ทำผม สวมชุด โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด
“สารภาพเลยนะคะ ถ้าพี่จับฟิโลแต่งตัวได้ พี่ก็อยากจะทำเหมือนกันค่ะ”
“หวา ผมเริ่มกลัวๆ แล้วนะเนี่ย”
เขาหัวเราะ จากนั้นหยิบหมวกที่แคลร์เอาผ้าที่เหลือมาตกแต่งให้มันดูเข้าชุดกันสำหรับทั้งสามคนมา แล้วสวมหมวกใบเล็กที่มีโบว์สีชมพูให้เอลลี่
“ขอบคุณนะ ฟิโล”
น้องสาวคนเล็กยิ้มแฉ่งอุ้มตุ๊กตามากอด เจ้าของชื่อก็ยิ้มตอบพลางจับแขนตุ๊กตากอดเธอด้วย
แม็กกี้ที่นั่งหันหลังให้แคลร์กำลังประหม่าพิลึก สัมผัสอ่อนโยนทะนุถนอมของพี่เลี้ยงทำให้เธอทำตัวไม่ค่อยถูก เสร็จแล้วแคลร์ก็หยิบกระจกส่องให้ดู เด็กหญิงมองภาพสะท้อนสักครู่ก็ชำเลืองมองคนถือ เด็กสาวอายุมากกว่าก็ยิ้มนิดๆ
“ค-คือว่า”
“คะ?”
“ข-ขอบคุ-”
เธอเอ่ยปากอึกอักไม่จบดี เอลลี่ก็พุ่งพรวดมานั่งตักพี่เลี้ยง ความพยายามของแม็กกี้เลยหายวับ
“พี่แคลร์ ผูกโบว์ให้ฟิโลด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” แคลร์นำโบว์อีกอันมาผูกให้ตุ๊กตา “สีเดียวกับเอลลี่นะ?”
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ที่พวกเธอวงไว้เป็นวันปิกนิก ตอนปรึกษากับฟิโล เขาก็เห็นด้วยว่าให้พวกเด็กๆ ได้ลองไปเดินเล่นข้างนอกบ้างก็ดี เพราะนอกจากแม็กกี้ ทั้งฟินน์กับเอลลี่ก็ไม่เคยออกไปจากเขตคฤหาสน์ตลอดสามปี
“คอยตามพี่แม็กกี้กับพี่ไว้นะคะ”
แคลร์ย้ำอีกครั้งที่หน้าประตูรั้ว ทั้งสองคนก็พยักหน้าเชื่อฟัง ทุกคนพร้อมเดินทางที่ถนนทางเดินข้างหน้าคฤหาสน์ ทว่าเธอยังไม่เห็นฟิโลที่ไหนเลย
ตอนเธอปรึกษาว่าเขาสามารถออกไปจากคฤหาสน์ได้ไหม ฟิโลก็ยิ้มแย้มรับคำว่าตัวเองมีวิธีแน่นอน ซึ่งพี่เลี้ยงยังไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร เธอแค่รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนคอยมองอยู่ กระทั่งมีเสียงพูดข้างหู
‘ไปกันเถอะครับ’
เด็กสาวสะดุ้งเฮือกหันควับซ้ายขวา มีคนเดียวที่พอจะช่วยยืนยันสิ่งที่เกิดได้ เธอเลยถามฟินน์ที่ยืนคุยกับพี่สาว
“ฟินน์ได้ยินเสียงไหมคะ?”
“?”
