ถึงท่านพ่อที่เคารพ

นี่เป็นจดหมายฉบับแรกนับตั้งแต่ลูกตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านมาที่เมืองครัมป์ตันเพื่อหางานทำ แม้ท่านแม่จะคัดค้านเสียงแข็งแต่ลูกเชื่อว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเข้าใจ

ไม่ต้องห่วงนะคะ ท่านแม่สบายดี และหากพบจดหมายที่ลูกเขียนทิ้งไว้ที่คฤหาสน์คงโวยวายเสียงดัง ซึ่งคุณเบ็ตตี้น่าจะรับมือได้ สำหรับพี่คลาร่า พี่ส่งจดหมายมาว่าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ธุรกิจของพี่เขยเองก็กำลังฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ส่วนโคลล์ ต้นเดือนหน้าก็จะเปิดเทอม ลูกบอกน้องก่อนวันออกจากบ้านแล้วว่าให้ตั้งใจเรียนให้เต็มที่

ขณะที่เขียนอยู่นี้ ลูกนั่งอยู่บนรถจักรไอน้ำ เสียงมันดังนิดหน่อยแต่ลูกไม่มีปัญหาอะไร มื้อกลางวันเป็นขนมปังหนึ่งแผ่นที่เตรียมไว้ในกระเป๋า คนแปลกหน้าที่นั่งข้างๆ กำลังจดจ่อกับการอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดแบบตั้งใจ ลูกแอบเหลือบดูเล็กน้อยเพราะสนใจเลยเห็นว่าสำนักข่าวนี้มีประกาศรับสมัครงานอยู่ด้วยค่ะ เสียดายที่ต้องรีบเบือนสายตาไปมองทิวทัศน์ด้านนอกก่อนเจ้าของหนังสือพิมพ์จะสังเกต ทำให้ลูกรู้เพียงชื่อสำนักข่าว อีกราวสามสิบนาทีข้างหน้าคงจะถึงสถานีที่ต้องลง

รักและคิดถึง

แคลร์ เฮเซล


 

เสียงไอน้ำพ่นออกจากหัวรถจักรที่แล่นมาถึงสถานีปลายทาง นายสถานีเอื้อมมือคว้าเชือกสั่นกระดิ่งระรัวพร้อมตะโกนประกาศ

ผู้คนที่ซื้อตั๋วมาที่นี่ต่างทยอยออกมาจากรถไฟ รวมถึงเด็กสาวจากต่างเมืองดังกล่าว แคลร์พับกระดาษที่เขียนจนเรียบกริบก็ใส่ซองถือด้วยมือขวา มือซ้ายอีกข้างมีกระเป๋าสีน้ำตาลเก่าๆ ที่จุเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวไว้ด้านใน

อาจดูเพี้ยนไปหน่อยแต่เธอรีบตรงไปที่ราวแขวนหนังสือพิมพ์พยายามค้นหาฉบับที่เหมือนกับที่เห็นคนข้างๆ บนรถไฟอ่านเมื่อครู่ หลังพบชื่อครัมป์ตันนิวส์ก็รีบหยิบมาเปิดดูแบบละเอียดพร้อมจดที่อยู่

ผ่านจากจุดที่มีเก้าอี้แถวให้นั่งรอ เธอก็นำจดหมายไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ แล้วจึงตรงไปบริเวณด้านนอกชานชาลา แถวนี้มีรถม้ารอบริการอยู่หลายคัน เพียงแต่ที่เธอมองหาคือรถโดยสารสาธารณะราคาย่อมเยา เป็นรถม้าใหญ่สี่ล้อที่สามารถจุคนได้แปดคน ใช้ม้าเทียมล่ามสี่ตัวต่อหนึ่งคัน วิ่งหยุดตามป้ายในเมืองเท่านั้น

