11 ตอน บทที่ 10 ข่าวลือเกี่ยวกับซันฮิลล์
โดย monodice
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กสาวกล่าวและรับกล่องกระดาษสีน้ำตาลเข้มที่ปั๊มลายขนมน่ารักๆ เป็นสัญลักษณ์คู่ชื่อร้านมา
“คุณทำงานที่คฤหาสน์ซันฮิลล์เหรอครับ?”
“ค่ะ”
“ผมเองก็เพิ่งมาทำงานร้านนี้ไม่นาน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
กำลังเก็บกระเป๋าเงิน แคลร์ก็เงยมองคนถามอีกครั้ง อีกฝ่ายเป็นพนักงานร้านขนมอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เวลามาซื้อขนมกลับไปฝากทุกคนก็จะเจอเขาอยู่เฝ้าร้านตลอด
“แซม บรูกก์ครับ เรียกผมว่าแซมได้เลยนะครับ ขอบคุณที่แวะมาเสมอ” เจ้าตัวยิ้มแย้มพร้อมยื่นถาดอบคุกกี้ส่งให้ “ลองชิมหน่อยไหมครับ สินค้าตัวอย่าง”
“ค่ะ แคลร์ เฮเซลค่ะ”
“แสดงว่า” เขาทำหน้าข้องใจ “ที่ลือกันว่าเป็นคฤหาสน์ผีสิงกินคนก็โกหกสินะครับ”
เธอพยักหน้าหงึกตอบหนึ่งครั้ง ปิดปากเคี้ยวคุกกี้ที่กัดเข้าปากเบาๆ
ฟิโลเล่าให้ฟังว่าปกติแม็กกี้จะเป็นคนออกไปซื้อของ โดยเขาจดรายการใส่แผ่นกระดาษให้พร้อมเงิน ส่วนเรื่องแก๊สกับประปาใช้วิธีที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่บังคับเปิดวาล์วล็อกใต้ดินใช้ ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีเด็กๆ ไปอาศัยอยู่ที่ซันฮิลล์ วันดีคืนดีมีคนนั่งรถม้าหรือจำเป็นต้องเดินผ่านถนนหน้าคฤหาสน์มาเห็นเงาไฟ หน้าต่างเปิดปิด พวกเขาก็พากันคิดว่ามีผีสิง ทว่าพอมีแคลร์มาทำงานตรงนี้ให้ คนในย่านตะวันตกก็เริ่มมองคฤหาสน์ซันฮิลล์เปลี่ยนไป
“คงเพราะข่าวน่ากลัวที่เกิดเมื่อสี่ปีก่อน คนเลยลือกันเป็นเรื่องผีสินะ”
“ข่าวเหรอคะ?”
แคลร์ถามต่อแบบสนใจ ดวงตานิ่งๆ จ้องเด็กหนุ่มเพื่อรอฟัง
“ครับ เคยได้ยินข่าวฆาตกรต่อเนื่องที่ลักพาตัวและสังหารเด็กในครัมป์ตันไหมครับ?”
“ได้ยินมาบ้างนิดหน่อยค่ะ”
เธอนึกความทรงจำเก่า สมัยเด็กของแคลร์ ครอบครัวเฮเซลเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ช่วงนั้นก็ถูกห้ามออกจากบ้านลำพัง ตอนนั้นเธอยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้อีกทั้งจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เวลาถามแม่ก็บอกว่าปีสุดท้ายที่อยู่ที่นี่เธอป่วยหนัก ประกอบกับธุรกิจของพ่อเริ่มไม่ค่อยดีจึงขายคฤหาสน์ที่นี่ทิ้งและย้ายไปอยู่คฤหาสน์เก่าของปู่ย่าในเมืองหลวง
“นั่นล่ะครับ เจ้าของคฤหาสน์ตกเป็นผู้ต้องหา แต่อยู่ๆ ข่าวก็เงียบหายไปพร้อมกับตัวเขา ส่วนสถานที่ก่อเหตุที่ผ่านๆ มาก็น่าจะเป็นคฤหาสน์ซันฮิลล์” พนักงานหนุ่มปรับเสียงให้เบาเหมือนมันเป็นความลับ “ชื่อของคฤหาสน์คือเนินพระอาทิตย์ใช่ไหมล่ะครับ เพราะว่าเนินนั่นถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดเด็กๆ ยังไงล่ะ”
“....”
