9 ตอน บทที่ 8 เสื้อสูท
โดย monodice
กิจกรรมก่อนนอนที่ทำประจำทุกวันคืออ่านนิทาน ชวนกันคุยเล่นหรือร้องเพลงให้ผ่อนคลาย อย่างใดอย่างหนึ่งจนกว่าจะหลับ วันนี้เองก็ด้วย ซึ่งแคลร์อุ้มฟินน์ที่หลับแล้วไปส่งที่ห้องเด็กชายเรียบร้อย ก็ย้อนกลับมาที่ห้องเอลลี่ เมื่อดับไฟในห้องก็เข้าไปนอนบนเตียงข้างๆ
พี่เลี้ยงห่มผ้าให้เด็กหญิง จับมือเล็กกุมไว้ก่อนจะหลับตาลง ปรากฏว่าคืนนี้ไม่มีปัญหา แคลร์ไม่รู้สึกว่าเอลลี่ตื่นละเมอกลางดึก โดยถ้าหากเกิดขึ้น การจะลงจากเตียงจำต้องข้ามตัวเธอไป ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้ตัว
ทว่าเพื่อความปลอดภัย หลังอาหารเช้าเลยขอเอากระดิ่งไปผูกไว้ที่ประตูห้องของเอลลี่ หากมีการเปิดชนกับมันก็จะเป็นสัญญาณเตือน
“กระดิ่ง?”
“ใช่ค่ะ เสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนที่ประดับบนต้นไม้วันคริสต์มาสเลย”
“จะคริสต์มาสแล้วเหรอคะ?” เด็กตัวน้อยถามใสซื่อ “หิมะจะตกไหม?”
คนฟังหยุดตันกับประโยคที่ตัวเองเปิด สมองวิ่งวุ่นสักพักก็ปรบมือแปะ
“ยังค่ะ แต่ติดไว้สำหรับเอลลี่ ให้ทุกวันมีความสุขเหมือนวันคริสต์มาสนะคะ”
ได้ผลตรงที่เด็กหญิงผงกศีรษะ แต่กลายเป็นเอลลี่เสนอให้ติดไว้ทุกห้อง แคลร์เลยเสริมว่าอันนี้อันเดียวก็ช่วยเรียกความสุขให้ทุกคนได้
“เอลลี่อยู่กับพี่ฟินน์ก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่มานะ”
ส่งเอลลี่ที่ห้องฟินน์ให้อยู่ด้วยกัน เด็กสาวก็นำผ้าที่จะต้องซักผ่านห้องครัวไปเข้าห้องด้านหลังสุดของคฤหาสน์ มาถึงก็เห็นแม็กกี้ที่กำลังขย้ำชุดตัวเองในอ่างไม้ที่ใส่น้ำสบู่
“พี่เอาชุดของพี่ ฟินน์กับเอลลี่มาซักค่ะ”
“อ้อ ตามสบายเลย มีเกล็ดสบู่อีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แคลร์วางอ่างอีกใบที่พื้นใกล้ๆ ตักน้ำเติมลงไป ห้องนี้ในอดีตเองก็น่าจะใช้เป็นห้องซักล้าง ผ่านจากธรณีพื้นที่กั้นบริเวณแห้งกับเปียกไว้เป็นส่วนที่มีช่องท่อระบายน้ำทิ้ง ประตูหลังเปิดออกไปด้านนอกที่เป็นสวนสำหรับตากผ้าได้
“คุณซักผ้าเป็นด้วยเหรอ?”
เด็กหญิงรวบผมสีแดงของตัวเองมัดไว้ และนำเสื้อผ้าขัดกับแผ่นกระดาน ระหว่างนั้นก็เหลือบมองพี่เลี้ยงที่เริ่มซักผ้าด้วย
“ค่ะ แต่พี่เริ่มหัดซักก็ตอนสิบสี่ได้ แม็กกี้เก่งจังเลยนะคะ”
“จะชมทำไมเนี่ย หนูทำเพราะไม่อยากให้ฟิโลซักให้แล้วก็เท่านั้น” แม็กกระแอม “หนูรู้สึกว่าคุณน่าจะทำพวกงานบ้านไม่เป็น แต่นอกจากทำอาหาร อย่างอื่นก็ดูปกตินะ”
“ข-ขอโทษเรื่องมื้อเช้านะคะ”
เช้าวันนี้แคลร์ทำเบคอนไหม้อีกแล้ว และตัดเอาส่วนดำๆ ทิ้งไป ทำให้บนจานมีแต่เบคอนแหว่งๆ
“ไม่เป็นไร ที่หนูจะทักก็คือ คุณดูไม่เหมือนพวกต้องการใช้เงิน” เธอคิดคำอธิบาย “ก็นั่นไง คุณอ่านหนังสือได้ แสดงว่าคุณมาจากตระกูลขุนนางไม่ก็พวกตระกูลพ่อค้าชนชั้นกลางอะไรพวกนั้น”
“ค่ะ บรรดาศักดิ์ของท่านพ่อเป็นบารอนนอร์ตัน พี่เลยได้เรียนกับอาจารย์ที่มาสอนที่บ้าน”
“แล้วทำไมคุณต้องมาทำงานล่ะ?”
