3 ตอน บทที่ 2 เริ่มงานวันแรก
โดย monodice
ถึงท่านพ่อที่เคารพ
ทีแรกตั้งใจจะทำงานที่โรงพิมพ์ครัมป์ตันนิวส์ แต่มันเป็นความผิดพลาดของลูกเองที่ไม่อ่านและตรวจสอบให้ดีก่อนเลยไปรบกวนพวกเขา ช่วงสองสามวันมานี้ลูกเลยตระเวนหางานอื่นทำค่ะ ตอนนี้ลูกได้งานพี่เลี้ยงเด็กแล้วนะคะ ดีใจมากๆ ต้องทดสอบงานสัปดาห์หนึ่ง ถ้าเป็นไปด้วยดี ลูกก็จะได้ทำงานนี้ไปจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่ะ
ปล. ลูกเขียนจดหมายถึงท่านแม่เพื่ออธิบายอีกครั้งแล้ว
รักและคิดถึง
แคลร์ เฮเซล
เมื่อวานเธอขอกลับไปขนของที่ห้องเช่าเดิมมา ซึ่งเพียงต้องนำกระเป๋าเดินทางใบเดียวมาที่นี่ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
แคลร์ตื่นแต่เช้ามืดในห้องนอนของคฤหาสน์ ให้เทียบกับห้องเช่าที่เคยเข้าพัก ห้องนี้กว้างกว่าอย่างน่าตกใจ อีกทั้งมีตู้เสื้อผ้า เตียง ผ้าห่ม หมอนนุ่มๆ ให้พร้อมหมด แม้ดูเป็นของเก่าแต่ก็ทำความสะอาดแล้ว และมันดูจะดีเกินไปสำหรับคนที่มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เธอเลยเกรงใจชนิดที่ไม่อาจนอนเพลินไปกว่านี้ได้
แต่งตัวเรียบร้อย เด็กสาวก็เปิดประตูห้องออกไปที่โถงทางเดิน วันนี้จะเป็นวันเริ่มงาน ฟิโลเอ่ยไว้ว่าตอนเช้าให้ไปที่ห้องอาหารก่อนได้ทันที
นั่งรออยู่ครู่ใหญ่ แคลร์ก็ได้กลิ่นอาหาร ฟ้ายังไม่สว่างนักเธอคิดว่ามีแม่ครัวเข้ามา หลังลองเดินหาดูทีละจุด ผ่านประตูที่มีกรอบผ้าขนสัตว์เข้าไปก็เป็นโถงทางเดินที่แยกย่อยเชื่อมกับห้องอื่นๆ เด็กสาวจำทางเดินแบบนี้ได้ ส่วนนี้มักจะเป็นพื้นที่เดินเข้าเดินออกของเหล่าคนรับใช้ในแต่ละคฤหาสน์ เพราะปกติพวกเขาจะไม่ผ่านไปผ่านมาหรือวุ่นวายที่เขตหน้าของเจ้านาย
อาศัยฟังเสียงเครื่องครัวจนใกล้ถึงประตู เธอก็ได้ยินเสียงดังของแผ่นโลหะกับคล้ายว่าอะไรหล่น รีบเปิดเข้าไปก็พบฟิโลที่อยู่ในนั้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
ห้องครัวดูปกติทุกประการ บางทีอาจเป็นแค่เสียงตะหลิวกับกระทะ เด็กชายกำลังทำมื้อเช้านั่นเอง
“ฟิโลทำอาหารเองเหรอคะ?”
“ครับ มีของคุณด้วยนะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฟิโลทำเฉพาะของน้องๆ ก็พอค่ะ”
แค่เงินเดือนกับที่พักฟรีก็มากพอแล้ว ทว่าพ่อครัวน้อยก็ส่ายหน้า
“ไม่ต้องห่วงนะครับ” เขาหัวเราะ “ผมพอรับรองฝีมือตัวเองได้”
“เปล่าค่ะ พี่ไม่ได้คิดว่าไม่อร่อยหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาทานด้วยกันเถอะครับ”
“อืม ค่ะ” เธอเปลี่ยนมามองหางาน “มีอะไรให้พี่ช่วยไหมคะ?”