ที่นั่งบนหลังคาเต็มแล้วเธอเลยเข้าไปนั่งด้านใน รอเวลาอยู่สิบห้านาทีเศษมีคนขึ้นมาครบรถม้าก็ออกวิ่ง แคลร์คลี่แผ่นกระดาษที่มีลายมือหวัดๆ อ่านว่าต้องลงที่ไหน และสอบถามจากคนนั่งข้างๆ เพื่อให้มั่นใจเพิ่มเติม

 

“อีกสองป้ายก็ลงได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ”

 

เด็กสาวมองอาคารบ้านเรือนจากช่องว่างของหน้าต่างที่ผ่านตา เมืองนี้เธอเคยอาศัยอยู่ในวัยเด็ก ที่นี่เปลี่ยนไปมากจนความทรงจำรางๆ ที่มีคงช่วยอะไรไม่ได้

เมื่อลงมาจากรถม้า แคลร์ก็ต้องถามทางคนแถวนั้นอีกรอบ กว่าจะถึงจุดหมายก็เสียเวลาอยู่พักใหญ่

ที่นี่เป็นหนึ่งในสำนักข่าวของเมือง เป็นโรงพิมพ์จัดจำหน่ายผลิตหนังสือพิมพ์ในชื่อครัมป์ตันนิวส์ มีประกาศรับสมัครงานต้องการคุณสมบัติแค่อ่านออกเขียนได้ มีความรับผิดชอบ ความตั้งใจ เธอคิดว่าสามารถทำได้ ดังนั้นจึงตรงเข้าไปด้วยความมุ่งมั่น

ภายในดูเงียบผิดคาด มีหนังสือพิมพ์จำนวนมากมัดทิ้งไว้เป็นตั้งๆ ตามพื้นและบนแท่นพิมพ์ใหญ่ที่ใช้ตีพิมพ์อักษร เธอก้มอ่านก็เห็นพาดหัวใหญ่โตเรื่องการลักพาตัวและการหายตัวไปอย่างปริศนาของเด็กในเมืองว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีในอดีตที่เงียบหายไปกว่าสี่ปีหรือไม่

 

“ขอโทษนะคะ” เธอทักคนงานโรงพิมพ์ “ฉันมาสมัครงานค่ะ เห็นประกาศว่าที่นี่กำลังรับสมัครคนเขียนข่าวอยู่”

“เอ่อ สักครู่นะ ลองคุยกับคุณเบรย์เดนดูแล้วกัน”

 

อีกฝ่ายมองแคลร์แบบไม่มั่นใจว่าทำไมเธอถึงมาสมัครงานที่นี่ เขาเดินไปเคาะประตูห้องด้านในตะโกนถามเจ้านาย จากนั้นค่อยเรียกเธอให้เข้าไปคุย

 

“แคลร์ เฮเซล?”

“ค่ะ”

“ขอโทษที” เบรย์เดนยิ้มแห้งๆ “แค่รู้สึกคุ้นๆ นิดหน่อย สงสัยจะจำผิด” 

“ไม่ต้องห่วงนะคะ ถึงจะเป็นผู้หญิง ฉันก็สามารถทำงานหนักๆ ได้ทุกงานตามที่สั่งค่ะ”

“อืม ก็ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกนะ”

“ฉันจะตั้งใจเต็มที่แน่นอนค่ะ”

 

เด็กสาวเข้าใจว่าเขาคิดอะไรเลยต้องโฆษณาตัวเองเท่าที่จะทำได้เสริม ทว่าเจ้าตัวดูลำบากใจกว่าเดิม สุดท้ายก็เฉลยสาเหตุของความอึดอัดนี้ออกมา

 

“เราได้คนงานใหม่มาแล้วน่ะ ตอนนี้ไม่ได้รับสมัครแล้ว อีกอย่างที่เธอเห็นน่าจะเป็นฉบับเมื่อสัปดาห์ก่อนนะ”

 