“นี่คือที่เขาเล่ากันน่ะครับ”
แซมใช้น้ำเสียงตื่นเต้นเล่าแบบออกรสชาติ แล้วเหงื่อตกเมื่อเด็กสาวยืนนิ่งเฉยอย่างกับตุ๊กตา หารู้ไม่ว่าในใจแคลร์เย็นวาบ เธอกลัวพวกเรื่องทำนองนี้ โดยมีคำใช้ปลอบตัวเองจากที่ฟิโลเคยพูดไว้ว่า ‘ที่นี่นอกจากผมก็ไม่มีใคร’ ซึ่งเขาคงไม่ได้โกหกแน่นอน
ระหว่างเดินกลับแคลร์ก็คิดทวน การฆาตกรรมโหดดังกล่าวหายเงียบไปเกือบสี่ปี ซึ่งปัจจุบันยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ถ้าฟิโลเสียชีวิตตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน การที่มีเสื้อผ้ากับสูทของผู้ชายอยู่ที่นั่น มันก็ต้องเป็นของใครสักคนในครอบครัวที่อาจจะแวะมาพักเป็นระยะ หรืออาจจะเป็นของฆาตกรในข่าว
เด็กสาวส่ายหน้าไล่ความคิด ดันเปิดประตูรั้วสีดำเข้าไปในเขตคฤหาสน์ซันฮิลล์ ดวงตาเหลือบมองสวนรกๆ สองฝั่ง กระทั่งมาถึงบานประตูใหญ่ของตัวสิ่งก่อสร้าง
“กลับมาแล้วค่ะ”
เธอนำขนมไปเก็บในห้องครัว แปลกตรงที่ทั้งบ้านเงียบกริบ ลองเดินไปดูห้องนั่งเล่นก็ไม่พบ ห้องหนังสือก็ไร้คน ห้องชั้นบนก็ไม่มีใครแม้แต่แม็กกี้ อย่างน้อยปกติพวกเอลลี่ก็ต้องอยู่ที่ไหนสักที่ แคลร์เริ่มงุนงงว่าหายไปไหนกัน
“เอลลี่” เธอหันซ้ายหันขวา “ฟินน์ แม็กกี้ ฟิโล?”
ตอนนี้เริ่มกังวล ความคิดฟุ้งซ่านเรื่องที่ว่าบางทีอาจมีคนร้ายแอบกบดานซ่อนตัวที่นี่ผุดขึ้นมาใหม่ พี่เลี้ยงก้าวเท้าเร็วๆ ตามหา บรรยากาศเงียบสงัดดูวังเวงขึ้นมาทันตา
ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงส่วนห้องซักล้างหรือเปล่า เธอเลยไปดูทางเขตครัวก่อน ไม่เจอก็ลงไปตรงทางเดินใต้ดิน พออยู่ลำพังก็รู้สึกไม่มั่นใจ ทั้งที่เธอน่าจะเคยชินกับคฤหาสน์หลังนี้แล้ว
ฉับพลันมีเสียงของหล่นดังตุบในห้องใกล้ๆ นี้ แคลร์สะดุ้งเดินแบบระมัดระวังเอื้อมมือผลักประตูเปิดช้าๆ แง้มดูก็ไม่เห็นใคร ที่อยู่ตรงพื้นเป็นกองผ้ากับตะกร้าที่น่าจะหล่นลงมา
เธอถอนหายใจโล่งอกจะเข้าไปเก็บผ้าใส่ตะกร้า ปรากฏว่าเจ้ากองผ้ากองนั้นปูดผุดบางสิ่งพรวดขึ้นมา นั่นทำให้เด็กสาวปิดประตูดังปังหนีโดยไม่ต้องคิด
แคลร์มุ่งตรงไปยังบันไดทางขึ้นที่ใกล้ที่สุด ทว่าก็ต้องหยุดเท้า บานประตูที่ปิดอยู่ส่งเสียงเบาหวิวเปิดออกเชื่องช้า เธอไม่อยู่รอดูว่าอะไร และเปลี่ยนเส้นทางไปยังประตูอื่นด้วยความยินดี
แต่หูก็ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้า มีใครอยู่ในบ้าน อยู่แถวทางเดินใต้ดินนี่ด้วย ติดตรงที่เธอไม่กล้าหันหลังกลับไปดูหรือส่งเสียงทัก
กระทั่งเร่งฝีเท้าไปถึงประตูอีกบานได้สำเร็จ เธอจำได้ว่ามันจะพากลับไปแถวห้องครัว เปิดมาก็ผงะกับตุ๊กตาที่ชนจมูกกะทันหัน ผวาสุดขีดจนมองชัดๆ เห็นฟิโลที่ยิ้มแฉ่ง
“กลับมาแล้วเหรอครับ?”