“ปัญหาเรื่องเงินค่ะ”
สมัยนี้มีอะไรใหม่ๆ ทั้งโคมไฟ เตาหุงต้มที่เปิดจากระบบท่อแก๊ส ระบบความเย็นของโรงงานเนื้อสัตว์ โรงงานน้ำแข็ง การขนส่งที่ดีขึ้น งานอุตสาหกรรมเปลี่ยนรูปโฉมไป พวกสินค้าการเกษตร อาหาร มีราคาต่ำลง คนในปกครองออกจากพื้นที่ ผู้คนพากันเข้าเมืองทำงานโรงงาน ค้าขาย มีการประกาศปรับสมดุลรายได้
ในขณะที่รายรับของบรรดาขุนนางลดลงแต่รายจ่ายมหาศาล พวกเขาอาศัยกินทรัพย์สมบัติเก่าไปเรื่อยๆ โดยมีความเชื่อยิ่งใหญ่ของชนชั้นสูงว่าไม่ควรลงมือทำงานด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ตระกูลขุนนางส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงไม่เหมือนสมัยก่อนค่ะ ครอบครัวของพี่ก็ด้วย แต่ท่านพ่อของพี่พยายามทำงาน ตอนนี้ท่านพ่อเลยออกเดินทางทำธุรกิจค่ะ”
“จดหมายในห้องคุณก็คงส่งให้พ่อสินะ”
“ใช่ค่ะ แต่จดหมายไปถึงได้แค่ที่ทำงานใกล้ท่าเรือเท่านั้นค่ะ ถ้าท่านพ่อของพี่กลับมาคงมีจดหมายจากพี่กองเป็นภูเขา”
แม็กกี้พูดขึ้นแบบลืมตัวก็ปิดปากฉับ แม้จริงๆ แคลร์รู้อยู่แล้วว่าเด็กหญิงแอบเข้าไปรื้อสัมภาระของเธอ ซึ่งประตูห้องซักล้างก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ก่อนจะเปิดออกตามมาด้วยฟิโล ฟินน์ เอลลี่
“ผมคิดว่าจะซักผ้าปูเลยครับ ขอร่วมวงด้วยนะ”
เด็กหญิงผมแดงย่นคิ้วมองกองผ้าปูที่ลอยเข้ามาวางแหมะที่พื้น ส่วนเอลลี่กับฟินน์ถือปลอกหมอนเข้ามา
“พวกผมมาช่วย”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวพี่เตรียมน้ำให้นะ”
ฟินน์กับเอลลี่อาสา แคลร์จึงเตรียมกะละมังไม้มาวาง มีถังน้ำบินมาเติมลงไป จากนั้นฟิโลก็ค้นหาแท่งไม้ปลายมนมาหมุนปั่นผ้า
กำลังซักผ้ากันอยู่ ฟินน์เห็นฟองสบู่ใสๆ ที่พื้นก็เอานิ้วจิ้ม พี่เลี้ยงนึกอะไรได้จึงหาไม้สองอันมามัดเชือกเส้นเล็กๆ ต่อกันเป็นวง หลังจุ่มลงไปก็ยกขึ้นมาให้ฟินน์ถือ
“ลองเป่าดูนะคะ”
เด็กชายกะพริบตาและทำตาม พอมีฟองสบู่พุ่งออกจากวงเชือกก็ตาเป็นประกาย
“เอลลี่มาเหยียบๆ ผ้ากันไหมคะ?”
“เหยียบ? แล้วมันจะไม่สกปรกเหรอคะ?”
“ถ้าเหยียบๆ ตอนซักผ้าแล้วมันจะสะอาดค่ะ แม็กกี้มาเล่นด้วยกันไหมคะ?”
