เด็กสาวรู้สึกตัวเองเป็นพวกขี้ขลาดขึ้นมาทันใด บัดนี้เธอนั่งอยู่บนเตียงตรงกลาง มีเอลลี่และฟินน์ขนาบข้าง แคลร์เป็นคนเสนอว่าจะอ่านนิทานสนุกๆ ให้ฟังก่อนนอน สองคนก็ตื่นเต้นดีใจสุดๆ ความไร้เดียงสาช่างทิ่มแทง แอบอยากขอโทษที่ราวกับเธอใช้เด็กๆ เป็นตัวช่วยลดความกลัวให้น้อยลง

 

“เจ้าหญิงน่ารัก”

 

เด็กหญิงมองภาพวาดก็ยื่นมือจับ ฝ่ายฟินน์จับจ้องมองรูปมังกรไม่วางตา พวกเขาดูใสซื่อสมวัย แคลร์จึงผ่อนคลายแล้วอ่านต่อ

เกือบครึ่งเล่ม เอลลี่กับฟินน์ก็ผล็อยหลับ ที่จริงควรไปดับไฟและกลับห้อง แต่ตอนนี้แคลร์รู้สึกหนาวๆ ทั้งๆ ที่ในคฤหาสน์อุ่น ทุกจุดที่มีเงาดำมืดทำให้หลอนอย่างน่าประหลาด

 

“...”

 

พรุ่งนี้จะได้เข้าพบนายจ้างคนเดิมอีกครั้งเพื่อฟังว่าเขาจะให้เธอทำงานต่อหรือไม่ รวมถึงหากจะหนีอย่างปลอดภัย เธอสามารถรับเงินแล้วขอยุติเพียงเท่านี้ได้เลย แน่นอนว่ามีตัวเลือกอีกข้อคือเผ่นไปตอนเช้า ทว่าอาจไม่มีเงินเพียงพอในการใช้ชีวิตต่อที่ครัมป์ตัน

ขณะขบคิด แคลร์หันมองเอลลี่ที่เขยิบมาเบียด มือเล็กๆ กุมฝ่ามือเธอซบไว้พร้อมตุ๊กตาฟิโล ส่วนฟินน์ที่นอนหงายก็เปลี่ยนท่าพลิกมา

เพราะใช้เวลาด้วยกันทั้งวันตั้งแต่เช้าจนมืดตลอดสัปดาห์มานี้ เธอเลยรู้สึกเอ็นดูพวกเขา สำหรับแม็กกี้ ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ก็เจอหน้ากันเกือบทุกมื้ออาหาร แล้วเธอก็เป็นห่วงด้วยว่าเด็กหญิงจะทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรเช่นวันนั้นอีก

สุดท้ายคือฟิโล เขาจะโผล่มาช่วงเช้ากับตอนพระอาทิตย์เริ่มคล้อยตกดิน คอยทำอะไรที่ดูเกินตัว ไม่ทานอาหาร ตอนครั้งแรกที่เธอทักไป มื้อต่อๆ มาเขาก็ไม่มาร่วมโต๊ะ และนี่คือจุดที่เธอเคยรู้สึกตงิดๆ ขึ้นมา

ถ้าเขาเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในคฤหาสน์ เขาอาจมีเหตุผลบางอย่างที่บอกใครไม่ได้ และที่มีเด็กสามคนมาอยู่ด้วย ในอดีตก็คงมีเรื่องซ่อนเอาไว้

แคลร์สูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้งใหญ่ๆ หลังผ่อนก็ลุกช้าๆ หาผ้ามาคลุมไหล่ ดับไฟแล้วออกมาจากห้องไปที่ห้องของฟิโลที่อยู่อีกฝั่งของทางเดินชั้นสอง

เด็กสาวยกมือขึ้นมาจะเคาะ แล้วก็หยุดค้างด้วยตัวเองกับความกล้าที่เริ่มฝ่อ กลางดึกแบบนี้โคมไฟเลยปรับหรี่ลงเสียจนสลัว ไม่รู้คิดอย่างไรถึงตรงมานี่ นับหนึ่ง สอง สาม ไปยันสามสิบกว่าก็เม้มริมฝีปาก วินาทีนี้ให้นับไปถึงร้อยก็ได้ เธอยังเตรียมใจไม่พอ

 

“!?”