แคลร์นั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอค้างอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าหงึกหนึ่งครั้งว่าเข้าใจ หลังเอ่ยลา เด็กสาวก็ลุกเดินออกมายืนด้านหน้าโรงพิมพ์ครัมป์ตันนิวส์

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเข้าช่วงยามเย็น ตะเกียงไฟฟ้าที่ห้อยบนเสาสูงเริ่มจุดขึ้น เด็กสาวถือกระเป๋ายืนเฉยอย่างกับหุ่นไม้ราวห้านาทีก็ก้าวเท้า ตอนนี้เธอต้องหาห้องพักสำหรับคืนนี้เสียก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นหางานทำอีกครั้ง

เพื่อประหยัดจึงเลือกที่พักซึ่งมีขนาดห้องเล็กไม่กี่ตารางเมตร ภายในนั้นมีเตียงขนาดสามฟุตอยู่หนึ่งหลังชิดกำแพง มีพื้นที่แคบๆ ให้ใช้สอยเล็กน้อยและมีหน้าต่างหนึ่งบาน

เธอนั่งลงบนเบาะเตียงเงียบๆ จากภายนอกที่ใบหน้าดูเฉยชานี้ ไม่มีใครรู้ว่าในหัวตื่นตูมประหนึ่งฝูงผึ้งแตกรังแค่ไหน วันนี้เพิ่งเริ่มต้น เธอไม่ได้ถอดใจหรืออะไรแค่รู้สึกหน้าแตกที่ไม่ดูให้ดีมากพอเท่านั้น ทว่าอย่างไรก็ยังไม่หมดหวัง คิดแล้วแคลร์ก็ยืดตัวฮึด เธอทานขนมปังอีกหนึ่งแผ่นในกระเป๋าให้หมดแล้วเข้านอนพักผ่อน ด้วยความอ่อนเพลียที่วันนี้เธอเดินทางมาทั้งวันจึงหลับไปในเวลาไม่นาน

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เด็กสาวใช้มือปัดๆ จัดเสื้อผ้าชุดกระโปรงสีเทาที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย สวมหมวกใบเล็กสีดำที่มีอยู่ใบเดียวบนศีรษะ ตรวจสอบเพิ่มความมั่นใจสักนิดก็มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองอีกหน

ยามเช้ามีคนออกมาเดินข้างนอกมากยิ่งกว่าวันก่อนหลายเท่า พวกเขาเร่งรีบตรงไปทำงานให้ทันเวลา บางคนก็มีธุระด่วนต้องไปที่สถานีรถไฟ ส่วนเธอก็มีภารกิจใหญ่หลวงเช่นกัน

เริ่มจากพวกโรงพิมพ์หนังสือ ต่อด้วยร้านตัดเสื้อในละแวก เนื่องจากการอ่านเขียนและซ่อมแก้เสื้อผ้าเป็นสองอย่างที่เธอมั่นใจว่าทำได้ดี ทั้งยังเคยรับงานพิเศษลับๆ ไม่ให้แม่รู้อยู่บ่อยๆ

น่าเสียดายที่เหมือนทุกที่จะไม่พร้อมรับสมัครคนงาน ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดแทบจะปฏิเสธทันที แม้จะตระเวนอยู่ตลอดตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็ไม่มีวี่แวว

แคลร์หางานทำอยู่สองวันเต็ม จากที่คิดว่าคงได้งานทำในไม่ช้าและจะมีค่าจ้างในแต่ละวันหรือเดือน ตอนนี้ปลายทางสิ้นเดือนดูว่างเปล่าเหลือแสน

วันนี้เดินทอดน่องมาหลายชั่วโมงก็หาที่นั่งพักรอรถม้า ถือโอกาสคอยสอดส่องใบประกาศที่แปะอยู่บนกระดานข่าวของป้ายโดยสารประจำทางไปด้วย แต่ละแผ่นดูเก่ามีรอยขาดเปื้อนคราบฝน ดีที่ยังพออ่านแกะข้อความออกมาได้จึงลุกยืนหันไปเพ่งจ้องให้ชัดๆ แม้ผู้คนจะพากันสงสัยว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม

พื้นที่ในครัมป์ตันเองก็กว้างขวางไม่น้อย หากวันนี้หาทั้งวันแล้วแถบใจกลางเมืองไม่มีที่ไหนรับจริงๆ เธอก็คิดจะไปดูละแวกอื่นในเมือง ยังเหลือเขตเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ใต้ อ้างอิงจากแผนที่ครัมป์ตันที่มีติดไว้ให้ดูเส้นทางกับหมายเลขรถม้าสาธารณะ

วันถัดมาจึงมาลงที่เขตย่านครัมป์ตันฝั่งตะวันตก เช้าตรู่อยู่อากาศเย็นๆ กับไอหมอกจางยังคงปกคลุมให้เห็น กลิ่นหอมของดินและน้ำค้างตามยอดหญ้าช่วยให้รู้สึกสดชื่น แคลร์ยืดเส้นยืดสายอบอุ่นร่างกาย เธอนอนหลับเต็มที่เตรียมพร้อมมาตะลุยอย่างดี

รอบๆ แถวนี้มีบ้านเรือนตั้งรกรากอยู่ติดกันเป็นแถบ แต่ละหลังโครงสร้างใกล้เคียง สร้างด้วยอิฐสีส้ม ปูหลังคาด้วยหินกาบสีเทา ทั้งหมดขนาบสองข้างของเส้นทางเดิน เพียงแต่ดูเงียบกว่าในเขตโรงงาน ร้านค้า หรือแถบจัตุรัสกลางเมืองที่ดูวุ่นวาย

เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ จากนั้นตรงรี่เข้าไปยังร้านขายของชำที่แรกที่เห็นตรงหน้า ถูกปฏิเสธก็ลุยต่อไปยังร้านถัดมา พยายามโฆษณาตัวเองในเรื่องของการคำนวณ การทำบัญชีรับจ่ายไปจนถึงการอ่านตัวหนังสือ

 

“....”

 

ตอนนี้เธอเริ่มคิดไม่ตกว่าควรไปที่ไหนต่อ ทว่าท้องไส้ร้องเตือนขออาหารจึงเดินเข้าร้านขนมปังที่อยู่แถวนี้ เลือกหยิบขนมปังหนึ่งก้อนไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

 

“?”

 

แคลร์ล้วงมือในกระเป๋าผ้าที่เธอมัดติดเข็มขัด แต่ไม่ว่าจะค้นอย่างไรก็หากระเป๋าเงินของตัวเองไม่เจอ พนักงานที่รอเก็บเงินส่งยิ้มตอบเมื่อเห็นเธอเงยหน้ามอง ก่อนเด็กสาวที่ยืนนิ่งจะก้มศีรษะว่องไวรีบนำสิ่งที่เลือกไปวางกลับที่แล้วเผ่นออกมา

ออกมาหน้าร้านก็รื้อค้นให้ละเอียดอีกที แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่มี ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำหล่นไว้ที่ไหน แคลร์เดินย้อนไปตามจุดต่างๆ ที่ผ่านมา พอไม่พบก็ตัดสินใจไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ หน่ายๆ จดบันทึกของหายตามคำบอกของเธอที่ในหน้ากระดาษแผ่นนั้นมีรายชื่อแจ้งเหตุลักษณะเดียวกันยาวเป็นพรืด ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รับของคืนทั้งสิ้น

ถือเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เงินทั้งหมดที่เธอพกมาด้วยอยู่ในนั้น ไม่มีทางเลือกจริงๆ แคลร์จำเป็นต้องมองหาต่อ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเดินเท้ากลับไปที่ห้องพักที่เช่าไว้แถวใจกลางครัมป์ตัน

กำลังภาวนาในใจขอให้หาพบ เลือกก้มตรวจดูแม้แต่ตรงมุมอับหลังถังขยะจนเหลือบเห็นถุงผ้าปักลายสำหรับใส่เหรียญของใครสักคนหล่นอยู่ แต่จุดนั้นไม่ได้มีแค่เจ้าชิ้นนี้ ใกล้กันมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการดึงเงินออกมาจากอีกใบและโยนกระเป๋าเปล่าทิ้ง ในมือน้อยๆ นั่นมีกระเป๋าของแคลร์ด้วย

 

“!!”

 

สบตากันเจ้าตัวก็หันควับวิ่งทันที แคลร์มองเหตุการณ์กะทันหันอย่างตกใจและก้าววิ่งด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวแค่นี้จะวิ่งเร็วมากๆ หรือต้องบอกว่าเธอออกกำลังมาไม่พอจะวิ่งไล่ตามก็ไม่ทราบ

ผ่านเส้นทางในย่านชุมชนมาเรื่อยๆ กระทั่งคลาดสายตาที่ถนนทางเดินโล่ง แคลร์วิ่งไม่ไหวแล้ว เธอได้แต่เดินช้าๆ มองซ้ายมองขวาหาเด็กหญิงผมสีน้ำตาลแดงเมื่อครู่

บ้านเรือนรอบตัวน้อยลงจนเริ่มเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ตรงที่กว้าง รั้วเหล็กสีดำล้อมเขตตีกรอบพื้นที่ทั้งหมดโดยรอบของสิ่งก่อสร้างเอาไว้ ที่นี่ดูเก่าแก่มากๆ ซึ่งป้ายสลักตรงเสาก็บอกชื่อสถานที่

 

“..ซันฮิลล์?”

 

เด็กสาวพึมพำมองเข้าไปด้านใน มีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณสิบสองปีได้ เขายืนอยู่เฉยๆ หน้าประตูคฤหาสน์ เจ้าตัวสวมสูทสีดำทับเสื้อกั๊กสีน้ำตาลคู่เชิ้ต มีผ้าผูกคอเสื้อติดเข็มกลัดอัญมณี ดูแล้วพอเดาได้ว่าเป็นพวกบุตรชายตระกูลขุนนางชนชั้นสูง เลยอดฉงนไม่ได้ว่าทำไมมาอยู่แถวนี้ลำพัง

ดวงตาสีเขียวมรกตเลื่อนจากพื้นขึ้นมาจับมองที่เธอนิ่งๆ แคลร์รู้สึกว่าตัวเองยิ้มให้ไปแทนคำถามว่าต้องการให้ช่วยอะไรไหม แต่นึกได้ทันว่าในมุมมองคนอื่นตัวเองคงกำลังทำหน้าเฉยชาอยู่แน่จึงดึงมือที่แก้มตัวเอง ตามด้วยเปลี่ยนมายกมือโบกทักทายแทน แปลกที่เด็กชายเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ

 

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม?”

“...”

“หลงทางเหรอคะ?”

 

เธอเริ่มกดดันชอบกลเมื่อถามไปอีกฝ่ายก็เงียบสนิท กังวลว่าหน้าตาเธอดูดุหรือเปล่า เด็กชายคนนั้นก็เผยยิ้มตอบให้โล่งใจ

 

“เปล่าครับ แล้วคุณล่ะครับ?”

 

เขาถามบ้างพลางเดินมาหยุดเท้าตรงบริเวณห่างจากรั้วที่เธอยืนราวหนึ่งเมตร

 

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ก็แค่บังเอิญผ่านมา”

 

แคลร์จะขอตัวเท่านี้ปรากฏว่าเห็นสิ่งหนึ่งเข้าก่อน กระเป๋าเงินที่เธอบรรจงเย็บปักลายด้วยตัวเองมันหล่นแอ้งแม้งอยู่ในพงหญ้าด้านในนั่นเอง พอเห็นสายตาเธอ เด็กผู้ชายคนเดิมก็มองตามจนเจอและหยิบมาส่งคืนให้