คนถูกชวนหรี่ตาจะปฏิเสธ เอลลี่ก็โบกแขนกว้างๆ เรียกดึงมือไปเล่นด้วยกัน
หลังจัดแจงเทเสื้อผ้าลงกะละมังไม้ใบใหญ่ใส่เกล็ดสบู่จำนวนหนึ่ง สามคนก็จับมือเป็นวงเข้าไปยืนด้วยกันในนั้น แล้วพวกเธอก็ย่ำๆ ไปพร้อมกัน โดยแคลร์เอาเพลงสนุกๆ ที่เอลลี่ฟังจนร้องด้วยได้มาเล่นกัน ระหว่างสาวๆ เต้นเหยียบผ้า ฟินน์ก็กำลังเพลิดเพลินกับการสร้างฟองสบู่ให้ลอยบนอากาศเยอะๆ
“ที่จริงมีอ่างบิดให้ใช้นะครับ แต่ดูสนุกกันดีคงไม่ต้องใช้”
“มีด้วยเหรอคะ?”
ฟิโลมองอุปกรณ์ที่เป็นตัวลูกกลิ้งกับคันโยกหมุน พอพี่เลี้ยงได้ยินก็ขอหยิบออกมาหมุนซักเสื้อผ้า ปกติแม็กกี้ไม่เคยใช้เพราะไม่รู้ว่ามันอะไร ตอนนี้แคลร์เลยให้ลองทำ
เจ้าเครื่องนี้มีขาสองข้าง แต่ละข้างหมุนเกลียวสกรูให้หนีบไว้กับอ่างไม้ใบที่หนึ่ง และมีแกนหมุนที่เชื่อมกับแท่งไม้ทรงกระบอกเรียบสองอันชิดกันสำหรับบดผ้าที่ผ่านมาตรงกลาง
“เราเอาอ่างน้ำอีกใบตั้งไว้อีกฝั่งนะคะ เอาผ้าสอดเข้าไปตรงลูกกลิ้งบด” เด็กสาวสอน “แล้วก็หมุนตรงนี้กลับไปกลับมา”
“ดูง่ายดีนะ แต่ถ้าซักคนเดียวหนูว่ามันเปลืองน้ำสองอ่าง”
“จริงด้วยนะคะ แต่วันนี้เราซักพร้อมกันหมด ดังนั้นลุยเลยค่ะ”
ซักผ้าเสร็จหมดบิดให้แห้งหมาด ก็รวมใส่ถังเปล่าออกไปตากด้านนอก เริ่มจากช่วยกันนำเชือกป่านไปเกี่ยวกับตะปูที่ตอกไว้ตามเสากับต้นไม้ นำผ้ามาสะบัดแรงๆ ตากยึดด้วยตัวหนีบไม้ให้แน่น
“..เสื้อมีรอยขาดด้วยนะคะ”
ระหว่างตากแคลร์ก็สังเกตเห็น พอมองดูให้ละเอียด สีของชุดก็เริ่มดูหม่นแล้ว และเมื่อหันไปดูทั้งสามคน เด็กสาวก็ลองถามฟิโล
“ฟิโลคะ เสื้อผ้าของพวกแม็กกี้น่าจะต้องตัดใหม่แล้วล่ะค่ะ”
“ครับ ล่าสุดปีก่อนผมฝากให้แม็กกี้ไปซื้อที่ร้านเองน่ะครับ”
เวลาได้ของมา เด็กๆ ก็หยิบใส่ตัวที่ชอบกันเอาเอง บางตัวก็คับหรือหลวมเลยใส่ลำบาก แถมช่วงวัยนี้โตกันเร็วก็เปลี่ยนใส่ได้ไม่กี่ชุดแล้วต้องหาใหม่
“ไว้พี่ตัดเย็บแก้ขนาดให้นะคะ แล้วถ้าไม่รังเกียจ สนใจเสื้อผ้าสมัยเด็กของครอบครัวพี่ไหมคะ?” แคลร์เสนอ “ไม่ใช่ของเก่าหรอกค่ะ ยังสภาพใหม่ๆ ทั้งนั้น ของแม็กกี้กับเอลลี่น่าจะมีหลายตัว ส่วนของฟินน์ก็มีของน้องชายพี่”
“ทางผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับ แต่ว่าจะรบกวนหรือเปล่า?”