 

เธอสะดุ้งโหยงอีกทีจากเสียงเบาๆ ที่แฝงอยู่ในความเงียบ ตอนนี้ผวาไปยืนชิดติดมุมกำแพง พยายามเงี่ยหูฟังก็พบว่าไม่ได้หูฝาดไปเองแน่ ชั่งใจหนักว่าจะเดินไปหาต้นเสียงนี้ หรือเธอควรจะพุ่งกลับเข้าห้องนอนของเอลลี่แล้วหลบอยู่ในนั้นแทน

พอนึกขึ้นมาอีกครั้ง แคลร์ก็ตัดสินใจก้าวเท้า เธอกระชับผ้าคลุมกำไว้แน่นๆ ให้รู้สึกดีขึ้นอีกนิดและลงบันไดไปชั้นล่าง

มันเริ่มชัดขึ้นจึงรู้ว่าที่ได้ยินอยู่เป็นเสียงเพลงจากเปียโน เด็กสาวกลืนน้ำลายเดินไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้มากก็ต้องลองผิดลองถูกเปิดประตูห้องดูทีละบาน

แคลร์พยายามทำทุกอย่างเบาๆ กระทั่งเปิดมาถึงห้องๆ หนึ่ง ในห้องมืดสนิทแต่มีดนตรีชัดเจนกังวาน ราวนาทีหนึ่งที่เมฆเคลื่อนตัว แสงจันทร์ทำหน้าที่แทนโคมไฟก็ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นเปียโนสีดำหลังหนึ่งที่วางอยู่กลางห้อง

ไม่รู้ว่าควรเข้าไปขัดจังหวะไหม นี่เป็นข้ออ้างให้กับความกล้าๆ กลัวๆ ของตัวเอง

 

“นอนไม่หลับเหรอครับ?”

 

ถูกทักก็ชะงัก เด็กชายยังคงกดนิ้วไปตามคีย์ไม่ให้ขาดห้วง ซึ่งเธอลังเลสักพักก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

 

“เอ่อ..” เธอคิดเรื่องชวนคุย “ฟิโลเล่นเปียโนเป็นด้วยสินะคะ”

“ครับ”

 

เขาตอบด้วยรอยยิ้มปกติ ทางผู้มาเยือนยามดึกก็หาที่นั่งไกลๆ ตามกำแพง

 

“จะครบสัปดาห์แล้ว ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก-ก็ดีค่ะ พวกเอลลี่เป็นเด็กดีมากๆ เลยค่ะ”

“ครับ ยังไงก็ขอโทษเรื่องแม็กกี้ด้วยนะครับ”

 

คนฟังหันควับ หัวสมองตีระฆังเตือนให้ลุกหนีด่วน ถ้าไม่ติดว่ามือกับขาเย็นเฉียบคงรีบไปเสียเดี๋ยวนี้เลย

 

“ถึงแม็กกี้จะดูดื้อไปหน่อยแต่เป็นเด็กน่ารักนะครับ เธอเป็นพี่สาวที่ดีของฟินน์กับเอลลี่เสมอ เมื่อก่อนเธอก็ทำหน้าที่ดูแลน้องๆ มีอะไรทั้งคู่ก็จะหาแม็กกี้ พอคุณโผล่มาเลยอาจจะรู้สึกเหมือนถูกแย่งความสนใจจากน้องๆ ไป”

“ค่ะ พี่ก็รู้สึกได้ว่าแม็กกี้รักน้องสองคนมากเลย”

 

เด็กสาวมองฟิโลที่ยิ้มเหมือนวันที่เธอปรึกษาเรื่องแม็กกี้กับเขา ไม่รู้ว่าเพราะดนตรีที่เล่นอยู่หรือเปล่า แต่เธอรู้สึกถึงบรรยากาศเงียบเหงาที่ซ่อนไว้ในตัวโน้ต

 

“ฟ-ฟิโลคะ”

“ครับ?”

 

เจ้าตัวถามแบบไม่เงยมอง จนแคลร์ที่ราวกับตัดสินใจอะไรได้เดินฉับๆ มาทางนี้ เขาเลิกคิ้วมองพี่เลี้ยงที่ขอที่นั่งข้างๆ ให้เขาเขยิบ

 

“ฟิโลก็ยังไม่ง่วงใช่ไหมคะ?”

“ก็ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ?”

“มาเล่นกันดีกว่าค่ะ ผลัดกันเล่นคนละท่อน ถ้าใครเล่นผิดต้องรับผิดชอบทำอาหารเช้าดีไหมคะ?”

 

เด็กชายฟังกติกาก็คลี่ยิ้ม เขาผายมือข้างหนึ่งเป็นเชิงเชิญให้ผู้หญิงเล่นก่อน แคลร์นั่งคิดครู่หนึ่งก็เสนอเพลงที่คิดว่าเขารู้จัก ฟิโลพยักหน้า เธอก็วางมือบนแป้นคีย์เล่นมัน จบท่อนหนึ่งเขาก็เล่นต่อ

 

“คุณเล่นเปียโนคล่องเหมือนกันนะครับ”

“พี่รู้จักแค่ไม่กี่เพลงเท่านั้นล่ะค่ะ” เธอสารภาพ ก่อนจะหันบอกแบบมั่นใจ “แต่พี่ไม่เคยแพ้ใครเวลาเล่นเกมนี้นะคะ”

 

เพราะเธอเคยเล่นเกมนี้กับโคลล์ผู้เป็นน้องชายเท่านั้น และดนตรีไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด

 

“หืม อย่างนั้นเหรอครับ”

 

เจ้าตัวดีดช้าๆ ทีละโน้ตราวกับกำลังเล่นสนุกทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เล่นต่อเนื่องไม่ติดขัดสักนิด ฟิโลระบายยิ้มนิดๆ มุมปากเมื่อหยุดมือ พร้อมกับดวงตาสีมรกตที่มองมายังแคลร์ น้ำเสียงดูหยอกล้อมีเสน่ห์ไม่สมกับลักษณะที่เป็นเด็ก เธออยากตักเตือนว่าโตแล้วอย่าทำแบบนี้ ทว่าความจริงที่เด็กชายคงไม่มีวันนั้นทำให้รู้สึกหดหู่แทน

 

“เล่นผิดแล้วนะครับ”

“อะ ขอโทษค่ะ ขอแก้มือนะคะ”

“ฮ่ะๆ ครับ”

 

การประชันที่ดูแปลกๆ ดำเนินต่อไป พี่เลี้ยงเสนอของรางวัลใหม่เป็นการทำความสะอาดห้องครัว เริ่มเลือกเพลงเล่นกันไปเรื่อยๆ

 

ผลก็คือแคลร์ต้องรับผิดชอบการทำมื้อเช้า การทำความสะอาดห้องและครัววันนี้ทั้งหมด แต่ถึงยังไงฟิโลก็มาช่วยอยู่ดี ทำมื้อเช้าเสร็จเธอก็ขึ้นไปพาฟินน์กับเอลลี่เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน รอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปพร้อมกัน

ครั้งนี้ส่งพวกฟินน์ที่เก้าอี้แล้ว แคลร์ก็วกกลับเดินเร็วๆ ไปที่ชั้นบนเพื่อปลุกแม็กกี้ด้วย เด็กหญิงส่งเสียงอิดออดงัวเงียครู่หนึ่งก็มีเสียงลุกเดิน

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

 

แม็กกี้เปิดประตูออกมา เธอก็เอ่ยทักทายด้วยใบหน้านิ่งที่จริงๆ ยิ้มอยู่ คนตัวเตี้ยกว่านิ่วหน้าก่อนจะเดินผ่านไปทางบันได โดยพี่เลี้ยงก็รีบตามไปข้างๆ

 

“แม็กกี้คะ”

“อะไรอีก?”

“พี่มาคิดดูแล้ว ขอบคุณที่แม็กกี้เป็นห่วงพี่นะคะ”

 

ไม่รู้ทำไมเธอสรุปเป็นอย่างนั้นได้ ฝ่ายถูกขอบคุณเลยเงยมองด้วยสีหน้ายับยู่

 

“ฟินน์บอกว่า เขาให้คุณทดลองทำงานที่นี่หนึ่งสัปดาห์”

“ใช่ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วนี่” แม็กพูดเบาลง “ถ้าคุณปฏิเสธเองโดยที่ทำเป็นไม่รู้ ฟิโลก็คงให้คุณออกไปอย่างปลอดภัย”

 

แคลร์อมยิ้ม มองยังไงเธอก็รู้สึกได้ว่าเด็กหญิงเป็นห่วง ถึงแม็กจะหันมาหรี่ตาใส่แบบไม่พอใจต่อสายตาวิบวับนี้ก็ตาม

ช่วงคล้อยแสงดวงอาทิตย์ตกดินอีกครั้ง ฟิโลก็มาเคาะประตูห้องเอลลี่เพื่อเรียกให้เธอตามเขาไป

ณ ห้องทำงานห้องเดิมของเจ้าของคฤหาสน์ซันฮิลล์ เธอยืนอยู่ตำแหน่งเดียวกับวันแรกที่มาที่นี่ มองเค้าโครงในความมืดของบุรุษที่ฟิโลเรียกเป็นท่านพ่อ

 

“สวัสดีครับคุณเฮเซล ขอบคุณสำหรับการทำงานตลอดหลายวันนี้นะครับ”

“สวัสดีค่ะ”

 

ถ้าเป็นอย่างที่แม็กกี้บอก คนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้จะเป็นแค่อะไรบางสิ่งที่ฟิโลทำมันขึ้น ที่เธอตอบโต้ด้วยอยู่เป็นเด็กชายที่ยืนข้างๆ

 

“คุณทำงานได้ดีนะ เอลลี่กับฟินน์ดูจะชอบคุณมาก แม็กกี้เองก็เริ่มพูดคุยกับคุณบ้างแล้ว หากคุณจะทำงานที่นี่ต่อ ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ”

 

แคลร์โล่งใจที่ผลการประเมินผ่านไปด้วยดี ซึ่งฟิโลก็ก้าวเท้าเดินไปทางพ่อ จากนั้นนำซองกระดาษมามอบให้เธอรับไว้ เงินค่าจ้างสำหรับเจ็ดวันมาอยู่ในมือเธอแล้ว

 

“ส่วนเงินเดือนจากนี้ก็ตามที่ผมเคยระบุไว้ในเอกสารครับ”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ แล้วฉันก็มีเรื่องจะขออนุญาต..” เธอก้มหนึ่งครั้ง “อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะ แต่พรุ่งนี้ขอลางานสักสองชั่วโมงนะคะ ยังไงจะรีบกลับมาให้ทันก่อนมื้อกลางวันค่ะ”

 

ผู้ว่าจ้างเงียบไปครู่เพราะแปลกใจ ทว่าไม่นานเขาก็ตอบอนุญาต และเด็กสาวพี่เลี้ยงก็ขอตัวกลับออกไป

 

ไม่มีอะไรผิดปกติ ฟิโลคิดว่าเธอคงมีธุระส่วนตัว ช่วงเช้าวันถัดมาแคลร์ก็ช่วยเขาเตรียมอาหาร หลังล้างจานทำความสะอาด เด็กสาวก็รีบร้อนวิ่งขึ้นไปแล้วก็วิ่งลงมา

เขายืนมองผ่านบานหน้าต่างชั้นบนก็เห็นแคลร์เปิดประตูก้าวออกนอกเขตคฤหาสน์ ฟิโลเลยไปหาน้องสองคน ฟินน์กับเอลลี่นั่งดูหนังสือนิทานกันในห้อง เห็นทั้งคู่ดูตั้งอกตั้งใจก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา การนั่งเฝ้าเฉยๆ แบบนี้ไม่ถือเป็นการเสียเวลาสำหรับฟิโลเลย

 

“ฝากดูเอลลี่ด้วยนะฟินน์”

 

ใกล้เวลาอาหารกลางวันเขาก็ลุกขึ้นยืน กำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูก็นึกได้ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะไม่ได้ต้องหลอกตาใครตอนนี้

เขามองต่ำลงไปที่พื้นและทะลุผ่านลงมาชั้นล่าง ตามด้วยลอยผ่านกำแพงมาห้องครัว พอแคลร์ไม่อยู่ก็ทำอะไรได้อิสระ ใช้วิธีปกติในการทำอาหาร วัตถุต่างๆ ในห้องพากันลอยขึ้นจากตำแหน่งของมัน แต่ละชิ้นบินข้ามไปข้ามมา จัดการปอก หั่น สับ เทน้ำ ตั้งเตาต้มและกระทะย่างขนมปัง

 

“เอลลี่?”