เขาเสนอให้ช่วยทอดเบคอนสำหรับห้าจาน แน่นอนว่าคนที่อาวุโสกว่าพยักหน้าหงึก แคลร์ถือจานเนื้อรมควันแผ่นบางๆ ที่ถูกหั่นเอาไว้แล้วมาหน้าเตา วางกระทะเหล็กตั้งไฟ จากนั้นก็ยืนนึกสักครู่ตามด้วยมองหาเนย
“ไม่ต้องใช้เนยนะครับ เบคอนทอดได้เลย”
“เหรอคะ”
คนโตกว่าสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเทวัตถุดิบบนจานลงไปทีเดียว ซึ่งฟิโลชะงักตกใจต่อสิ่งที่เธอทำ
“เอ่อ ใจเย็นๆ นะครับ เอาขึ้นมาก่อนครับ”
“ไม่ใช่แบบนี้เหรอคะ?”
“ครับ เรียงลงไปบนกระทะจะดีกว่าครับ”
“เรียง...”
“ไหม้แล้วครับ”
“!”
ไม่รู้ว่าเธอช่วยหรือทำป่วนกว่าเดิม แต่เขาก็ยิ้มแย้มบอกไม่เป็นไร สองคนช่วยกันจัดอาหารลงบนจานแต่ละชุด บางจานฟิโลเจาะจงเพิ่มเบคอนลงไป อีกจานก็เป็นไข่ดาวไม่สุกมาก ส่วนถ้วยสลัดอันหนึ่งแถมมะเขือลูกเล็กให้ด้วยอีกสองลูก ระหว่างทำก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ปกติท่านพ่อจะไม่ทานอาหารที่นี่ครับ อันนี้มีของฟินน์ เอลลี่ แม็กกี้ แล้วก็ชุดนี้ของคุณครับ”
อาหารเช้าในหนึ่งชุดจะมีไข่ดาว เบคอนและสลัดถ้วยเล็กๆ กลิ่นของมันเตะจมูกเอามากๆ จากที่เธอรองท้องด้วยขนมปังแผ่นตลอดเวลาที่มาเมืองครัมป์ตัน มื้อนี้เลยดูหรูหรากว่าปกติในสายตาแคลร์
“...”
เตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพก็เพิ่งสังเกตว่าประตูถูกเปิดทิ้งไว้ ตรงขอบที่กำแพงบดบังมีเด็กสองคนแอบอยู่ พวกเขาลอบมองเธอด้วยสายตาข้องใจ พอเห็นคนแปลกหน้าเดินมาหาก็พากันรีบหลบ แคลร์นั่งยองลงพยายามส่งยิ้ม
“สวัสดีค่ะ”
ฟินน์พาเอลลี่ไปซ่อนข้างตู้แทน แล้วพี่ชายตัวน้อยก็แง้มเสี้ยวหน้ามามองทีละนิด เด็กสาวพี่เลี้ยงคิดว่าตัวเองทำหน้านิ่งใส่อีกแล้วแน่ เธอตัดสินใจก้มศีรษะหนึ่งครั้ง ใช้ประโยคคำพูดสื่อสารคือทางออกที่ดีที่สุด
“พี่ชื่อแคลร์นะ ไปทานมื้อเช้ากันนะคะ”
คิดว่าต้องได้ผลทว่าพวกเขาไม่ยอมออกมาอยู่ดี จนฟิโลโผล่หน้ามายืน ฟินน์ถึงจูงมือเอลลี่วิ่งแจ้นไปทางด้านหลังพี่ชายคนโต
“ฟินน์ นี่พี่แคลร์” เขาแนะนำให้ “ตั้งแต่วันนี้จะมาอยู่เป็นเพื่อน มีอะไรก็ปรึกษาพี่เขาได้เลยนะ”
“..อยู่นี่?”
“ใช่ พี่เขาไม่น่ากลัวหรอก เมื่อครู่พี่เขาบอกชื่อแล้ว คราวนี้ฝ่ายเราบ้างดีไหม?”