เด็กชายถือตุ๊กตาชื่อเหมือนกันในมือ จับมันโบกไม้โบกมือ
“พ-พวกเอลลี่ล่ะคะ?”
“พวกผมกำลังเล่นซ่อนแอบครับ รอบนี้ผมรับหน้าที่เป็นคนหา”
วิญญาณเด็กชายลอยตัวอยู่ในอากาศ ใช้ตุ๊กตาฟิโลแทนตัวให้พวกเด็กๆ รู้ว่าเขาอยู่ไหนแล้ว ดูคล้ายเล่นซ่อนแอบกับตุ๊กตาตามนิยายสยองขวัญชอบกล
“ตกใจหมดเลยค่ะ”
“ขอโทษครับ”
ฟิโลเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่แคลร์ยังคาใจว่าใครเป็นคนเปิดประตูบานก่อนหน้านี้ หันหลังไปก็พบว่าเป็นฟินน์เอง เด็กชายเห็นเธอหนีเลยวิ่งตามไล่หลังเพราะเป็นห่วง
“พี่แคลร์ตกใจอะไรเหรอครับ?”
“เอ่อ เปล่าค่ะ” รู้สึกอายเลยส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ตอนนี้ฟิโลหาฟินน์เจอแล้ว ขาดเอลลี่กับแม็กกี้ที่ยังไม่พบ พอสงบใจลงแคลร์ก็คิดได้ว่ากองผ้านั่นคงเป็นหนึ่งในสองคนนั้น ซึ่งฟิโลก็ทำมือให้เงียบๆ พากันย่องไปยังห้องผ้า จากนั้นเขาก็จับตุ๊กตาให้เปิดประตูเข้าไป
กองผ้ากองนั้นหายไปแล้ว และถูกอัดกลับเข้าตะกร้าตั้งไว้ที่มุมห้อง ฟิโลถือตุ๊กตาจับโยกไปโยกมาพร้อมฮัมเพลงไปด้วย ก่อนจะหันควับกลับมาปัดมือให้ประตูด้านหลังพวกแคลร์ดีดปิด
“เจอแม็กกี้แล้ว”
เด็กหญิงที่ซ่อนหลังบานประตูที่เปิดกำลังจะย่องออกไปก็ชะงัก เธอมุ่ยหน้าเมื่อตุ๊กตาฟิโลมาวางแหมะบนศีรษะ สำหรับเอลลี่นั้น เด็กหญิงเห็นว่าแคลร์กลับมาแล้วก็เผยตัวพุ่งออกมากอดเองทันที
วันนี้ตอนดึกแคลร์กลับมาที่ห้อง นำของที่ทำค้างไว้มาจัดการต่อ เธอเปิดประตูห้องนอนตัวเองที่อยู่ข้างห้องเอลลี่ไว้กว้างๆ เผื่อเด็กหญิงละเมอเดินเปิดประตูออกมา เสียงกระดิ่งจะได้ชัดเจน
เด็กสาวใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าให้ได้ขนาด และนำเศษชิ้นใหญ่ที่เหลือมาใช้ตกแต่ง ระหว่างเย็บผ้าเพลินๆ คนที่แวะมายามมืดเคาะประตูด้วยของใกล้มือ แล้วถึงหย่อนตัวนั่งลงมองดูของที่เธอทำ