 

ราวสามสิบนาทีจากนั้น พอได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายเลยตกใจออกไปดู เด็กหญิงกำลังงอแงเสียงดัง มีฟินน์ที่ยืนก้มหน้าเศร้ากับแม็กกี้ที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ฟิโลมาแล้วใช่ไหม?”

 

เธอเดาเอาจากสายตาของน้องชายที่เงยมองไปทางอากาศว่างเปล่าด้านหน้า แล้วมองไปยังจุดที่คิดว่าเจ้าของชื่ออยู่

 

“ผู้หญิงคนนั้นจะไม่กลับมาแล้ว”

 

ฟินน์มองพี่สาวแล้วหันไปทางฟิโลที่ยืนนิ่ง

 

“หนูบอกเธอไปแล้ว ว่าที่จริงฟิโลเป็นอะไร”

 

แม็กกี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดหรือทำสีหน้ายังไง เธอเหลือบไปทางน้องชายของตัวเอง ซึ่งฟินน์เดินย่ำเท้าเข้าไปยังบริเวณไร้คนห่างจากเธอราวหนึ่งเมตรกว่า

 

“ฟิโล..บอกว่าแม็กไม่ควรทำแบบนี้”

“ทำไมล่ะ มันเป็นความจริงนี่ คิดว่าจะปิดบังไปได้ตลอดเหรอ?” เธอย่นหัวคิ้วจ้อง “แล้วฟิโลก็ไม่ต้องคิดจะเอาใครเข้ามาอีกนะ”

“..แม็ก ฟิโลอยากให้เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจ ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องการไง!”

 

เธอเสียงดังขึ้น เอลลี่ที่สะอื้นเลยยิ่งระเบิดเสียงร้องไห้นั่นทำให้การพูดคุยหยุดลง ฟิโลเองก็ลืมตัวเข้าไปปลอบ แต่มือเขาที่จะสัมผัสมันทะลุผ่านตัวเด็กหญิง

 

“เอลลี่ไม่ร้องน่า”

 

พี่สาววางมือลูบศีรษะ พี่ชายตัวเล็กก็จับตุ๊กตาขึ้นมาขยับๆ กระนั้นแล้วยิ่งพยายามกันยิ่งร้องหนักกว่าเก่า ทางคนที่จับต้องไม่ได้กำฝ่ามือตัวเองก่อนจะมองไปที่ตุ๊กตาฟิโล เพื่อให้ตุ๊กตาผ้าในมือฟินน์กระโดดวิ่งไปเกาะขาเอลลี่

 

“ฟิโล” เธอเบะปาก “พี่แม็ก พี่แม็กกี้บอกว่าพี่แคลร์จะไม่กลับมา”

“ขอโทษนะ เอลลี่”

 

เขาพึมพำบอกทั้งๆ ที่รู้ว่านอกจากฟินน์ก็ไม่มีใครได้ยิน รู้สึกผิดที่ทำให้ร้องไห้ ทำให้มีความทรงจำแย่ๆ อย่างการถูกทอดทิ้งเพิ่มขึ้นมา

 

“เอ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

 

ทุกคนหันควับไปยังต้นเสียงพร้อมกันจนเด็กสาวพี่เลี้ยงดูงุนงงไม่น้อย ก่อนทั้งหมดสี่คนจะสะดุ้งเมื่อประตูด้านหลังปิดดังปัง ฟิโลลุกขึ้นยืนมองแคลร์ เขากำลังคิดว่าควรทำยังไง ทำไมเธอกลับมา

 

“คุณ..”

“พี่แคลร์!”

 

เป็นเอลลี่ที่วิ่งโผเข้าไปกอด คนตัวสูงกว่าจึงนั่งยองลงเปิดกล่องกระดาษที่ถืออยู่ให้ดู ซึ่งเด็กน้อยผมสีน้ำตาลเข้มก็ตาเป็นประกายต่อผลไม้เชื่อมที่ตกแต่งบนหน้าขนมเค้กชิ้นเล็ก

 

“พี่ซื้อมาฝากค่ะ เดี๋ยวทานหลังอาหารนะ” เธอแตะมือเช็ดน้ำตาตรงแก้มเด็กหญิง “มีสำหรับทุกคนเลยนะคะ”

 

แคลร์นำของฝากวางบนโต๊ะ แม็กกี้ประหลาดใจที่เธอไม่หนีไป ทางฟินน์ยังหวั่นๆ ว่าจะมีปัญหาทะเลาะกันไหมเลยหันมองแต่ละคน