“ไม่รบกวนค่ะ พี่ชอบงานเย็บเสื้อผ้ามากๆ ถ้าใส่ไม่พอดีก็แก้ได้หมดเลยค่ะ”
เธอส่ายหน้าระรัวพร้อมกำมือข้างหนึ่งบอก ไม่กี่ครั้งที่ฟิโลจะเห็นคุณพี่เลี้ยงดูตื่นเต้นตาวิบวับขนาดนี้ เขาจึงเผยยิ้มตอบขอบคุณ
“จะว่าไป ชุดของฟินน์น่าจะใช้ของฟิโลได้ด้วยนะคะ มีเก็บไว้ไหมคะ?”
“ผมเคยหาดูแล้วล่ะครับ แต่ไม่มีเลย มีแต่พวกสูทของผู้ใหญ่ แบบที่ผมใส่ให้หมอนข้าง”
มาคิดดูดีๆ แล้ว เสื้อผ้าสมัยเกือบยี่สิบปีก่อนคงจะไม่มีทางเหลืออยู่แน่ แต่แคลร์ก็เกิดสงสัยว่าทำไมถึงมีชุดสูทของผู้ใหญ่อยู่ที่นี่ ทั้งยังมีอีกอย่างน่าแปลกติดอยู่ในใจที่ยังนึกไม่ออก
“พี่แคลร์ๆ”
ว่าแล้วก็หยุดคิด หันเดินไปหาฟินน์กับเอลลี่ สองคนกำลังนั่งยองจ้องมองนกตัวเล็กที่เดินอยู่บนดิน
“เดี๋ยวพี่หาขนมปังมาให้นะ จะได้ให้มัน”
เธอเข้าไปในคฤหาสน์ตรงไปยังห้องครัว ซึ่งแคลร์ก็หยิบขนมปังที่เก่าแห้งแล้วติดมือกลับไปทางห้องซักล้าง แต่เห็นบางอย่างหล่นอยู่ที่พื้นจึงหยิบขึ้นมาดู
“ฟิโล?”
จี้สร้อยคออันนี้เป็นทรงแท่งสี่เหลี่ยมสีเงินอันเล็ก ที่ด้านหนึ่งสลักตัวเลข อีกด้านสลักอักษรเขียนเป็นชื่อ ‘ฟิโล’ เธอเลยนำไปคืน วิญญาณเด็กชายเคยบอกว่าไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ดังนั้นมันอาจเป็นของพี่ชายของพวกเด็กๆ
“นั่นมัน” ฟินน์ดึงสายสร้อยที่สวมคอตัวเองออกจากคอเสื้อมาดูก่อนให้แน่ใจ “ของผมครับ”
“ของฟินน์เหรอคะ?”
“ที่จริงเป็นของพี่ฟิโล แต่ไม่ใช่ของฟิโลนะครับ”
“ค่ะ ห่วงข้อเสียน่ะค่ะ ไว้พี่ซ่อมให้นะ”
เขาพยักหน้าขอบคุณ ถอดสายสร้อยให้พี่เลี้ยง แล้วรับขนมปังมาแบ่งกับเอลลี่ ช่วยกันฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ โปรยให้นก พอมีอาหารเยอะก็เริ่มลงมาจิกกินอีกหลายตัว
สักพักพวกแม็กกี้ก็เริ่มสำรวจสวน มีแคลร์คอยตามไม่ห่าง เธอรู้สึกว่าสวนมันรกเกินไป อาจมีงูหรือแมลงอันตรายซ่อนอยู่ตามพงหญ้าจึงกำชับให้อยู่แค่บริเวณนี้
“ก่อนหมดฤดูร้อนไว้เราไปเดินเล่นสวนสาธารณะ ปิกนิกกันข้างนอกไหมคะ?”
“สวน?”
เอลลี่กับฟินน์พากันสงสัยว่ามันคือที่ไหน พี่เลี้ยงเลยอธิบายคร่าวๆ ให้ฟังว่าเป็นสถานที่ยังไง มีเครื่องเล่น มีสวนดอกไม้ ชิงช้า น้ำพุ สองคนที่ไม่เคยออกไปไหนก็ดูตื่นเต้น
“แล้วฟิโลล่ะ?”
แม็กกี้เป็นคนทักขึ้นมาก่อน ฟินน์ก็เริ่มกังวล ถ้าไม่มีพี่ชายไปด้วย พวกเขาก็ไม่อยากไป แคลร์เองก็อยากให้ไปพร้อมหน้าพร้อมตา เธอเลยหันไปมองเจ้าของชื่อ ฝ่ายวิญญาณเด็กชายก็พยักหน้ายิ้มๆ ว่าได้
“แน่นอนว่าต้องไปพร้อมกันทุกคนค่ะ”
ถึงตรงนี้สายตาสองคู่ก็มองแม็กกี้ที่ดูโล่งใจเป็นตาเดียว นั่นทำให้แม็กรีบยืนกอดอกสะบัดผมว่าไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย
“เรากลับเข้าข้างในกันเถอะค่ะ”
เด็กสาวเอ่ยชวนย้ายที่เล่น และอุ้มเอลลี่พากลับเข้าด้านในพร้อมแม็กกับฟินน์ที่เดินจับมือกัน
“ไหนๆ แล้ว มาเดินสำรวจกัน” พี่สาวคนโตของกลุ่มเด็กๆ เปิดประเด็น “คุณยังเดินดูที่นี่ไม่ครบทุกห้องแน่ใช่ไหม?”
“ยังเลยค่ะ”
“ว่าแล้วล่ะ ฟิโลน่ะความลับเยอะเต็มไปหมด”
ระหว่างแม็กกี้เหน็บ น้องสองคนก็คัดค้านเต็มที่ด้วยเสียงใสแจ๋ว กรณีเอลลี่ เด็กหญิงชูตุ๊กตาฟิโลมาแย้งเสริม
“ฟิโลใจดี ผมชอบเขา”
“ฟิโลของหนูเป็นเด็กดี”
“รู้แล้ว” พี่สาวหัวเราะพลางปัดมือ “เข้าใจแล้วน่า”
พวกเขาร่าเริงกันดี เด็กสาวก็อมยิ้ม ตอนนี้เธอมีคนร่วมทางเดินชมคฤหาสน์ซันฮิลล์ถึงสามคน โดยแม็กกี้เป็นโต้โผใหญ่นำเที่ยว
แคลร์เพิ่งได้มาเดินดูทั่วๆ วันนี้ครั้งแรกจริงๆ ที่นี่กว้างมากและมีห้องอยู่หลายห้อง มีประตูแบ่งเขตพื้นที่ของพวกคนรับใช้ตามแบบฉบับของคฤหาสน์ขุนนาง นอกจากห้องครัวกับห้องซักล้างที่เคยไป ถัดออกมายังมีทางเดินลงชั้นใต้ดิน พวกท่อแก๊สวางระบบซ่อนไว้ส่วนนี้ มีห้องเก็บฟืน เก็บของ ถ่านหิน มีบันไดกับเส้นทางเชื่อมทะลุไปโผล่ห้องต่างๆ ของเจ้านายได้ แต่ละจุดมีแผงกระดิ่งที่เชื่อมถึงห้องด้านบนไว้สำหรับให้เจ้านายเรียกหา
“พอเปิดประตูนี้ ก็กลับมาที่โถงทางเดินแล้ว”
“แม็กอย่างกับนักผจญภัยเลย”
ฟินน์ เอลลี่มักจะอยู่แค่ห้องที่กำหนด ได้มาเปิดหูเปิดตาก็ดูสนุกเอาการ จนเปิดเข้าไปห้องๆ หนึ่ง เข้ามาแคลร์ก็จำได้ว่าเป็นห้องทำงานห้องนั้น ปัจจุบันเจ้าหมอนข้างสวมสูทก็ยังนั่งอยู่
“อันนี้มันอะไรเหรอคะ?”
“หมวกค่ะ คุณหมอนข้างเขาหนาว เราเลยสวมชุดไว้ให้”
เด็กหญิงผู้อุ้มตุ๊กตาเอื้อมนิ้วจิ้มๆ ที่หมวกสีดำ พี่เลี้ยงก็สำรวจไปด้วย เธอแตะมือข้างที่ว่างจับเนื้อผ้าของชุด ในที่สุดก็เข้าใจว่าคาใจเรื่องไหน นั่นเพราะสูทตัวนี้มันไม่เก่าเท่าที่คิด ฟิโลเป็นคนพูดออกมาเองว่าเขาเจอสูทแบบนี้ที่นี่ตอนค้นดู แสดงว่ามันก็ไม่ใช่ของที่สั่งมาใหม่
“อาหารกลางวันพร้อมแล้วนะครับ”
เสียงทักที่หน้าประตูห้องเรียกให้แคลร์กับฟินน์หันไป ทั้งหมดจึงพากันเดินไปห้องอาหาร เด็กสาวเฮเซลเลือกเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน