ถึงท่านพ่อที่เคารพ

ลูกส่งเงินค่าจ้างส่วนหนึ่งไปให้ท่านแม่แล้วนะคะ ทั้งสำหรับค่าเรียนเทอมนี้ของโคลล์กับค่าใช้จ่ายให้ท่านแม่ รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ ทางพี่คลาร่าจะได้ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายมากเกินไป

การทำงานที่นี่ไม่มีปัญหาใดเลยค่ะ แม้ลูกจะยังยิ้มไม่เก่ง แสดงออกยากเหมือนเดิม แต่ลูกก็เข้ากับเด็กๆ ได้ พวกเราสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ หนำซ้ำอาหารแต่ละมื้อก็อร่อยมาก ลูกกลัวว่าตัวเองจะอ้วนขึ้นมากกว่า (หากใส่ชุดที่มีอยู่ไม่ได้คงต้องเย็บแก้จนวุ่น) ที่น่าภูมิใจคือลูกคิดว่าลูกทำอาหารได้ดีขึ้นค่ะ สามารถทอดไข่ดาวได้แล้ว ถ้าคุณเบ็ตตี้ได้รู้ต้องน้ำตาไหลพรากแน่นอน

คิดถึงมากๆ ค่ะ

แคลร์ เฮเซล

 


 

ช่วงกลางวันของวันนี้มีพัสดุมาส่งที่หน้าคฤหาสน์ แคลร์ก็ออกไปรับ เธอยิ้มในใจตอนเห็นจ่าหน้าและยกเข้ามาตั้งแถวโถงทางเดิน แกะเปิดกล่องดูของด้านใน มีกล่องเข็มกับด้ายที่เธอใช้ประจำส่งมาพร้อมกัน แนบจดหมายหนึ่งซองใส่ไว้ด้วย ยังไม่อ่านเธอก็เดาได้ว่าต้องเต็มไปด้วยคำเทศนามากมายจากแม่

 

“ที่บ้านส่งมาแล้วเหรอครับ?”

“ค่ะ”

 

เนื่องจากเธอดูเสื้อผ้าของพวกเด็กๆ แล้วพบว่ามีน้อยเกินไป บางชุดขาด แน่นจนใส่ไม่ได้ บางชุดก็เริ่มสั้นเต่อไม่เข้ารูป บ่งบอกว่าพวกแม็กกี้อยู่ในวัยเจริญเติบโต ทั้งสามสูงขึ้น ตัวโตขึ้นทุกวัน

 

“ไว้ไหนครับ?”

“คงต้องยกไปไว้ที่ห้องก่อนค่ะ”

 

ฟิโลวาดนิ้วช่วยยกกล่องนั้นให้ลอยขึ้นจากพื้น พวกเธอนำมันไปวางไว้ในห้อง และแคลร์ถึงหยิบเชือกหนึ่งเส้นกลับลงมาห้องนั่งเล่น เพื่อวัดตัวพวกเด็กๆ

 

“มาแปลงร่างกันค่ะ”

“แปลงร่าง?”

“เป็นต้นไม้ ชูแขนขึ้น”

 

เอลลี่ยืดตัวตรงอ้าแขนสองข้าง พี่เลี้ยงก็วัดช่วงไหล่ รอบคอ ลำตัว เอว แขน บ่าหลัง ช่วงอก จดครบก็ให้ฟินน์ยืนท่าเดียวกัน

 

“คุณทำอะไรน่ะ?”

 

แม็กกี้ที่ฟิโลเรียกลงมาเลิกคิ้ว ถึงตาเธอ แคลร์ก็วัดรายละเอียดจดใส่สมุดบันทึก พอใกล้เท่านี้ก็สังเกตได้ว่าชุดของแม็กที่สวมอยู่มีรอยขาดปริด้วย เพราะเจ้าตัวน่าจะเคยปีนรั้วปีนต้นไม้

 

“พี่จะจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้ค่ะ”

 

เรียบร้อยหมดแล้ว เด็กสาวก็เก็บเอาไว้สำหรับตะลุยยามดึก จากนั้นกลับมาที่เรื่องเรียน เธอก็มอบกระดาษเปล่าให้คนละแผ่น

 

“เขียนตัวอักษรเรียงจากตัวแรกให้พี่ดูหน่อยนะคะ”

 

สามคนรับมากับดินสอ แล้ววางที่พื้นก้มลงไปเขียนยุกยิก ฟิโลสนใจว่าจำได้กันแค่ไหนก็ก้มมองดูทีละคน ทั้งเขากับพี่เลี้ยงสังเกตได้ว่าแม็กกี้จำได้หมดแล้ว ซึ่งฟิโลก็อมยิ้มนั่งลงข้างแคลร์