 

“คุณเฮเซล ผมมีเรื่องคุยด้วย”

“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะคะ”

“..แม็กกี้บอกว่าคุณรู้แล้ว”

“ใช่ค่ะ”

 

จริงอยู่ว่าฟิโลโล่งใจที่สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ แต่การที่แคลร์ยังอยู่ที่นี่ หมายความว่าเธอตัดสินใจทำงานต่อ ถึงจะมีวิญญาณอย่างเขาที่นี่ก็ตาม

 

“ฟิโลคะ พี่รู้ว่าทานไม่ได้ แต่ก่อนหน้านี้พี่ตั้งใจจะซื้อฝาก” พี่เลี้ยงเดินไปเลื่อนเก้าอี้ตัวที่เขาเคยนั่งวันแรกให้ “นั่งสิคะ”

“ครับ ขอบคุณ”

 

สุดท้ายเขาเลยยอมเดินไปนั่งลง พักเรื่องที่ต้องสนทนาให้รู้เรื่องไว้ก่อนแล้วถึงนึกได้ว่าทำครัวค้างไว้ กลิ่นไหม้ทำให้แคลร์เองก็รีบพุ่งไปที่ห้องครัวโดยไม่ต้องนัดหมาย หม้อต้มเดือดปุดๆ เป็นฟองล้นออกมา ส่วนขนมปังไหม้เกรียมดูไม่ได้ไปเรียบร้อย

 

“ขอโทษครับ ลืมไปสนิทเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สงสัยเราต้องทำแซนวิชแทนแล้วล่ะ”

 

ว่าแล้วก็เดินไปหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ แคลร์กะพริบตาปริบๆ มองมีดกับเขียง พวกขนมปัง ผักกับแฮมที่ลอยขึ้นมาบินผ่านไปทางโต๊ะเตรียมอาหาร

 

“แบบนี้ก็ไม่กลัวเหรอครับ?”

“ตอนแรกที่รู้ก็กลัวค่ะ” ยิ่งตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามันชัดเต็มตามาก เธอกำมือตัวเองที่สั่นนิดๆ “แต่..”

 

ฟิโลเอ่ยถามตรงๆ จ้องพี่เลี้ยงที่ทำสีหน้าครุ่นคิด เธอเดินมานั่งลงตรงหน้า ตอนนี้ส่วนสูงลดลงเตี้ยกว่าเขา แคลร์ส่งยิ้มนิดๆ เท่าที่ทำได้มอบให้

 

“ฟิโลเป็นเด็กดี พี่ก็เลยไม่กลัวแล้ว”

“..เด็กดีอะไรกันครับ”

“จากนี้ก็ทำตัวตามสบายเถอะค่ะ หลบไปอยู่คนเดียวคงรู้สึกเหงาใช่ไหมคะ?”

 

เขาดูอึ้งๆ ไปตามด้วยหันเลี่ยงมองทางอื่น เป็นหนแรกที่แคลร์รู้สึกว่าเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูแบบที่ควรเป็น เสียงมีดที่ลอยอยู่หั่นผักระรัวเสียละเอียดยิบแสดงให้รู้ว่าเด็กชายกำลังเขิน

 

“ช่วยเตรียมอาหารกลางวันเถอะครับ พวกเอลลี่หิวแย่แล้ว”

“ค่ะ”

 

ผงกศีรษะรับทราบแล้วเธอก็ลุกยืน นำขนมปังแผ่นวาง มองพวกเครื่องที่พากันโรยตัวลงมาเองและปิดทับด้วยขนมปังอีกแผ่น และขอมีดจากอากาศมาหั่น วางเรียงใส่จานเป็นชุดๆ เรียบร้อย แคลร์ก็หันมาบอก

 

“จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคะ” เธอส่งยิ้มให้แบบไม่รู้ตัว “แล้วก็เรียกพี่ว่าแคลร์แบบพวกเอลลี่เถอะค่ะ”

 

เด็กชายยืนนิ่งๆ ไปจนเด็กสาวเฮเซลคิดว่าพูดอะไรผิดหรือเปล่า ทว่าไม่นานเขาก็คลี่ยิ้ม

 

“ฝากตัวด้วยนะครับ คุณแคลร์”