เขาส่ายหน้าว่าไม่มี แคลร์ก็ขนลุกวาบ ดูเหมือนจะมีเธอได้ยินแค่คนเดียว
‘ผมสิงในตุ๊กตาครับ’
เพราะเธอมองหาที่มา เขาจึงเฉลยให้ เมื่อแคลร์บอกเด็กๆ ฟินน์และแม็กก็มองไปยังตุ๊กตาทันที มีเอลลี่ที่ยังไม่เข้าใจกะพริบตาปริบ เธออุ้มตุ๊กตาฟิโลหันหน้ามาส่องว่าทำไมทุกคนต้องจ้องกันแบบนั้นด้วยความงุนงง
ห่างจากคฤหาสน์ซันฮิลล์มาจนถึงแถวที่พักอาศัยชุมชนก็เริ่มเห็นกลุ่มคนที่เดินไปมาตามทางเท้า มีรถม้าวิ่งผ่านไปสองสามคันตรงเส้นถนน พี่เลี้ยงจูงมือเอลลี่ ให้อีกสองคนเดินข้างหน้าเพื่อที่เธอจะไม่คลาดสายตาจากคนไหน
ฟินน์กับเอลลี่ดูตื่นเต้นและกล้าๆ กลัวๆ ในเวลาเดียวกัน ที่แคลร์สังเกตคือสองคนมักจะหลบเกาะเธอแน่น ไม่ก็ชะงักตกใจเวลาเห็นพวกผู้ใหญ่แปลกหน้าเฉียดเข้าระยะผ่านไป
“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่มีอะไรน่ากลัวนะ”
“ใช่ ไม่ต้องกังวลหรอก”
พี่สาวคนโตผมสีน้ำตาลแดงเองก็เพิ่มกำลังใจน้องๆ พร้อมยืดตัว น้องชายเลยเม้มปากพยักหน้าก้าวตามแม็กแบบมั่นใจขึ้นอีกนิด
“สวนสาธารณะไปทางนี้”
แคลร์ยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ ดังนั้นแม็กกี้เลยอาสาเป็นคนนำ เธอค่อนข้างชำนาญ รู้เส้นทางลัดตัดเข้าซอย ทะลุไปมาก็มาโผล่ใกล้กับแม่น้ำสายเล็กๆ ในเมือง มีสะพานให้เดินข้ามไปยังสวน
“ถึงแล้ว”
พื้นสวนที่นี่เต็มไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวชอุ่มตัดเรียบสะอาดตา มีดอกทิวลิปหลากสีประดับอยู่เป็นกลุ่มตกแต่งทั่วๆ และต้นไม้ยืนต้นที่ส่วนใหญ่คนจะจับจองที่นั่งใต้ร่มเงา หรือตามเก้าอี้ม้านั่งที่มีให้เห็นประปราย มีคลองสายเล็กๆ ตัดผ่านกลางสวนได้ลงตัวด้วยฝีมือการออกแบบที่ใช้ประโยชน์จากลำน้ำที่เชื่อมต่อกับโค้งแม่น้ำของเมืองให้เป็นประโยชน์ บรรดาสะพานหินที่สร้างให้เดินข้ามก็เป็นจุดชมวิวชั้นดีของที่นี่
เด็กสาวเลือกบริเวณร่มรื่นแล้วช่วยกันสี่คนปูผ้าสำหรับนั่ง ซึ่งคนที่ทำเป็นไม่อยากมาเท่าไหร่อย่างแม็กกี้นั้นดูร่าเริงสุดๆ สาวน้อยผมเปียกวักมือเรียกน้องๆ วิ่งสำรวจด้วยกันโดยฝากตุ๊กตาฟิโลไว้ที่พี่เลี้ยง
สีหน้าแต่ละคนดูแจ่มใส พากันดูผีเสื้อ ดอกไม้ วิ่งตัดข้ามสนามหญ้าไปมา เสียงลมกับลำน้ำใกล้ๆ เคลื่อนไหวดังเบาๆ แทนดนตรีที่ฟังแล้วสบายใจ แคลร์รู้สึกผ่อนคลายจนนึกอยากได้หนังสือสักเล่มมานั่งอ่าน
‘อากาศดีใช่ไหมครับ?’
“ค-ค่ะ”
เธอชะงักกับเสียงที่พูดด้วย เหลือบมองตุ๊กตาที่นั่งพิงตะกร้าสานใกล้ตัว
“ฟิโลสิงตุ๊กตาได้ แล้วขยับได้ไหมคะ?”
‘ผมทำให้ขยับเหมือนเวลาอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ได้ครับ’
“เคยสิงออกมาข้างนอกไหมคะ?”
‘เคยพยายามตามแม็กกี้ออกไปครับ แต่ผมสิงอยู่ไม่ได้นานเท่าไหร่’
แคลร์รู้ว่าหาสาเหตุเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ไม่ได้ แม้แต่ที่ตัวเธอมองเห็นและได้ยินเสียงของเขา เด็กสาวก็ไม่รู้ว่าทำไม ฟิโลเองก็คงไม่มีคำตอบให้เธอ
‘พวกฟินน์ดูสนุกกันมากเลย ขอบคุณนะครับ’
อีกประมาณเจ็ดเดือนข้างหน้าที่ฟิโลต้องการจะส่งพวกแม็กกี้ออกไป ถึงตอนนั้นเขาก็ต้องอยู่ลำพังที่ซันฮิลล์อีกครั้ง เฝ้ารอวันเวลาจนกว่าจะหายไปจริงๆ จากโลกนี้
‘มื้อกลางวันวันนี้ ผมตั้งใจให้ทานกันสะดวกเลยทำเป็นแซนวิช ผมทำแบบประณีตมากเลยนะ รับประกันว่าอร่อยแน่นอนครับ’
เพราะเธอเงียบและแสดงอาการเป็นห่วง เจ้าตัวจึงปรับโทนเสียงให้ฟังดูครื้นเครง พยายามโฆษณาของในตะกร้าที่ปิดผนึกอยู่
“มันอาจฟังดูแปลกๆ แต่ว่าอีกหน่อย” แคลร์มองไปตำแหน่งข้างๆ “ถ้ามาครัมป์ตัน พี่จะแวะมาหานะคะ”
‘..ครับ ขอบคุณ’
เสียงนุ่มหูกล่าวขอบคุณ ช่วงกะพริบตาเธอรู้สึกว่าเห็นเงาภาพรางๆ ของคน ทว่าแทนที่จะเป็นเด็กชายตัวเล็กแบบทุกทีกลับเป็นชายหนุ่มนั่งอยู่ วิเดียวก็หายไปตามเดิม
“กลับมาแล้วค่ะ”
เอลลี่เสียงใสวิ่งมากอด เธอเลยหันไปเอื้อมมือเช็ดแก้มนุ่ม แล้วหยิบตะกร้ามาวางตรงหน้าเปิด ด้านในเป็นแซนวิชที่จัดเรียงลงตัวสีสันสวยงาม ชนาดทุกชิ้นเป็นสี่เหลี่ยมเท่าๆ กัน มื้อนี้ฟิโลเป็นคนเตรียมทั้งหมดอย่างรวดเร็วในระหว่างที่พี่เลี้ยงกับพวกแม็กกี้ช่วยกันล้างจาน
“สวนกว้างมากเลยครับ ดอกไม้เต็มเลย มีนกเดินกันด้วย พอผมเดินตามมันก็บินหนี”
“มีปลาด้วยนะ ปลาเยอะมาก เห็นเขาบอกให้อาหารได้ด้วย เดี๋ยวคุณไปกับพวกเราสิ”
“เอลลี่ชอบผีเสื้อ แต่ปลากับนกก็น่ารัก”
พวกเขาแจกแจงให้แคลร์ฟังด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และมีเว้นช่วงงับขนมปังในมือเคี้ยวตุ้ยๆ พวกผักที่วางทับไว้กับแฮม ไข่และซอส ถูกกินไปพร้อมกันไม่ได้คัดออก บางชิ้นเป็นเนื้อไก่จากมื้อเช้าคู่กับมะเขือเทศ หัวหอม
“...”
เด็กสาวเองก็นั่งทาน ปกติของกินฝีมือฟิโลก็อร่อยอยู่แล้ว แถมตอนนี้บรรยากาศรอบๆ เสมือนเครื่องปรุงช่วยทำให้มันอร่อยขึ้นอีก ถึงจะไม่แสดงสีหน้าแต่แววตาดูประทับใจรสชาติอาหาร คนทำที่นั่งมองก็คลี่ยิ้ม
ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย แคลร์ก็ร่วมวงเดินเล่นไปรอบสวน พวกเธอซื้อขนมปังแข็งมาหนึ่งก้อน ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ตั้งใจจะโปรยให้ปลากิน ก่อนเอลลี่จะชี้ให้ดูพวกนกที่เดินตามด้วยสายตาหิวกระหายเป็นขบวนเลยแบ่งให้ไป
“นกพิราบใช่ไหมนะคะ?”
พี่เลี้ยงพูดคนเดียว ตั้งใจจะชวนฟิโลคุย แต่อีกฝ่ายเงียบหายไปเสียเฉยๆ
“ฟิโล..”
เด็กสาวเข้าใจได้เอง เขาพูดเมื่อครู่ว่าเคยตามแม็กไปแต่สิงอยู่ไม่ได้นาน ตอนนี้เขาน่าจะต้องเฝ้ารออยู่ที่คฤหาสน์คนเดียวจนกว่าพวกเธอจะกลับ
“ฟิโลดูสิ”
“พี่แคลร์ ฟิโลบอกว่าอะไรบ้าง?”
ฟินน์อุ้มตุ๊กตาให้มองดูฝูงปลาแม่น้ำ ทั้งสองคนเข้าใจว่าวิญญาณเด็กชายยังอยู่ด้วยที่สวน ซึ่งฟิโลก็ตั้งใจแบบนั้น
“..เขาสนุกมากเลยค่ะ”
“ดีเลย ได้ยินว่ามีชิงช้าให้เล่นด้วย ไปเล่นกันทุกคนนะ”
แม็กกี้ตื่นเต้นชวน น้องๆ ก็พยักหน้าระรัวพากันตามไป ถึงบริเวณที่มีชิงช้าแขวนเชือกห้อยไว้กับก้านของต้นไม้ใหญ่ จุดนี้มีเด็กคนอื่นมาวิ่งเล่นและมีคนจับจองนั่งเครื่องเล่นดังกล่าวไปก่อนแล้ว
“เราดูดอกไม้แถวนี้กันก่อนแล้วกันนะคะ”
“น่าเสียดาย แต่คงต้องแบบนั้น”
น้องเล็กสุดในกลุ่มยังคงมองเหลียวหลัง ในขณะที่แคลร์เรียกทุกคนไปดูน้ำพุอีกจุด เอลลี่ก็แยกตัวออกไป เดินตรงเข้าไปหาเด็กคนที่เล่นชิงช้าอยู่
“เอลลี่จะเล่น”
“ฉันกำลังเล่นอยู่นะ ไปเล่นอันอื่นสิ”
พี่เลี้ยงหันกลับมาเห็นก็ย้อนเดินกลับไป ซึ่งเด็กหญิงผมสีน้ำตาลก็จ้องอีกฝ่ายที่โยกชิงช้าไปมา
“แล้วจะเล่นเสร็จเมื่อไหร่?”
“ไม่รู้” เด็กผู้หญิงที่นั่งชิงช้าย่นคิ้ว “อย่ามายืนจ้องได้ไหม?”
“เอลลี่อยากเล่นจริงๆ แบ่งกันไม่ได้เหรอ?”
“น่ารำคาญจัง ไปไกลๆ เลย”
เอลลี่พองแก้มอย่างไม่พอใจนัก เธอเลยวิ่งเข้าไปพยายามจับให้ชิงช้าหยุดกับที่ ฝ่ายนี้ก็ยื้อจะเบี่ยงหลบโดยไม่ยอมลงจากเครื่องเล่น แคลร์เห็นท่าไม่ดีก็รีบเร่งฝีเท้าแต่ก็ช้าเกินไป
“!”
จังหวะแรกคือเอลลี่ถลาล้มแล้วคว้าจับกระโปรงคู่กรณีเพื่อหาที่ยึดเกาะ นั่นเป็นการดึงอีกคนที่เสียหลักอยู่ร่วงลงมาด้วย ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือเสียงถล่มร้องไห้
“ไม่เป็นอะไรนะคะ?”
“ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้น!”
แคลร์ประคองทั้งสองคนยืนขึ้น ส่วนแม่เด็กที่ยืนอยู่แถวนั้นสนทนากับเพื่อนๆ ได้ยินเข้าก็ลุกจากม้านั่งวิ่งมาทางนี้ดูลูกสาวของตน
“เขาผลักหนู!”
“เอลลี่ไม่ได้ผลัก!”