 

“เมื่อวานผมเห็นแม็กกี้นั่งท่องอยู่ล่ะ”

 

คนฟังกลั้นยิ้มเมื่อได้ยิน ปากบอกปฏิเสธแต่เด็กหญิงดูตั้งใจสุดๆ หลังรับกลับมาตรวจดู แคลร์ก็เอ่ยชม

 

“เก่งมากเลยค่ะ”

 

พี่สาวคนโตยืดตัวเล็กน้อยที่น้องๆ มองด้วยความศรัทธา ฟินน์กับเอลลี่ก็ถือว่าทำได้ดี คนสอนจึงวางมือลูบศีรษะทั้งคู่

 

“วันนี้เรามาดูหนังสือภาพอันนี้กันค่ะ”

 

เปิดหนังสือหนึ่งเล่มขึ้นมาให้อ่านไปพร้อมกัน มีแคลร์คอยอ่านออกเสียงเป็นแนวทาง เธอชี้ให้ดูตัวสระกับอักษรอื่นว่ารวมกันแล้วได้เสียงแบบไหนเป็นตัวอย่างไปทีละขั้น จนนิทานจบ เธอก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาสองปึก

 

“?”

“มาเล่นไพ่คำศัพท์กันค่ะ”

 

กองหนึ่งเป็นคำศัพท์ อีกกองเป็นภาพวาดด้วยฝีมือของเด็กๆ ตลอดที่ผ่านมา และบางอันที่ไม่มีรูป พี่เลี้ยงก็ทำใบเพิ่มเข้าไปให้ครบคู่

 

“ฟิโลมาเล่นด้วยกันสิคะ”

“ครับ”

“พี่จะแจกให้คนละสามใบจากสองกองนะคะ” เธอส่งให้คว่ำไว้ “พี่เล่นคนแรกแล้วกันนะคะ สมมติพี่วางใบหนึ่งลงไปเปิดเป็นรูปกระต่าย ถ้าใครมีคำเขียนว่ากระต่ายก็ให้วางทับลงมาได้เลยค่ะ แล้วเก็บเป็นหนึ่งคะแนน”

 

ลองเล่นดูครบหนึ่งรอบวง พวกแม็กกี้เข้าใจวิธีก็เริ่มสนุก สำหรับของรางวัล พี่เลี้ยงเสนอเป็นเค้กหนึ่งชิ้นสำหรับมื้อกลางวันพรุ่งนี้

 

“นี่ภาพตัวอะไรน่ะ?”

“เอลลี่วาดหนู”

“แม็กดูไม่ออกเหรอ นี่หางกับหู ผมว่าดูเหมือนหนูนะ”

 

สามพี่น้องถกถามกันว่าภาพบนไพ่ใบนี้คืออะไร พากันหัวเราะเล่นเกมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แคลร์ก็โล่งใจที่พวกเขาชอบ

 

“มีภาพฟิโลด้วย”

“หืม?”

 

เจ้าของชื่อกะพริบตามองดู ฟินน์ก็พยักหน้ายิ้มๆ ว่าเขาเป็นคนวาดเองก่อนหน้านี้ โดยคำเขียนของไพ่อยู่บนมือเด็กสาว พี่เลี้ยงจึงวางเก็บแต้มไป

 

“ฟิโลไม่ได้ผมดำนะ ทำไมพี่ฟินน์ขีดเป็นผมดำ”

 

คนอายุน้อยสุดในวงข้องใจถาม เพราะตุ๊กตาผ้าของเธอเย็บเส้นผมด้วยไหมพรมสีเหลือง ฟินน์ดูจะคิดคำตอบลำบากพอสมควร

 

“เพราะ..เพราะผมสีดำเหมาะกับฟิโลที่นี่”

“น้องของเอลลี่ไม่ได้ผมดำ”

“ทำไมเป็นน้องล่ะ ฟิโลเป็นพี่ต่างหาก”

“เป็นน้อง ฟิโลตัวเล็กกว่าเอลลี่นะ”

 

แม้แต่ฟิโลเองก็หลุดขำต่อบทสนทนาของฟินน์กับเอลลี่ เขาวางมือเหมือนแตะที่เอลลี่เบาๆ ถึงรู้ดีว่าสัมผัสไม่ได้ แค่เหมือนได้ลูบหัวก็พอใจ แคลร์มองทุกการกระทำก็หันไปถามเด็กหญิง

 

“เอลลี่ชอบฟิโลไหมคะ?”

“เอลลี่ชอบมากๆ”

 

เธอพูดพร้อมกับอุ้มตุ๊กตาขึ้นมากอดแน่นๆ ตามด้วยเขยิบมานั่งใกล้กับพี่เลี้ยง

 

“ฟิโลเป็นน้องของเอลลี่ เวลาเจอคนน่ากลัวๆ เราก็จะกอดกัน”

“คะ?”

“แล้วก็คุณลุง คุณป้า พวกพี่แม็กต้องหาเหรียญเยอะๆ มาให้พวกเขาทุกวัน” อยู่ๆ เธอพูดขึ้น พวกพี่ๆ ของเธอก็หันควับ “แล้วดึกๆ ถ้าคุณลุงเมาแอ๋เราก็ต้องซ่อน ไม่อย่างนั้นจะถูกลากไป”

“เอลลี่คะ นั่น-”

“เล่นกันต่อเถอะ ตาหนูแล้ว”

 

แม็กกี้รีบเสนอให้เล่นบัตรคำศัพท์เพื่อเปลี่ยนเรื่อง ดูจะไม่อยากเอ่ยถึงอดีตเท่าไหร่นัก ซึ่งหลังจากนั้นแม็กมักจะเผลอยกนิ้วโป้งขึ้นมากัดเล็บตลอด

 

ค่ำนี้แคลร์นอนห้องเอลลี่เช่นเดิม หลังคุยเล่นกันเรื่องนิทานที่อ่านเมื่อกลางวันสักพัก น้องเล็กเริ่มสะลึมสะลือก็เตรียมพาฟินน์ส่งกลับห้อง ทว่าวันนี้เด็กชายก้าวลงจากเตียงเดินตามไปช่วงหนึ่งก็หยุด

 

“มีอะไรเหรอคะ?”

“..ผม” ฟินน์จับมือตัวเองสองข้างไว้ด้วยกัน “ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ?”

 

แคลร์รู้สึกว่าเขาทำท่าทางน่าเอ็นดูเหมือนน้องชายตัวเองไม่มีผิด เวลาโคลล์จะขอให้นอนเป็นเพื่อนก็จะเป็นแบบนี้ เด็กสาววางมือบนเส้นผมสีบลอนด์นั้นลูบเบาๆ ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาอีกฝ่าย

 

“ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปเอาผ้าห่มกับหมอนมากัน”

“ขอบคุณครับ”

 

เขาพยักหน้าระรัวดีใจเดินไปที่ห้องหยิบหมอน มีแคลร์ช่วยถือผ้าห่มเพื่อขนไป ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าห้องเอลลี่ พวกเธอก็เห็นแม็กกี้ที่เปิดประตูออกจากห้องตัวเอง

 

“ยังไม่นอนเหรอคะ?”

“ยัง ยัง” อยู่ๆ แม็กก็ตะกุกตะกัก “หนูยังไม่ง่วงน่ะ แล้วพวกคุณทำอะไรอยู่?”

“เอลลี่น่าจะหลับแล้วค่ะ ส่วนพี่กับฟินน์กำลังจะเข้านอน”

“นอนห้องเอลลี่กันเหรอ?”

 

สองคนพยักหน้าตอบ แม็กก็อ้าปากเหมือนจะพูด เธออ้ำอึ้งหันไปทางอื่น พอมองความมืดของทางเดินก็สะดุ้งหันกลับ

 

“..แม็กกี้เข้ามานั่งในห้องเอลลี่ก่อนไหมคะ?”

“ม-ไม่ต้อง”

“มาเถอะค่ะ พี่จะฝากอยู่เป็นเพื่อนพวกฟินน์สักครู่หนึ่ง”

 

เด็กหญิงทำท่าคล้ายกับว่าช่วยไม่ได้และเร่งเดินมาทางนี้ แคลร์จึงให้เข้าไปรอในห้องกันก่อน ส่วนเธอเดินผ่านทางเดินลงบันได แล้วไปยังห้องครัว

กลับขึ้นมาแคลร์ก็เคาะประตูก่อน จากนั้นวางถาดที่ถือมาไว้บนตู้ตัวเล็ก แล้วนั่งลงตรงพื้นใกล้กับจุดที่พวกเขานั่งรออยู่ ส่งถ้วยเซรามิกที่มีนมอุ่นๆ ให้คนละแก้ว

 

“จะได้หลับสบายนะคะ”

 

ฟินน์กับแม็กกี้ขอบคุณพร้อมกันและค่อยๆ ดื่ม รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วเมื่อนมร้อนผ่านลงคอ ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม หมดแก้วแล้วแคลร์ก็รับกลับมาวางบนถาด

 

“แม็กกี้มานอนด้วยกันไหมคะ?”

“เอ่อ หนู..”

“นอนด้วยกันหลายๆ คนบ้างก็ไม่แย่จริงไหมคะ?”

 

เด็กสาวเอื้อมจับมือแม็ก ปกติเธอไม่ทำเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้มองเป็นเด็กๆ แต่ตอนนี้พี่เลี้ยงรู้สึกว่าแม็กกี้กังวลบางสิ่ง ยิ่งชัดเจนเมื่อปกติเธอคงปฏิเสธ เวลานี้กลับพยักหน้าช้าๆ

พวกเธอนำหมอนกับผ้าห่มมาเพิ่มอีกชุด เตียงดูแคบขึ้นมาทันตา กระนั้นก็พอสำหรับสี่คน

เอลลี่เบียดมาจับกอดแคลร์ เธอก็ลูบหลังกล่อม ที่นอนถัดจากเอลลี่เป็นแม็กกี้ ส่วนข้างๆ อีกฝั่งเป็นฟินน์ที่พอผ่านไปห้านาทีก็หลับสนิท

 

“นอนหลับไหมคะ?”

 

พี่เลี้ยงกระซิบถามเด็กหญิงอายุมากที่สุดที่ขยับตัวพลิกไปพลิกมา ซึ่งคนผมแดงผงกศีรษะว่าหลับได้ ก่อนจะเม้มปากแน่นที่แคลร์ลูบหัว

 

“นอนนะคะ”

 

ทั่วคฤหาสน์ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง โคมไฟทุกดวงปรับหรี่แสงลง เสียงเปียโนในค่ำนี้หายไป

ขณะที่ทั้งหมดเข้าสู่ห้วงนิทรา วิญญาณเด็กผู้ชายนั่งอยู่บนตู้ในห้องเดียวกัน เขายิ้มนิดๆ ดูทุกคน แล้วถึงหันมองนอกหน้าต่างกลางดึกจมตัวเองกับความคิดภายใน

 

“!”

 

และฟิโลก็สะดุ้งโหยงตกใจที่มีคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นมานั่ง แน่นอนว่าแคลร์ก็ดีดตัวลุกขึ้นด้วย เอลลี่นั่งนิ่งๆ ทั้งที่เปลือกตายังคงปิด เธอพึมพำบางอย่างในลำคอและเริ่มร้องไห้

เด็กหญิงทำท่าจะยืน แคลร์ก็แก้ด้วยการลูบหลังอุ้มมากล่อม ทางฟิโลเป็นห่วงก็มานั่งที่ปลายเตียงดูด้วย กระทั่งสามารถนำกลับไปนอนที่เดิมได้สำเร็จ

สองคนถอนใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย เด็กสาวเงยมองถึงเห็นว่าฟิโลก็มาอยู่ในห้องนี้ด้วย เธอเลยกวักมือเรียก จากนั้นค่อยๆ คลานบนเบาะลงจากเตียงเบาๆ ออกจากห้องปิดประตู ยืนคุยกันหน้าห้อง

 

“พี่รู้สึกว่าทั้งสามคนดูกลัวๆ..คงเป็นเรื่องในอดีตสินะคะ”

“ครับ”

“..ทำไมเหรอคะ?”

“เป็นมุมมืดของเมืองน่ะครับ สำหรับพวกแม็กกี้มันไม่น่าจดจำเท่าไหร่”

 

ลังเลสักพักก็ตัดสินใจถาม ซึ่งเด็กชายตอบให้สั้นๆ แทนการสรุป เขากวัดมือเปิดประตูห้องด้านหลังให้เธอกลับเข้าไป

 

“ไม่ต้องห่วงครับ นอนเถอะ” ฟิโลยิ้มเสริม “ถ้าพวกเขาตื่นมาไม่เห็นคุณคงตกใจ ฝากด้วยนะครับ”

“ค่ะ”

 

แคลร์ยอมปล่อยความสงสัยทิ้งไป เดินเข้าห้องปิดประตู เธอกลับเข้าที่ตำแหน่งเดิม นั่งพิงพนักเตียงมองทั้งสามคน ดูใบหน้าไร้เดียงสายามนอนหลับ

พวกเขาอายุยังน้อยกลับต้องพบเจอเรื่องลำบากหลายอย่าง ผ่านอะไรน่ากลัวมามาก มันเป็นโลกที่แคลร์ เฮเซล ไม่เคยได้เห็น ถึงจะอยากรู้แต่ปัจจุบันนี้พวกเด็กๆ มีความสุข สามารถผ่านมันมาได้ ทั้งหมดก็ดีที่สุดแล้ว