“คุณเย็บผ้าคล่องมากเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย ว่าแล้วก็อวดสักนิด “พี่ใช้จักรเป็นด้วยนะคะ อย่างเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา พี่แอบรับงานพิเศษด้วยค่ะ เป็นงานซ่อมชุดกระโปรงหลังห้องเต้นรำตามคฤหาสน์ ส่วนใหญ่เป็นงานด่วนๆ ทั้งนั้นเลย”
เพราะเธอชอบตัดเย็บแก้ชุด ถึงแม่จะบอกว่าเป็นงานอดิเรกที่ไม่ควร ไม่เหมาะสำหรับคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่แคลร์ก็ชอบงานอดิเรกนี้ พวกด้ายสีต่างๆ เวลาเดินเจอในตลาดเป็นต้องซื้อสะสม ถ้าไม่ติดที่ปัญหาการเงินของบ้าน แคลร์ก็อยากได้จักรเย็บมือสองเป็นของส่วนตัวสักเครื่อง
“ฟิโลคะ พี่เย็บเสื้อให้ด้วยนะ”
“ครับ?”
เขาดูงุนงงว่าอะไร ก่อนจะหลุดยิ้มต่อเสื้อผ้าขนาดสำหรับตุ๊กตาที่แคลร์หยิบออกมาจากส่วนที่ทำเสร็จแล้วให้ดู
“ขอบคุณครับ”
ฟิโลอาสาช่วยพับเสื้อผ้าที่แก้เรียบร้อยให้ ซึ่งพวกชุดเหล่านั้นลอยขึ้นจากพื้นพับทบไปมาเป็นสี่เหลี่ยมก็ร่อนลงเรียงซ้อนกันขึ้นไป
“เมื่อตอนบ่ายคุณดูกลัวๆ นะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แคลร์ก็อยากถามเขาอยู่พอดี วิญญาณเขาอยู่ที่นี่มาตลอด ถึงจะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่หากก่อนหน้านั้นมีคนอาศัยอยู่ ฟิโลก็น่าจะเคยเห็นตัว
“นอกจากพวกเอลลี่ เคยมีคนแปลกๆ แอบเข้ามาในคฤหาสน์บ้างไหมคะ?”
“ก็ไม่มีนะครับ”
“วันนี้พี่ได้ฟังรายละเอียดเกี่ยวกับข่าวลือของคฤหาสน์มาน่ะค่ะ”
เด็กสาวสรุปเอาเองว่าทั้งหมดน่าจะเป็นแค่ข่าวลือเพื่อสร้างความตื่นเต้น ถูกผู้คนเสริมเติมแต่งให้คฤหาสน์ร้างไร้คนดูน่ากลัวมากขึ้น เจ้าของคฤหาสน์ผู้ถูกดึงมาร่วมเรื่องคงอยากเถียงไม่น้อย
“ดูเหมือนพวกเขาจะเอาเรื่องฆาตกรรมต่อเนื่องเมื่อสี่ปีก่อนมาสร้างเรื่องสยองขวัญน่ะค่ะ”
มันดูลงตัวเอามากๆ ทั้งเจ้าของที่นี่เป็นผู้ต้องหา คฤหาสน์ที่ถูกทิ้งร้างเก่าคร่ำคร่ามานานหลายปี เหตุการณ์ประหลาดๆ ที่คนบังเอิญมาพบเห็น ทั้งหมดเป็นส่วนผสมสำหรับสร้างเรื่องขนหัวลุกได้ดี
“ฆาตกรรมต่อเนื่องเหรอครับ?”