ต่างฝ่ายสะอึกสะอื้นเถียงแย้งกัน แม่เด็กของฝั่งนั้นตรวจสอบว่าลูกเป็นอะไรไหม จากนั้นก็เขม่นใส่คนแปลกหน้า และชำเลืองมองเด็กหญิงตัวเล็กที่ไม่รู้จักกัน
“ขอโทษด้วยนะคะ”
เด็กสาวเฮเซลก้มศีรษะขอโทษ เอลลี่ก็หันควับมองแคลร์ทันที ดวงตากลมคลอน้ำตาเมื่อพี่เลี้ยงบอกเพิ่มเติมให้ทำด้วยกัน
“เอลลี่คะ ขอโทษเขานะ”
คนตัวเล็กเม้มปากกำมือตัวเองแน่น ยืนนิ่งเงียบสักครู่ก็ก้าววิ่งหนีดื้อๆ แคลร์เลยผงกศีรษะอีกทีให้คู่กรณีและรีบตาม ฟินน์กับแม็กกี้ที่ยืนรอก็ตกใจจะวิ่งจากทางเดินสวนไปด้วย
“แม็กกี้กับฟินน์รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ!” คนดูแลบอกก่อนเร่งตาม “เอลลี่คะ!”
ที่จริงเธอตามทันได้แน่ๆ แต่เด็กหญิงเจตนาเข้าไปในทุ่งสวนดอกไม้ ทำให้แคลร์มองไม่เห็นว่าเลี้ยวไปตรงไหน เธอเรียกชื่อเดินดูให้ทั่วก็ได้ยินเสียงอุทานของเอลลี่ที่วิ่งไปชนคน
“ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มแปลกหน้าตอบสั้นๆ เขายืนมองเด็กสาวพี่เลี้ยงวิ่งตามเด็กที่มาชนต่อสักพักก็หันเดินไป
แคลร์ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งหาว่าซ่อนตรงไหน ในที่สุดก็พบเด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่ที่พื้น น้ำตาซึมกอดเข่า
“เอลลี่คะ โกรธพี่เหรอ?”
เธอเข้าไปนั่งลงด้วยข้างๆ ดูเหมือนพอนั่งใกล้ๆ บ่อน้ำตาเอลลี่ก็พังครืน ทว่าคนร้องไห้เมินควับไปทางอื่นทำเหมือนไม่สนใจ
“พี่รู้ว่าเอลลี่ไม่ได้ผลักค่ะ” เด็กสาววางมือลูบศีรษะ แตะมือเช็ดน้ำตาตรงแก้ม “พี่เชื่อเอลลี่นะ แต่ถึงเราไม่ได้ตั้งใจ เราก็ควรขอโทษ เพราะว่าอีกฝ่ายเองก็ล้มลงไป”
“...”
“พี่อุ้มนะคะ”
เด็กหญิงที่ฟังเงียบๆ งับริมฝีปากตัวเองงอนๆ แต่ก็เหลือบมองแคลร์และปล่อยให้พี่เลี้ยงอุ้มนั่งตัก ซึ่งแคลร์ก็ปัดฝุ่นตามกระโปรง ดูเพิ่มเติมให้แน่ใจอีกครั้งว่ามีแผลถลอกหรือไม่ ระหว่างนั้นเอลลี่ก็เปิดปากเล่า
“..เอลลี่อยากเล่น แต่เอลลี่ขอเขาก่อนแล้วนะ”
“ค่ะ เอลลี่เก่งมากเลย”
“แต่เขานิสัยไม่ดี เขาไม่ยอมแบ่งให้เล่น แล้วก็ไล่เอลลี่ด้วย”
“อย่างนี้นะเอลลี่” แคลร์จับมือ มองตากัน “จริงอยู่ว่าเขาพูดจาไม่ดี แต่แบบนี้เราควรปล่อยเขาค่ะ ถ้าเราเข้าไปจับ เขาเองก็ไม่ยอม ก็อาจจะเกิดเหตุล้มกันทั้งคู่แบบเมื่อครู่ เอลลี่เปลี่ยนมาเดินเล่นกับพี่ๆ ก่อนรอจนเขาเล่นเสร็จ หรือบางทีอาจจะมีชิงช้าอันอื่นว่างแทนก็ได้”
สีหน้าเอลลี่ยังคงมีคำถามแฝงอยู่ แคลร์รู้ว่าในใจดวงน้อยมีคำค้าน
“พี่เตือนเพราะว่าไม่อยากให้เอลลี่เจ็บตัวค่ะ สมมติว่าชิงช้าไม่มีให้เล่นจริงๆ เราก็ยังมาเล่นกันได้อีกค่ะ ไว้มาด้วยกันอีกนะคะ”
“..ค่ะ” เธอพยักหน้า กอดซบพี่เลี้ยง “แต่เอลลี่ไม่ชอบคนเมื่อกี้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่เอลลี่จำไว้นะ ถ้าเขานิสัยไม่ดี ส่วนไหนที่เอลลี่รู้สึกได้ว่าไม่ชอบ เราต้องไม่ไปทำตาม แล้วเรามาขอโทษด้วยกันในส่วนที่ทำเขาล้ม ดีไหมคะ?”
เด็กสาวอธิบายช้าๆ ให้เด็กหญิงซึมซับทีละนิด แน่นอนว่าเธอไม่ได้ต้องการตำหนิติเตียน น้ำเสียงที่ใช้เป็นโทนปกติที่ใช้สนทนากัน
“จะลองดูค่ะ”
“แต่พี่ก็ไม่ได้ให้เรายอมให้เขาแกล้งนะ มีหลายวิธีที่เราสามารถปกป้องตัวเองได้โดยที่คนอื่นก็ไม่บาดเจ็บค่ะ อย่างเมื่อครู่นี้ต้องทำยังไงดีคะ?”
“เอลลี่จะเดินออกมา”
“เก่งมากเลย ขากลับเราซื้อขนมที่ร้านประจำกันดีกว่า เดี๋ยวพี่ให้เลือกเค้กนะคะ”
“เอาค่ะ”
เอลลี่ตาวาวพยักหน้าหงึกหงัก ตกลงกันแล้วแคลร์ก็อมยิ้มขอกอดอีกครั้ง หนนี้แขนเล็กโอบตอบอิงกับไหล่ของพี่เลี้ยง เด็กสาวจึงลุกขึ้นยืนโดยอุ้มเอาไว้พลางใช้ฝ่ามือลูบหลังเบาๆ
“กลับไปหาพวกพี่ๆ กันนะคะ”
สองคนย้อนกลับไปหาพวกแม็กกี้ที่เดิม ปรากฏว่าตอนนี้ชิงช้าดังกล่าวถูกเด็กสองคนของบ้านซันฮิลล์ยึดครองเป็นที่เรียบร้อย
“ชิงช้านี้เป็นของเราแล้ว”
“..คือ คือชิงช้า” เด็กชายที่นั่งชิงช้ามีตุ๊กตาฟิโลบนตักมองพี่สาวที่ยืนกอดอกคุมเครื่องเล่นอย่างหวั่นๆ “เอ่อ เป็น..ของเราแล้วครับ”
“ชิงช้า!”
แคลร์ให้เอลลี่ที่ตื่นเต้นลงไปเล่น ก่อนจะนั่งยองถามแม็กกี้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากท่าทางฟินน์ที่ดูหวาดๆ น่าจะมีเรื่องอะไรตอนที่เธอไม่อยู่แน่นอน
“ก็เด็กคนนั้นลงจากชิงช้าแล้วนี่ หนูก็แค่จับฟินน์นั่งแล้วก็เล่นกันเท่านั้น” แม็กเชิดหน้า “และเมื่อเราเล่นอยู่กันตั้งสองคน มีฟิโลด้วย แล้วยังรอเอลลี่อีกคน ชิงช้าก็เป็นของเรา”
“เอ่อ แม็กกี้คะ”
แม็กกี้นั้นรักน้องๆ เธอคงพอเดาเหตุการณ์ได้เองว่าเกิดอะไรขึ้น เลยพุ่งมาคว้ายึดจองชิงช้าในทันใด และยกน้องชายขึ้นไปนั่งครองพร้อมทำเสียงเฮฮาไม่ให้ใครมากล้าแย่ง ฟินน์ถึงได้ดูเลิ่กลั่กสุดๆ
กำลังเล่นกันอยู่ มีเด็กคนอื่นมายืนมองอยากเล่นด้วย พี่คนโตก็เริ่มตั้งท่ากั้น ทว่าเอลลี่ยิ้มแย้มเรียกเสียงใสแทรกก่อน
“มาเล่นด้วยกันไหม?”
คำเชิญชวนของน้องเล็กมีผลให้แม็กยอมเปิดเส้นทาง พวกเด็กๆ ตกลงกันเองกับเพื่อนใหม่ว่าผลัดกันเล่นแค่ไหน แคลร์ดูอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มดีใจ จากนั้นอาสาเป็นคนไกวให้ทุกคน
ไม่มีใครรู้ตัวเลยถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับมองพวกเธออยู่ตอนนี้...