 

“ของคุณเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

 

ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี เธอได้กระเป๋าสุดรักกลับมา ถึงมันไม่มีอะไรเหลือในนั้นตามคาดก็ตาม หนำซ้ำยังรู้สึกหิวมากๆ ได้ยินเสียงครวญครางมาจากท้องไส้ตัวเองชัดแจ๋วอย่างน่าอาย หวังว่าเสียงท้องร้องของเธอจะไม่ดังทะลุออกมา แต่คงไม่ใช่

 

“ข-ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่คุณไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมครับ?”

“ค่ะ พี่เพิ่งมาครัมป์ตันเมื่อไม่กี่วันก่อน”

“มาหางานทำเหรอครับ?”

 

เด็กชายเดาถูก เธอพยักหน้าตอบปลงๆ จุดประสงค์แรกเริ่มของเธอรวมถึงปัจจุบันคือหางานทำ แต่ตอนนี้ยังไม่มีที่ไหนรับเลย ทางเลือกเดียวคือมีแต่พรุ่งนี้ต้องไปแถวโรงงานอุตสาหกรรมฝั่งทิศใต้ของเมือง ถึงค่าแรงจะน้อยมากๆ แต่ก็ยากจะปฏิเสธ

 

“..สนใจงานพี่เลี้ยงเด็กไหมครับ?”

“พี่เลี้ยงเด็กเหรอคะ?”

 

แคลร์ทวนคำ ฝ่ายคู่สนทนาก็ผงกศีรษะยืนยัน

 

“ครับ บ้านเรากำลังหาพี่เลี้ยงอยู่ ถ้าคุณสนใจฟังรายละเอียดก็เชิญเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยค่ะ”

 

ผ่านประตูรั้วสูงเข้ามา เธอก็ยิ่งเห็นว่าสวนดูรกเอาเรื่อง มันเต็มไปด้วยต้นหญ้าเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว มีรูปปั้นที่ผุพังกับไม้เลื้อย ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ได้ตัดแต่งแผ่กิ่งก้านสะเปะสะปะ ขณะที่ต้นแห้งตายก็เหลือกิ่งก้านหักขวาง แคลร์หวั่นๆ ว่าจะมีงูไม่ก็ตัวอะไรกระโจนออกมา เธอเลยเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกนิด

คนนำทางเอื้อมจับด้ามทองเหลืองของประตูบานใหญ่สีดำเปิดออก จากนั้นยืนรอให้แขกเดินเข้ามาแล้วถึงปิดมัน

หลังเช็ดรองเท้าแล้ว เธอก็เหยียบลงบนผืนพรมทอลายที่ปูไว้ทั่วคฤหาสน์ เด็กสาวผู้มาเยือนลอบชำเลืองสำรวจกระดาษบุผนังสีคล้ายไม้มะฮอกกานีขาดๆ ที่มีหลุดตามมุมบางจุด ด้วยแสงไฟเท่าที่เจ้าของบ้านเปิดไว้ เธอก็พอจะเห็นรายละเอียดภายใน

ข้างนอกรกร้างชวนให้รู้สึกกลัว โชคดีที่ภายในยังให้ความรู้สึกถึงร่องรอยการดำเนินชีวิต สะอาด มีไออุ่นของโคมไฟแก๊สที่แขวนไว้ พวกเครื่องเรือนดูเป็นของราคาสูง รูปวาดศิลปะโบราณประดับตกแต่งและมีแจกันเคลือบตั้งตามตู้

ที่ชั้นล่างนี้มีบันไดทางขึ้นใหญ่ๆ ที่โค้งตัวไปยังระเบียงชั้นบน เธอเห็นเด็กสองคนมายืนจ้องตรงนั้น เป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง

 

“ฟินน์ พาเอลลี่กลับเข้าห้องไปก่อน มีแขกน่ะ”

 

เด็กคนที่ชื่อฟินน์พยักหน้าและจูงมือพาเอลลี่ที่ดูอายุน้อยกว่าเดินกลับไปตามคำบอก

 

“น้องชายกับน้องสาวเหรอคะ?”

