8 ตอน บทที่ 7 วิญญาณในคฤหาสน์
โดย monodice
ในห้องสี่เหลี่ยมมืดสนิท เด็กชายนั่งอยู่เงียบๆ ที่เก้าอี้หน้าเปียโน กดนิ้วที่คีย์โน้ตเดิมๆ ซ้ำๆ กระทั่งมีเสียงเคาะประตู เขาจึงสั่งให้ไฟในห้องจุดขึ้น
“สวัสดีครับ นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ?”
ฟิโลส่งยิ้มให้พี่เลี้ยงสาวที่เดินเข้ามา เธอมองเขาสักครู่ก็มานั่งด้วยเหมือนเดิม แคลร์แปลกใจที่เกือบทั้งวันนี้เขายังดูร่าเริงสุดเหวี่ยงอยู่เลย มาตอนนี้กลับดูเป็นเหมือนเดิมอีก สีหน้าที่ประดับรอยยิ้มปิดทับความรู้สึกข้างใน
“วันนี้สนุกไหมคะ?”
“ครับ” ลองถาม เขาก็ตอบตามปกติ “ผมสนุกมาก”
เด็กสาวเอื้อมมือจะลูบศีรษะ พอมือเธอผ่านคล้ายแตะอากาศว่างเปล่า ฟิโลก็หันมามองด้วยรอยยิ้ม
“ตอนอาบน้ำ แม็กกี้เล่าให้ฟังค่ะ”
“ครับ?”
“ฟิโลอยู่ที่นี่มาก่อนสินะคะ แล้วถึงเจอพวกแม็กกี้”
เขาพยักหน้า ขณะที่มือเขาวางนิ่งๆ เปียโนก็เริ่มเล่นช้าๆ ไปเอง
“ครับ ผมก็จำไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ตอนไหน ทุกอย่างมืดสนิทจนฤดูหนาวที่เจอพวกแม็กกี้ สามคนมายืนอยู่ตรงหน้ารั้ว แม็กพยายามสะเดาะแม่กุญแจเข้ามา”
“แสดงว่าพวกแม็กกี้..”
“ผมไม่แน่ใจ แต่พวกเขาน่าจะไม่มีพ่อแม่ ไม่เคยเห็นพูดถึงกันนะครับ ครั้งแรกที่เจอกันแต่ละคนเนื้อตัวมอมแมม ผอมแห้ง หากผมไม่เปิดประตูคฤหาสน์ พวกเขาอาจจะหนาวตายข้างนอกนั่น”
เด็กชายค่อยๆ เล่าเรื่องอดีตที่พบกัน คฤหาสน์เก่าร้างที่ไม่มีคนอยู่อาศัยได้เชื้อเชิญเด็กๆ ทั้งสามเข้ามา ร่างเล็กเหล่านั้นดูเปราะบางคล้ายจะแตกสลาย พวกเขานอนเบียดรวมกันในห้องนั่งเล่น เอาผ้าทั้งหมดที่หาได้มาห่ม
“วันต่อมา แม็กกี้ก็อุ้มแจกันกับของที่น่าจะขายได้วิ่งเข้าไปในย่านชุมชน เธอกลับมาอีกทีพร้อมของกินให้น้องๆ ผมเลยเอาของมีค่าในบ้านไปวางไว้รอบๆ”
“ค่ะ”
“จนฟินน์เอ่ยทักผม ผมถึงรู้ว่าเขามองเห็น โชคดีมากเลย จากนั้นก็ง่ายขึ้นหน่อย”
เขาเอียงคอพร้อมยิ้ม เพราะเห็นแคลร์เริ่มดูพะวงว่าเธอไม่ควรรับเงินเดือนหรือเปล่า
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมสามารถจ่ายเงินเดือนได้สบายๆ ตามสัญญาจ้างของเรา และมีพอใช้สำหรับรายจ่ายประจำครับ”
“เอ่อ ค่ะ”
ที่เธออยากถามเพิ่มคือเรื่องของพวกแม็กกี้ที่เข้ามาอยู่อาศัยในซันฮิลล์ ถึงพวกเด็กๆ จะไม่มีพ่อแม่แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี
“ผมเข้าใจ ตามความเป็นจริงควรส่งตัวไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะดีกว่าใช่ไหมครับ”
“ค่ะ พี่คิดอย่างนั้น”
“มันเป็นความเอาแต่ใจของผมเอง และผมรู้ตัว..” ฟิโลนิ่งคิดถึงเด็กสามคนที่นี่ “สามปีที่อยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกผูกพัน ได้เห็นพวกเขาเติบโตขึ้นทุกวัน ในที่สุดผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าวันหนึ่งผมหายไป พวกเขาจะเป็นยังไง”
ความรู้สึกบางอย่างจุกอยู่ในอก แคลร์นึกภาพตามก็พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ดูเศร้า แต่นี่คือสิ่งที่ฟิโลพยายามทำเพื่อพวกเอลลี่
“มีหลายอย่างเลยครับที่วิญญาณอย่างผมทำไม่ได้ ผมอยากให้แม็กกี้ได้เรียน โตเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองกับน้องๆ เองได้ ถ้ามีคนดีๆ รับไปอุปถัมภ์ก็จะดีมากเลย แต่ถ้าไม่ ผมก็อยากนำเงินทั้งหมดที่มีที่นี่ลงเป็นชื่อทั้งสามคน ให้สถานเลี้ยงเด็กจัดการเงินก้อนนี้เป็นทุนสำหรับพวกเขา”
เด็กสาวรู้ว่ามีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่คอยดูแลพวกเด็กที่สูญเสียครอบครัว เหล่าเด็กที่ถูกทอดทิ้ง แต่น้อยนักที่จะมีการรับอุปถัมภ์เป็นเรื่องเป็นราว โดยมากสถานที่ประเภทดังกล่าวจะรับเงินบริจาคเพื่อเลี้ยงดูเด็ก ส่งเรียน ทำงาน พอพวกเขาเอาตัวรอดได้ก็ให้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง
ทว่าเรื่องพวกนี้กว่าเธอจะรู้ว่ามันคืออะไรก็เป็นตอนอายุสิบสี่สิบห้าที่ฟังจากแม่ ทั้งหมดที่เด็กชายพูดเลยฟังดูเกินอายุ เขาดูจะรู้เรื่องโลกภายนอกมากกว่าเด็กอายุสิบสองพอสมควร
“ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงจนได้พบคุณวันนั้น” เขาเปรยยิ้มๆ “นั่นทำให้ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะจ้างคุณครับ คุณแคลร์”
การที่มีแคลร์มาปรากฏตัวที่นี่ ทุกอย่างทั้งเอกสาร การทำเรื่องตามสถานเด็กกำพร้าหรือติดต่ออะไรก็จะสะดวกขึ้น ทว่าเขาก็ยังอยากอยู่กับทั้งสามคนอีกปีหนึ่งก่อนที่จะต้องแยกจากกัน
“ถึงแค่ต้นฤดูใบไม้ผลิหน้าครับ” ครั้งนี้ฟิโลหันมาและก้มขอ “ให้ผมได้อยู่กับพวกแม็กกี้ถึงตอนนั้น ได้โปรดช่วยผมด้วยนะครับ”
“ค่ะ พี่เองก็มีความจำเป็นเหมือนกัน ต้องรบกวนด้วยนะคะ”
ไม่รู้ว่าตัวเองปกติดีไหมที่ตกลง แต่เธอตัดสินใจแล้ว อีกทั้งก็ยอมรับว่าเธอต้องการใช้เงิน ไม่มีทางที่ผู้หญิงจะหางานและได้รับเงินเดือนเต็มจำนวนเท่านี้ หากครบสัญญาแล้วหางานใหม่อีกครั้งก็ไม่มีปัญหา อย่างน้อยเงินก้อนจากงานนี้ก็พอสำหรับช่วยค่าเรียนของน้องชายไปอีกหลายเทอม
“ขอบคุณครับ” เขาเงยหน้ากลับขึ้นมา “ขอบคุณมากจริงๆ”
แคลร์รู้สึกว่าคุยเรื่องจริงจังมากไปดูอึดอัดเลยเปิดประเด็นอื่นเปลี่ยนบรรยากาศให้ผ่อนคลายขึ้นหน่อย
“จะว่าไปพี่ก็ไม่เคยเห็นวิญญาณนะคะ ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษด้วย แต่พี่กลับมองเห็นฟิโลชัดมากเลย”
“อืม เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้สาเหตุครับ ส่วนฟินน์ เขาบอกผมว่ามักจะเห็นวิญญาณอยู่แล้ว”
สังเกตพี่เลี้ยงหันควับหน้าซีด เขาก็อมยิ้มขำ
“แต่ที่นี่นอกจากผมก็ไม่มีใคร ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ไม่รู้ทำไมถึงมีข่าวลือแปลกๆ ว่าคฤหาสน์ผีสิงกินคน”
จุดนี้แคลร์ยอมรับว่าเธอไม่รู้เรื่องข่าวลือพวกนั้นเลย ไม่อย่างนั้นเธอเองก็อาจจะเผ่นไปตั้งแต่มาเห็นหรือได้ยินชื่อ และไม่คิดจะตามหากระเป๋าเงินที่หายไปแน่
“ผมขอโทษสำหรับเรื่องที่แม็กกี้ขโมยเงินคุณด้วย แล้วก็ขอบคุณที่พยายามห้ามแม็กกี้นะครับ”
คนถูกทักเรื่องนี้สะดุ้งเม้มปาก ที่จริงเธอปิดไว้เป็นความลับ รู้สึกว่ายังไม่ควรบอกใคร ควรค่อยๆ ให้แม็กกี้เปลี่ยนนิสัย บางครั้งการใช้วิธีรุนแรงเกินไปก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น แม็กมีเหตุผลของตัวเอง ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากฟิโล แคลร์ก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมเด็กหญิงถึงทำแบบนี้ มันเป็นการกระทำฝังใจที่เจ้าตัวเชื่อ เป็นสิ่งที่คิดว่าทำได้ดีเพื่อน้องสองคน
เสียงดนตรีจากเปียโนดีดบรรเลงเป็นบทเพลงไพเราะ เธอมองปุ่มสีขาวกับสีดำที่กดลงไปเองเป็นทำนอง ซึ่งคนนั่งข้างๆ เป็นคนคอยควบคุมพวกมัน
“ชื่อฟิโล เอลลี่เอาไปตั้งชื่อตุ๊กตาสินะคะ”
“ความจริงเป็นชื่อของเด็กคนหนึ่งที่พวกแม็กเรียกว่าพี่ชายครับ เด็กคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว แม็กกี้ตั้งเป็นชื่อตุ๊กตาของเอลลี่ แล้วฟินน์เรียกผมแบบนั้น”
“แล้วชื่อจริงของฟิโลล่ะคะ?”
“ผมไม่ทราบชื่อตัวเองครับ” ดวงตาสีมรกตสะท้อนกับแสงไฟของโคม “ผมจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ที่พอมั่นใจก็มีแค่คฤหาสน์แห่งนี้คงเป็นของตระกูลผมครับ”
ไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องส่วนตัวที่ฟังดูอ่อนไหว ทางคนเล่ารู้ว่าเธอจะขอโทษก็ส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร
“แล้ว..ฟิโลไม่อยากรู้เรื่องครอบครัวเหรอคะ?”
“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะจำไม่ได้ก็เลยไม่รู้สึกคิดถึงหรืออะไรเลยสักนิด”
ภาพสีน้ำมันนั่น มีพ่อ แม่กับคนที่น่าจะเป็นพี่ชายของเขา แต่ฟิโลส่ายหน้าว่านึกไม่ออกจึงไม่สนใจตามด้วยหัวเราะฝืดๆ
“เพราะผมไม่ได้คุยกับใครมานาน กับฟินน์ก็เหมือนเล่นด้วยมากกว่า ผมเลยค่อนข้างพูดมากไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แคลร์รีบบอก “คุยกับพี่ได้ทุกเรื่องเลยนะคะ พี่ฟังได้”
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นครับ แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว”
เด็กชายเสนอให้ไปนอน พี่เลี้ยงก็ดูยังลังเล ท่าทีเป็นห่วงทำให้เขาระบายยิ้ม
“ฝันดีครับ”
“..ค่ะ ฝันดี”
แคลร์บอกไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากที่คิดว่าวิญญาณอย่างเขาคงไม่ต้องนอนหลับพักผ่อน นับตั้งแต่วันนั้นที่มาเจอที่นี่ กลัวอยู่คนเดียวมืดๆ อาจจะเหงา เธอเลยลงมาคุยเป็นเพื่อน
“?”
กลับขึ้นมาพี่เลี้ยงก็ประหลาดใจที่เหมือนเห็นเงาใครเดินแวบอยู่แถวโถงทางเดิน จินตนาการเริ่มไปถึงว่ามีผีมาปรากฏตัวหรือไม่ แต่วิญญาณประจำที่นี่บอกเธอเองว่าไม่มีใครนอกจากเขา
เด็กสาวกลืนน้ำลายหนึ่งอึก กระทั่งมองเห็นได้ถนัดว่าเป็นเด็กผู้หญิง ชุดนอนกับสีผมบ่งบอกว่าเป็นเอลลี่นั่นเอง
“เอลลี่ นอนไม่หลับเหรอคะ?”
เธอเดินเข้าไปหานั่งยองลง แปลกใจที่เรียกแล้วไม่ตอบรับ ไม่หันมา มองชัดๆ ถึงเห็นว่าอีกฝ่ายหลับตาอยู่ กระนั้นกลับถือตุ๊กตายืนนิ่งๆ ตรงทางเดินคนเดียว
“ละเมอ?”
ลองเรียกดูอีกครั้งก็ไม่ตื่น พี่เลี้ยงเลยช้อนมืออุ้ม ซึ่งฟิโลได้ยินก็โผล่ศีรษะมาจากประตู นั่นทำให้ภายในใจแคลร์ร้องตกใจเสียงหลง ตรงข้ามกับสิ่งที่แสดงออกคือยืนนิ่งจ้องเขม็ง
“ขอโทษครับ” เขายิ้มแห้งต่อปฏิกิริยานิ่งสนิทนี้ กวัดมือเปิดประตูให้ “เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ละเมอลุกออกมาน่ะค่ะ”
คนอุ้มนำเด็กหญิงเข้าที่นอนห่มผ้าให้ ดูท่าทางก็หลับสนิทดี แต่ไม่น่าวางใจเท่าไหร่นัก
“เอลลี่เคยละเมอไหมคะ?”
“เคยละเมอพูดครับ แต่ไม่เคยเดินออกมาเองแบบนี้”
เธอนั่งกล่อมอีกสักพักให้สบายใจจนผล็อยหลับที่นี่ข้างเอลลี่ เด็กชายที่นั่งเฝ้าก็คอยดูแทน เขาคิดว่าต้องสังเกตช่วงกลางคืนตั้งแต่พรุ่งนี้ให้ดี อาการละเมอถึงขนาดลุกขึ้นมามันดูค่อนข้างอันตราย ดีที่เอลลี่ไม่เดินตกบันไดหรือทำอะไรแปลกๆ
หลังทานมื้อเช้า ตอนช่วงเวลาเล่นของเด็กๆ แคลร์ก็ถามเอลลี่ที่นั่งพับกระดาษ โดยฟิโลมองว่าฟินน์วาดอะไรอยู่ก็ฟังไปด้วย
“เอลลี่คะ เมื่อวานหลับสนิทไหม?”
“ค่ะ หลับสนิทเลย”
“มีปวดเข้าห้องน้ำไหมคะ มีลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำไหม?”
เด็กหญิงส่ายหน้าซ้ายขวาและเดินมานั่งใกล้ๆ ตามด้วยหยิบกระดาษที่ทำเป็นขนมส่งให้พี่เลี้ยงเล่นด้วย แคลร์เลยไม่ได้ถามอะไร คิดว่าเอลลี่น่าจะไม่รู้ตัว
“เอาแบบนี้”
“?”
“คืนนี้พี่นอนกับเอลลี่ได้ไหมคะ?”
“นอนด้วยกัน” ดวงตากลมวาววับดีใจ “จริงเหรอคะ?”
“แน่นอนค่ะ แล้วก็จะนอนด้วยจนถึงเช้าเลย”
เจ้าของห้องพยักหน้าระรัว ใบหน้าน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนฟินน์กำลังตั้งอกตั้งใจวาดภาพด้วยดินสอ แม็กกี้ที่เดินเข้ามาก็หยุดยืนดู
“อะไรน่ะ?”
“ภาพฟิโลกับแม็ก” ภาพเสร็จ เขาก็เขียนข้างใต้รูป “ผมเขียนชื่อฟิโลได้แล้ว”
“โห เก่งนะฟินน์”
“ผมเขียนชื่อแม็กได้ด้วยนะ”
พี่สาวเอ่ยชม แคลร์ก็เขยิบมาดูด้วย รายละเอียดของภาพดูน่ารักและถือว่าดีทีเดียวสำหรับอายุแปดขวบ เจ้าตัวใช้ดินสอฝนตามจุดที่เป็นเส้นผมกับเสื้อนอก วาดแม็กกี้สวมกระโปรง เส้นผมยาวหยักๆ
“เก่งมากเลยนะคะ”
“ถ้าเก็บดาวครบ ผมอยากได้สมุดวาดภาพ”
“ได้เลยค่ะ”
“เอลลี่เขียนคำว่าแมวได้” น้องอีกคนไม่ยอมแพ้ เธอขอดินสอมาขีดๆ “แมว”
“เก่งมากค่ะ”
ตอนนี้พี่หญิงคนโตของน้องๆ เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเก่งน้อยกว่า เธอกอดอกทำทีเป็นว่ารู้อยู่แล้ว สบโอกาสเหมาะแคลร์ก็ถามแม็กกี้อีกสักครั้ง
“สนใจเรียนตัวอักษรไหมคะ?”
“หนู-หนูอ่านออกอยู่แล้ว”
“มาฟังนิทานพร้อมกันตอนค่ำได้นะคะ”
ไม่รู้ว่าแม็กกี้จะยังเกี่ยงอยู่อีกไหม ขนาดฟิโลยังอดยิ้มขำไม่ได้กับสีหน้าท่าทางของแม็ก เขาชูนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้ฟินน์ช่วยปิดไว้ว่าเขาอยู่นี่ด้วย
“นิทาน นิทานมันสำหรับเด็กชัดๆ”
“มันช่วยได้นะ เชื่อพี่สิ”
เห็นวี่แววแม็กไม่น่าจะยอมง่ายๆ ระแวงว่าฟิโลอยู่แถวนี้ไหม กระทั่งช่วงบ่ายที่แคลร์พาเอลลี่ไปนอนกลางวัน และเริ่มสอนฟินน์ต่อ แม็กกี้ก็แอบๆ เข้ามาในห้องขอนั่งฟังด้วย โดยอ้างว่าแค่มาหาอะไรทำฆ่าเวลา