สักพักหลังโน้มน้าว เด็กชายตัวเล็กกับน้องสาวที่อุ้มตุ๊กตาผ้าก็มองที่แคลร์ ท่าทีประหม่าดูน่ารักกันสุดๆ
“ผม..ชื่อฟินน์ กับเอลลี่”
“ย-ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เธอรู้สึกเอ็นดูทั้งคู่ในพริบตา ซึ่งฟิโลก็เรียกให้ไปห้องอาหารพร้อมกัน
มาถึงพวกเด็กๆ ก็นั่งที่โต๊ะประจำที่ เจ้าของจานเบคอนพิเศษก็คือฟินน์นี่เอง ส่วนเอลลี่ดูจะชอบมะเขือเทศ เธอเอาส้อมจิ้มๆ เข้าปากทันทีเมื่อเห็น
“เอลลี่ เราควรรอแม็กกี้กันก่อนนะ”
พอฟิโลเปรยอย่างนั้น ฟินน์ก็สะกิดๆ น้องสาวที่นั่งข้างๆ เด็กหญิงกะพริบตาปริบหันมองไปทางเก้าอี้ที่พี่ชายคนโตนั่งอยู่ สักพักก็หันกลับนั่งนิ่งๆ
ราวห้านาทีเด็กผู้หญิงที่ทุกคนกำลังพูดถึงก็มาที่ห้องอาหาร แม็กกี้ดูแล้วอายุใกล้เคียงกับฟิโล เธอมีผมสีน้ำตาลแดงผิดกับพี่ชายที่ผมดำ และน้องสองคนที่มีผมสีบลอนด์กับน้ำตาลเข้ม มาคิดดูแล้ว แคลร์ก็เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกแปลกๆ ตรงไหน น่าจะเพราะทั้งสี่คนนี้ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองกันหมด พวกเขาดูไม่เหมือนกันเลย
“ใครน่ะ?”
แม็กกี้แสดงปฏิกิริยาระแวดระวังเมื่อเจอคนแปลกหน้า คิ้วบางขมวดมุ่น
“คนจากสถานเลี้ยงเด็กเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ คือท่านพ่อให้พี่มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่นี่ค่ะ”
“พี่เลี้ยงเด็กเนี่ยนะ”
พี่สาวคนโตกวาดตาไปรอบห้องคล้ายมองหาอะไร สุดท้ายก็เขม่นไปยังน้องชาย
“..ฟินน์ นี่หมายความว่าไง?”
“แม็ก พี่แคลร์จะมาอยู่เป็นเพื่อน ฟิโลบอก”
“พวกเราไม่ต้องการสักหน่อย”
พฤติกรรมคัดค้านชัดเจนของแม็กกี้ทำให้แคลร์เหงื่อตก ซึ่งฟิโลก็ยิ้มแห้ง เขาลุกไปเลื่อนเก้าอี้ให้น้องสาว แต่แม็กที่เดินมาตรงที่นั่งหน้าบูดบึ้งอย่างมาก บรรยากาศมื้อเช้าจึงค่อนข้างอึดอัด
“อิ่มแล้ว”
“แม็กกี้ เดี๋ยว”
ทานเสร็จแม็กกี้ก็ลุกไปเลยโดยไม่คิดจะฟังเสียงพี่ชาย ไม่รู้ทำไมฟินน์ที่เคี้ยวเบคอนแก้มตุ่ยแสดงสีหน้ารู้สึกผิด เขากลืนของกินลงคอก็ก้มหน้าก้มตาขอโทษ
“ขอโทษ ผมบอกไม่ทัน”
“ไม่เป็นไร ฟินน์ทานอาหารเถอะ มีอีกนะ”
ฟิโลจัดแจงตักอาหารจานตัวเองไปให้ฟินน์กับเอลลี่เพิ่ม ทางพี่เลี้ยงสาวไม่แน่ใจว่าเขาได้ทานบ้างไหม รู้สึกปริมาณไม่ลดลงเลย
“ฟิโลจะอิ่มเหรอคะ แบ่งของพี่ไปทานไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงคือตอนทำอาหารผมแอบทานไปเยอะแล้วน่ะ”
เขายิ้มแฉ่งเอนหลังพิงพนัก สองมือประสานวางบนโต๊ะ ดวงตามองฟินน์ที่แบ่งเบคอนให้เอลลี่
“เอาล่ะครับ คุณเฮเซลก็ได้พบกับทั้งสามคนแล้ว แม็กกี้ ฟินน์ และเอลลี่”
“ค่ะ”
“หลักๆ ผมจะรบกวนให้คุณช่วยดูฟินน์กับเอลลี่ครับ ทั้งสองคนอายุแปดกับห้าขวบ เวลาเล่นก็จะเล่นที่ห้องนั่งเล่นหรือไม่ก็ห้องหนังสือ แล้วช่วงบ่ายกว่าหลังมื้อกลางวัน เอลลี่จะเริ่มง่วง ให้เธอนอนกลางวันที่ห้องของเธอนะครับ”
ระหว่างเขาแจงรายละเอียดงานประจำวัน ฟินน์กับเอลลี่ก็กำลังมีอุปสรรคต่อผักสีเขียวในถ้วยของแต่ละคน พวกเขาพยายามทานกันอีกนิดก่อนเม้มปากแลบลิ้นส่ายหน้าระรัว ฟิโลจึงหัวเราะแล้วยกจานเตรียมเก็บ มีแคลร์อาสาช่วยล้างแทน
“เดี๋ยวเราไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกันนะครับ”
เสร็จสิ้นมื้อเช้า ลูกชายคนโตของคฤหาสน์ก็ก้าวเท้านำหน้าพาไปยังห้องนั่งเล่นที่พูดถึง ในนั้นมีโซฟากับตัวหมากที่ใช้เล่นบนเกมกระดานต่างๆ วางเอาไว้ ทว่าน้องเล็กทั้งสองเหมือนอายๆ ที่จะนั่งเล่นตอนนี้
“ทุกทีแม็กกี้ก็จะลงมานั่งที่นี่นะครับ แต่..” ฟิโลทำสีหน้าคิดหนัก “ผมอยากรบกวนให้คุณช่วยสอนตัวอักษร พวกวิชาเลขเบื้องต้นให้พวกแม็กกี้ครับ ฟินน์กับเอลลี่อยู่ในช่วงวัยที่ควรเรียนพวกนี้แล้วก่อนเข้าเรียนภาคการศึกษาบังคับ ส่วนแม็กกี้ถึงจะช้าไปหน่อย ผมก็อยากให้เธอมีความรู้พื้นฐานมากพอจะเรียนต่อครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะพยายามคุยกับเธอดู”
“ครับ พวกน้องๆ ไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่”
เด็กชายเงยหน้าและส่งยิ้มเช่นเคย เขาหันกลับไปทางประตูห้อง
“ผมมีธุระที่ท่านพ่อฝากเอาไว้ ที่เหลือรบกวนคุณเฮเซลด้วยนะครับ ส่วนมื้อกลางวันผมจะเตรียมไว้ให้บนโต๊ะนะ”
“ค่ะ”
อยู่กันตามลำพังสามคน ฟินน์กับเอลลี่ก็ต่างชำเลืองมองเด็กสาวพี่เลี้ยง พวกเขาคอยมองว่าเธอจะทำอะไร ซึ่งแคลร์ประหม่านิดๆ เดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงสว่างลอดเข้ามา แล้วถึงกลับมานั่งยองให้ความสูงใกล้เคียงทั้งคู่
“เล่นอะไรกันดีคะ?”
เด็กๆ ไม่ได้ให้คำตอบ พอฟิโลไม่อยู่ด้วยก็ดูยังไม่ค่อยวางใจเธอเท่าไหร่นัก แคลร์ก็คิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองไม่ดูดุเกินไป เมื่อใครๆ ก็ขนานนามแคลร์ เฮเซล ว่าเป็นคนที่หน้านิ่งเหมือนหุ่น
“สักครู่นะคะ”
คิดบางอย่างได้ก็ขอไปหยิบของ กลับมาอีกครั้งพร้อมกระดาษที่เธอพกในกระเป๋าสำหรับเขียนจดหมาย และดินสอไม้ส่วนตัวที่ไว้ใช้วาดภาพลงสมุดบันทึก
“?”
พี่เลี้ยงก้มหน้าก้มตาเขียนๆ ขีดๆ เด็กน้อยสนใจว่าทำอะไรจนแคลร์เงยหน้าขึ้นมาใหม่ เธอถือกระดาษที่วาดเป็นปากยิ้มมาวางตรงช่วงบริเวณใต้จมูกแทนปากตัวเอง
“เป็นเพื่อนกันนะคะ”
เด็กสาวเฝ้ารอลุ้นๆ ว่าจะได้ผลไหม กระทั่งฟินน์ผงกศีรษะหนึ่งทีก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้น พอเห็นพี่ชายนั่งลงตรงพรม เอลลี่ก็นั่งด้วย ไม่ลืมตุ๊กตาตัวโปรดวางไว้ที่ตัก
“มาวาดภาพกันไหมคะ?”
อย่างน้อยเธอก็มั่นใจในฝีมือการวาดของตนพอสมควร แคลร์เริ่มต้นด้วยวาดภาพกระต่ายลงไปตามด้วยจับภาพนั้นกระโดดไปมา แล้วถึงให้ดินสอกับพวกเอลลี่ได้ลองวาดดูบ้าง โดยเตรียมกระดาษมาวางเรียงๆ ต่อกันให้เป็นแผ่นใหญ่ เธอวาดต้นไม้ วาดดอกไม้ จากนั้นชวนให้เด็กๆ ช่วยกันเติมสัตว์ลงไป
“ฟินน์ชอบสัตว์ชนิดไหนคะ?”
“ผมชอบนก มันชอบบินมาเกาะตรงขอบหน้าต่างตอนเช้า”
เด็กชายสร้างนกในจินตนาการออกมาได้น่ารักสมวัยมาก ลายเส้นกลมๆ ที่มีตาจุดกับเท้าสามขีดสองข้างทำให้ดูออกได้ว่ามันคือตัวอะไร
“แล้วเอลลี่ล่ะคะ?”
“..หนู” คนตอบซ่อนหลังพี่ชาย “ชอบ..ค่ะ”
“คะ?”
แคลร์มองสิ่งที่เอลลี่ตกแต่งไว้บนกระดาษ ภาพทรงกลมมีหู เติมขีดๆ เป็นขาเข้าไปสี่ข้าง มันน่าจะเป็นแมวหรือสุนัขแน่ๆ
“สุนัขเหรอคะ?”
สาวน้อยคนเล็กพยักหน้าหน่อยๆ แล้วเขยิบมาวาดต่ออีกรูป ภาพทรงสี่เหลี่ยมที่มีขีดตัดตามความยาว วงกลมกับของที่มีรอยหยัก แคลร์รู้ว่าพวกนี้คืออาหารเมื่อเช้า
“น่าทานมากเลยค่ะ”
“ไข่ เบคอนลอยได้”
ระหว่างอีกคนเล่นวาดรูปเพลิน แคลร์ก็พับกระดาษเป็นเรือกับนก แล้วสอนฟินน์ให้พับตามเพราะเขาดูจะถูกใจ
“ฟิโลๆ กินเบคอน”
เด็กหญิงนำกระดาษภาพเบคอนจิ้มๆ ที่ปากตุ๊กตาของเธอ พี่เลี้ยงเห็นก็สุขใจแทนเจ้าของชื่อ ดูน้องๆ จะรักพี่ชายกันทุกคน
ทั้งคู่ยังดูเอียงอายที่จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อเธอ ทว่าแคลร์ก็ค่อยๆ ทำความรู้จักไปทีละนิด ถึงเวลาทานอาหารก็เดินไปพร้อมกัน มื้อนี้เป็นข้าวผัดที่หั่นแฮม แครอทเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ถั่วลันเตา
“พี่ไปตามแม็กกี้ก่อนนะคะ”
ตั้งใจจะไปเรียก แม็กกี้ก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องอาหารพอดี แต่ก็ยังคงแสดงท่าทางไม่พอใจเช่นเคย ทานเสร็จก็ออกไป
ฟินน์กับเอลลี่กลับไปนั่งเล่นที่ห้องเดิม หลังล้างจานแคลร์ถึงไปสมทบ ทั้งคู่เอานกกระดาษมาวางเรียงเล่นพร้อมกับตุ๊กตาและตัวหมาก ท่าทีผ่อนคลายต่อการมีตัวตนของพี่เลี้ยงคนใหม่มากขึ้น
ช่วงบ่ายเอลลี่เริ่มดูง่วงๆ แคลร์ก็ยื่นมือจะอุ้ม ทว่าเด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งเฮือกผวาหนีแบบพิกลส่งผลให้ชะงักมือ
“ขอโทษค่ะ ทำให้ตกใจเหรอคะ”
“...”
“พี่จะพาไปนอนค่ะ เอลลี่ให้พี่อุ้มไหมคะ?”
ดวงตาคู่เล็กมองหน้ามองมือเธอสลับไปมา แคลร์ส่งมือตัวเองไปหาก่อนนิ่งๆ รอจนเอลลี่ยื่นนิ้วมาแตะ เด็กสาวก็จับมือนั้นไว้
“พี่ไม่น่ากลัวนะ ไปนอนกันนะคะ”
สุดท้ายเอลลี่ก็ขยับทีละนิดมาหา พออุ้มได้พี่เลี้ยงก็ลุกยืนขึ้น ทางฟินน์ก็ลุกลี้ลุกลนตาม เธอเลยส่งมืออีกข้างให้จับไว้ ไม่รู้ทำไมดูพวกเขาจะไม่เคยชินกับการสัมผัสเลย
กำลังคิดว่าไม่มีมือจะปิดประตู ตั้งใจจะบอกให้ฟินน์ช่วยปิดให้ หันไปประตูบานดังกล่าวก็ปิดสนิทแล้ว แคลร์ฉงนด้วยสีหน้านิ่งๆ ของตัวเองว่าเธอไปปิดมันตอนไหน
ขึ้นมาชั้นบน เธอก็ถามทางไปห้องนอนให้พวกเขาชี้มือบอก ซึ่งอยู่ด้านในสุดทางติดกันกับห้องของแคลร์ ห่างจากบันไดมากที่สุด
ห้องนอนของเอลลี่ดูกว้างเช่นกัน เตียงหลังใหญ่เทียบกับขนาดตัวเจ้าของแล้วยิ่งดูกว้างหลายเท่า สีของผ้าปูเป็นสีครีมอ่อน กระดาษติดผนังเป็นลวดลายศิลปะ ห้องดูสว่างกว่าโถงข้างนอก
“ถึงแล้วค่ะ”
เด็กสาวประคองให้ลงตรงเบาะเตียงพร้อมตุ๊กตา แต่จากที่ก่อนหน้านี้ดูสะลึมสะลือ ดวงตากลมโตกลับดูสว่างสดใสคล้ายเพิ่งตื่น ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงก็นอนหนุนหมอนเข้าที่มีแคลร์ห่มผ้าให้ ส่วนฟินน์ก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงด้วยอีกคน
แคลร์เปิดหน้าต่างพอประมาณให้อากาศถ่ายเท ปรับผ้าม่านให้กั้นแสง คิดว่าดูน่านอนพอก็ย้อนไปนั่งข้างเด็กๆ
“เอลลี่ไม่ง่วงแล้วเหรอคะ?”
“หนูจะนอนแล้วค่ะ” พอทัก เธอก็รีบหลับตา “หนูจะหลับ”
ได้ยิน คุณพี่เลี้ยงก็อดไม่ได้ที่จะวางมือลูบศีรษะ สัมผัสดังกล่าวส่งผลให้เด็กหญิงเปิดเปลือกตา เธอมองเหมือนแคลร์ทำอะไรพิลึกอย่างไรอย่างนั้น
“พี่กับพี่ฟินน์จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะหลับค่ะ นอนได้เลยนะ”
เดาว่าเอลลี่กังวลเรื่องนี้ เธอจ้องหน้าแคลร์นิ่งๆ ครู่ใหญ่ก็หลับตาซบกอดตุ๊กตาแสนรัก
ระหว่างนั่งเฝ้าเด็กสาวก็ครุ่นคิดไปด้วย วันแรกนี้มีเรื่องคาใจผุดขึ้นมา หนึ่งคือพฤติกรรมหวาดกลัวของเด็กสองคน สองเป็นคำพูดของแม็กกี้เรื่องคนจากสถานเลี้ยงเด็ก บางทีอาจจะมีปัญหาอะไรที่แคลร์ไม่รู้ก็ได้