“ครับ”

 

เขาหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม เดินกันต่อเข้าไปทางประตูกลาง ทะลุผ่านห้องโถงมืดที่เห็นรางๆ ว่ามีพวกชั้นหนังสือกับโซฟาไปที่ทางเดินอีกจุด เข้ามาถึงห้องที่มีโต๊ะยาวกับเก้าอี้หลายๆ ตัว เด็กชายเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง เธอก็มองคนพามาแบบงุนงง

 

“ผมต้องไปแจ้งท่านพ่อก่อนครับ” เจ้าตัวดึงเชือกเปิดผ้าม่านที่บานหน้าต่างใหญ่ “ระหว่างรอท่าน คุณก็ทานอาหารสักหน่อยนะ”

“ข-ขอบคุณนะคะ”

 

สักครู่หนึ่งเขาก็นำอาหารมาวางที่โต๊ะ ขนมปังร้อนๆ นุ่มฟู เนยแข็งกับสลัดผักดูน่าทานเอามากๆ ทำเธอเผลอกลืนน้ำลายอึก

 

“เชิญตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมมาเรียกอีกที”

 

ที่จริงสถานการณ์มันดูไม่ค่อยเหมาะที่จะทานอาหาร อีกทั้งนี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่รู้จัก ติดแค่ความหิวกับเพราะที่นี่มีแต่เด็กๆ แคลร์เลยวางใจที่จะทานลงไปรองท้อง

ทานเสร็จ ผ่านไปราวเกือบห้านาที เด็กชายก็มาเรียกไปด้วยกัน จากห้องอาหารย้อนมาสุดทางเลี้ยวฝั่งซ้ายผ่านโถงทางเดิน ถึงที่หมายก็เปิดประตูให้เธอเข้าไปก่อน

ที่นี่เป็นห้องทำงานของเจ้าของคฤหาสน์แน่ เธอเห็นชั้นหนังสือกับเอกสารที่อัดกันไว้ตามตู้ มีโต๊ะทำงานสีเข้มกับเก้าอี้ที่หันหน้าไปทางหน้าต่าง ไฟในห้องริบหรี่มาก ผ้าม่านก็เปิดให้แสงลอดเข้ามาได้นิดเดียว มีใครสักคนนั่งหันหลังอยู่แต่เธอมองได้ไม่ชัดเจน

 

“ยินดีต้อนรับครับ”

“ยินดีที่ได้พบค่ะ” เด็กสาวก้มหนึ่งครั้ง “แคลร์ เฮเซลค่ะ”

 

เด็กชายรับเอกสารบางอย่างจากพ่อเดินมาส่งต่อให้ เธอลองไล่สายตาอ่านดูข้อมูล ระยะเวลาสัญญาว่าจ้าง ส่วนบรรทัดต่อมาขนาดเป็นคนนิ่งๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาปริบ

สิ่งที่น่าตกใจคือตัวเลขค่าจ้างสูงเกินธรรมดา ผิดจากมาตรฐานที่เคยผ่านตาตามหนังสือพิมพ์ตอนเลือกหาที่สมัครงานข้างนอก

หากได้ค่าแรงเท่านี้ เธอคงหมดปัญหาเรื่องค่าเล่าเรียนของโคลล์ มีค่าขนมให้น้อง แถมยังอาจจะส่งกลับไปให้ที่บ้านได้มากกว่าเดิมจากที่คำนวณด้วยรายได้เฉลี่ยอีกเท่าตัว

เพ้อฝันสองนาที แคลร์ก็ส่ายหน้าควับๆ บางทีอาจเขียนผิดพลาด

 

“อยากสอบถามเรื่องตัวเลขค่าจ้างน่ะค่ะ มันดู..แปลกไปหน่อย”

“ค่าจ้างจำนวนเท่านั้นจริงครับ” อีกฝ่ายตอบคำถาม “เพราะบางครั้งผมอาจต้องรบกวนคุณให้ช่วยงานส่งเอกสาร ซื้อของข้างนอก หรือไม่ก็เป็นธุระเรื่องเด็กๆ ให้ผม”

“อย่างนั้นเอง เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ปัญหาเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าเป็นจุดที่แคลร์คิดว่าไม่มีผลใดกับชีวิต เพราะทุกคนที่บ้านต่างสามารถเข้าใจได้กันหมดว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรหรือแบบไหน แต่เวลานี้ควรแสดงการยิ้มสดใสเป็นมิตรให้ดูว่าสามารถจะเข้ากันกับพวกเด็กๆ ได้แน่นอนถึงจะถูก 

 

“อืม คุณเฮเซลเคยมีประสบการณ์ในงานด้านนี้ไหมครับ?”

“ไม่เคยค่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันสามารถทำได้แน่ ขอแค่ท่านให้โอกาสรับฉันเข้าทำงานนี้”

 

ตรงนี้แคลร์มั่นใจว่าน่าจะแสดงรอยยิ้มไปแล้ว ทว่าผู้ว่าจ้างก็ไม่ได้หมุนเก้าอี้มาเผชิญหน้าเลย มีแค่เด็กชายคนเดิมยืนส่งยิ้มเจิดจ้าที่ดูอย่างไรเธอก็เลียนแบบไม่ได้นั่นมาให้แทน

 

“คุณอายุสิบหกปีสินะ..”

“ค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงเลยนะคะ ฉันสามารถดูแลเด็กๆ ได้ค่ะ และยังสามารถสอนหนังสือขั้นพื้นฐานให้พวกเขาได้ด้วย”

 

จริงอยู่ว่าเธอไม่ได้เข้าเรียนยังสถานศึกษา มีเพียงฝึกเย็บปักถักร้อย อ่านเขียน การคำนวณเบื้องต้นที่คฤหาสน์ แต่มันคือจุดขายยิ่งยวดของตัวเธอ เชื่อว่าผู้ปกครองจะต้องสนใจคนที่สามารถทำหน้าที่ดูแลควบคู่ไปพร้อมกันกับการเป็นครูสอนเด็กๆ ได้ด้วย

 

“ไม่ต้องกังวลนะครับ”

 

เธอเม้มปากครุ่นคิดว่าควรพูดอย่างไรอีกให้ได้งาน เสียงเจ้าของคฤหาสน์ก็ตัดขึ้นมา

 

“ผมยินดีรับคุณเข้าทำงานแน่นอน แต่อาจจะรบกวนสักสัปดาห์หนึ่งก่อน ดูว่าคุณสามารถเข้ากันกับพวกเด็กๆ ได้ไหม”

 

ความรู้สึกประหนึ่งมีทุ่งดอกไม้ผุดขึ้นรอบตัว ดูเหมือนที่นี่จะรับเธอเข้าทำงานแล้ว

 

“คุณสามารถพักที่นี่ได้เลยนะครับ เริ่มงานพรุ่งนี้ทันที แล้วถ้ามีเรื่องสงสัยอะไรก็ถามฟิโลได้”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้น ตามฟิโลไปที่ห้องพักได้เลยครับ”

 

จบคำเจ้าของชื่อก็ก้าวเท้าไปเปิดประตู แคลร์จึงก้มศีรษะลา แล้วตามฟิโลออกไปที่โถงทางเดินอีกครั้ง ซึ่งเด็กชายก็มอบรอยยิ้มเป็นมิตรให้

 

“ฝากตัวด้วยนะครับ คุณเฮเซล”

“ฝากตัวด้วยเช่นกันค่ะ”