“ค่ะ เป็นข่าวใหญ่เมื่อช่วงสี่ปีที่แล้วในครัมป์ตันค่ะ มีการลักพาตัวเด็ก ทั้งเด็กจรจัดแถวเขตแออัด รวมถึงเด็กทั่วไปที่แค่เดินตามท้องถนนก็ด้วยค่ะ”
“ผมเพิ่งเคยได้ยินนี่ล่ะ”
ฟิโลหลับตาคิดพร้อมเอียงคอนิดหน่อย แต่หากเป็นก่อนเจอพวกแม็กกี้ เขาฝังตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์มืดๆ นึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น
“ในเขตคฤหาสน์ซันฮิลล์ ผมสามารถควบคุมอะไรๆ ได้หมด รู้สึกจะเรียกว่าปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์นะ”
พี่เลี้ยงพยักหน้า เธอได้เห็นปรากฏการณ์ที่ว่าจนชินตาเลยทีเดียว เนื่องจากฟิโลทำให้วัตถุลอยไปลอยมาเสมอ รวมถึงเปิดปิดประตู หน้าต่างด้วย
“ผมน่ะ” เด็กชายเปิดเปลือกตา ดวงตาสีมรกตดูจริงจังและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน “ไม่ชอบให้ใครก็ตามเข้ามายุ่มย่ามในบ้านของผมโดยพลการ ถ้าหากมีคนแบบนั้นพยายามบุกรุกเข้ามาจริง ผมไม่ปล่อยเขาไว้หรอก”
แวบหนึ่งแคลร์รู้สึกว่าฟิโลดูต่างจากปกติ แต่ไม่ใช่เลย เขาน่าจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว พอพูดจบก็เผยยิ้มเป็นมิตรเช่นเดิม
“พรุ่งนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องเป็นเมนูวันพรุ่ง เด็กสาวที่หยุดนิ่งไปกลางคันจึงเย็บผ้าต่อ พลางนึกไปด้วยว่าจะทานอะไร
“พอจะทำมันบดกะหล่ำปลีทอดให้ได้ไหมคะ?”
“ได้แน่นอนครับ ชอบทานเหรอ?”
“ค่ะ ตอนเด็กๆ เคยแอบเข้าไปในครัวกับน้องชายเพราะหิว พวกสาวใช้ที่บ้านเลยแบ่งให้ลองทานค่ะ”
มันคือเมนูมันฝรั่งบดคลุกกะหล่ำซอยและผักชนิดต่างๆ แล้วนำลงทอดในกระทะเป็นแพชิ้นขนาดเท่าฝ่ามือ สัมผัสของมันกรอบนอกนุ่มใน เธอได้ทานตอนร้อนๆ ในครัวซึ่งมันอร่อยมาก โดยปกติเป็นเมนูที่ใช้จัดการกับพวกผักที่เหลือจากมื้อก่อนๆ
“ก็ดีนะครับ พวกแม็กกี้จะได้ทานผัก ผมจะใส่เบคอนผสมลงไป แถมไข่ดาวให้ด้วยนะ”
เธอผงกศีรษะ แววตาดูดีใจกับของกินเหมือนเด็กๆ ตอนนี้หน้าที่หลักในครัวของแคลร์คือการชิมทุกสิ่งที่ฟิโลทำ นั่นเพราะเขาไม่สามารถชิมรสด้วยตัวเองได้ ทว่าแต่ละอย่างมักรสชาติลงตัวกำลังดี เนื่องจากฟิโลเคยชินกับการคาดปริมาณเครื่องปรุงแล้ว
“คุณแคลร์เองก็มีพี่สาวกับน้องชายสินะครับ เป็นพี่น้องสามคน”
“ค่ะ พี่สาวของพี่แต่งงานกับพี่เขยแล้วย้ายไปอยู่อีกเมือง ส่วนน้องชายตอนนี้เรียนอยู่โรงเรียนประจำเรดฟอร์ดในเมืองหลวงเซ็นทรัลค่ะ”
“หืม คุณเคยบอกผมว่ามีปัญหาเรื่องเงิน รู้สึกค่าเทอมที่นั่นค่อนข้างสูงนะครับ”
เรดฟอร์ดเป็นโรงเรียนชั้นนำของประเทศ ในอดีตเปิดให้เฉพาะลูกผู้ดีชนชั้นสูงได้เข้าเรียนเท่านั้น ก่อนที่ระยะหลังจะเปิดให้คนทั่วไปสมัครเข้าเรียนได้ด้วย แน่นอนว่าค่าเรียนก็ยังสูงลิบ แลกกับสิ่งที่เรียกว่าความมีหน้ามีตากับการปูทางเส้นสายธุรกิจ ครอบครัวพ่อค้ามั่งคั่ง หรือเศรษฐีที่ย้ายถิ่นฐานจึงส่งบุตรหลานของตนเข้าไป
“ใช่ค่ะ แต่ครอบครัวของพี่ไม่อยากให้น้องชายต้องลาออกหรือย้ายกลางคัน มีพี่สาวช่วยอยู่ตลอด พี่ก็เลยออกหางานทำแบ่งเบาส่วนนี้”
“อย่างนั้นเอง”
“พี่กำลังรอท่านพ่อกลับมา” แคลร์เผยยิ้มคิดถึง “ท่านลงทุนร่วมกันกับตระกูลเมอร์ฟี่ ทำบริษัทซื้อขายกับต่างประเทศ แต่เมื่อปีก่อนมีปัญหาบางอย่าง พ่อของพี่เลยโดยสารไปกับเรือกลไฟบรรทุกสินค้าค่ะ”
“ยอมรับว่าผมรู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่บารอนนอร์ตันลงมาทำธุรกิจเองเลย”
“พี่ไม่เคยบอกเรื่องท่านพ่อนี่คะ..ฟิโลแอบฟังพี่คุยกับแม็กกี้อีกแล้วเหรอ?”
“ผมเปล่านะ แค่บังเอิญได้ยินเท่านั้น”
“บางทีมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงนะคะ อย่าฟังสิ”
“แย่ล่ะ ขอโทษด้วยครับ”
เห็นเธอหรี่ตาขึ้นมาจ้อง เขาก็ระบายยิ้มมุมปาก สีหน้าทีเล่นทีจริงดูกวนๆ แต่เข้ากันกับใบหน้าท่าทางทุกอย่าง
“ช่างเถอะค่ะ ครั้งนี้จะยอมปล่อยผ่านไปก็ได้”
แคลร์ทำท่าแบบลูกคุณหนูที่สะบัดหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหลุดยิ้มขำเอง เด็กชายมองดูก็อมยิ้มตาม
คุณพี่เลี้ยงมักจะมีสีหน้านิ่งเฉย แม้แต่สีหน้าตกใจก็นิ่งมากเสียจนเขาเคยคิดว่าเธอเป็นประเภทเงียบขรึมสุดๆ ทว่าไม่ใช่อย่างนั้น ฟิโลเดาได้เพียงว่าเธอแสดงออกทางสีหน้าไม่เก่ง
“คุณจำหมอนข้างสวมสูทที่นั่งอยู่ได้ไหม ฟินน์ไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะในห้องทำงานนั่นน่ะครับ”
“ถ้าพี่เป็นคนหา น่าจะหาไม่เจอแน่เลยนะคะ”
“ฮ่ะๆ ไว้เล่นด้วยกันไหมครับ?”
“ได้เลยค่ะ ถึงจะหาไม่เก่งแต่พี่ซ่อนเก่งนะ”
ฟิโลนั่งชันเข่าข้างหนึ่งดูแคลร์ตั้งอกตั้งใจเย็บผ้า โดยที่เธอคอยสนทนาชวนเขาคุยเล่นไปด้วย ตั้งแต่พี่เลี้ยงทำงานที่นี่ เขาก็มีเพื่อนในตอนกลางคืนเสมอ คุยกันเรื่องอาหาร ขนม เรื่องพวกแม็กกี้ รวมไปถึงเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวัน