5 ตอน บทที่ 4 ภาพเหมือน
โดย monodice
“อุ้มๆ”
เอลลี่ดูจะติดพี่เลี้ยงมากเป็นพิเศษ พอเห็นแคลร์เป็นต้องยื่นแขนขอให้อุ้มตลอด รวมถึงวันนี้ที่หลังทานมื้อเช้า เธอกำลังถือกระเป๋าผ้าเตรียมออกไปด้านนอก เด็กหญิงก็วิ่งฉิวมาหา
“วันนี้พี่ต้องออกไปข้างนอก เอลลี่อยู่บ้านนะคะ”
“ไปไหน?” คนตัวเล็กน้ำตาคลอ “พี่แคลร์ไปไหน?”
หัวใจผู้มองเหมือนโดนบีบ แคลร์เพิ่งรู้สึกว่าถ้าหากเธอมีน้องสาวน่ารักๆ แบบนี้ เธอคงได้กอดนัวเนียทั้งวัน แต่ตอนนี้ต้องออกไปทำธุระ จึงต้องฝืนตัดใจ
“เอลลี่เป็นเด็กดีนะคะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝากด้วยดีไหมคะ?”
“ไม่เอา”
เริ่มไม่รู้จะกล่อมเอลลี่ยังไง ยิ่งตอนนี้เบะปากด้วย อีกนิดจะร้องไห้ออกมาแล้ว ซึ่งฟินน์ก็เดินลิ่วๆ มาจับมือน้องสาวชวนไปเล่น มีฟิโลที่ตามออกมาด้วย กระนั้นเอลลี่ก็ยังสะอึกสะอื้นหันมองพี่เลี้ยง
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูทั้งสองคนเอง”
“ค่ะ พี่จะรีบกลับนะ”
ก่อนไปแคลร์ก็วางมือลูบศีรษะเอลลี่ เกี่ยวนิ้วก้อยสัญญาว่าจะกลับมาเร็วๆ พอก้าวพ้นธรณีประตู มือดันมันปิดลงพร้อมภาพใบหน้าที่น้ำตาไหลของเด็กหญิงหายไปด้านหลัง แคลร์ก็สาวเท้าเดินฉับๆ ว่องไวเพื่อทำเวลา
เนื่องจากเธอได้รับการอนุมัติเรื่องหาซื้อหนังสือสำหรับเด็กแล้ว โดยทางนายจ้างก็วานให้เธอติดต่อสั่งของตามร้านต่างๆ ในละแวกด้วย ประกอบกับมีใบเรียกเก็บเก่าๆ ของค่าแก๊สกับประปาใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์ คิดว่าเดือนนี้อาจลืมส่งมา แคลร์จึงตรงออกจากคฤหาสน์ซันฮิลล์เข้าไปยังย่านชุมชน
เช้ายามเก้าโมงกว่า อากาศยังพอเย็นๆ ไม่ร้อนจนเกินไป มีเสียงคนที่สัญจรไปมาควบคู่ไปกับเสียงรถม้า
ฟิโลเขียนแผนที่ตำแหน่งร้านต่างๆ ใส่กระดาษแผ่นเล็กไว้ให้ เธอเลยใช้มันอ้างอิงไม่ให้หลงทาง ไปยังร้านขายเนื้อก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อทำการสั่งของให้ไปส่งที่คฤหาสน์ ตัวร้านค่อนข้างเป็นจุดเด่นมากทีเดียว เมื่อมีเนื้อสัตว์ถูกห้อยแขวนเอาไว้ กับโต๊ะตั้งถาดที่แบ่งชิ้นส่วนต่างๆ ให้เลือกไปชั่งกิโล
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ รับอะไรดี?” คนขายเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วยิ้มแฉ่ง “มีเนื้อหมูสดๆ น่าอร่อยทั้งนั้นเลยนะ”
“สั่งของค่ะ”
เธอหยิบยื่นจดหมายหนึ่งซองออกมามอบให้ ทันทีที่เห็นตราประทับบนนั้น รอยยิ้มเจ้าของร้านก็ฝืดเฝื่อนในพริบตา เขาเงยหน้ามองแคลร์
“เอ่อ คนของคฤหาสน์ซันฮิลล์?”
“ค่ะ”
“เข้าใจแล้ว สุดสัปดาห์นี้จะไปส่งให้นะครับ เดี๋ยวผมเขียนใบรับเงินให้”
อีกฝ่ายราวกับไม่กล้ามองสบตาเธอหลบไปหลังเคาน์เตอร์ เร่งรีบเขียนลงลายมือชื่อส่งให้รับ
ทีแรกแคลร์ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้แค่ร้านเดียว แต่มันเป็นกับทุกร้านที่เธอไปเยือนแล้วสั่งของส่งไปที่คฤหาสน์ รวมไปถึงสถานีจ่ายประปากับไฟแก๊สที่งุนงงว่ามีคนอยู่ที่นั่นด้วยเหรอ ท่าทีที่พวกเขามองเธอแปลกๆ ชวนให้ฉงนว่าทำไม จนครบทั้งหมดก็ได้ไปที่ร้านหนังสือ
เด็กสาวรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ปราศจากสายตาเหล่านั้น เธอเลือกหยิบหนังสือเรียนขั้นพื้นฐานกับพวกนิทานที่คิดว่าเด็กๆ น่าจะชอบไปจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอได้งบตรงนี้มาจากฟิโลแล้ว และเงินส่วนนี้ก็ดูจะมากเกินไป แคลร์ไม่รู้ว่าท่านพ่อของพวกเอลลี่คิดอะไรถึงให้เงินมาขนาดนี้ หากเป็นไปได้เธอคิดว่าเขาควรมาหาลูกๆ ของเขาบ้างจะดีกว่าแสดงมันในรูปของสิ่งของกับเงิน
“นี่ ได้ยินไหม?”
ระหว่างนำหนังสือไปจ่าย เธอก็ได้ยินเสียงสนทนาซุบซิบแว่วมา
“มีคนเห็นคนเข้าออกที่คฤหาสน์ผีสิงนั่น”
ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกไหม เธอรับเงินทอนจากพนักงานร้านก็ปลีกตัวออกมาเลยไม่รู้รายละเอียดไปกว่านั้น
‘คฤหาสน์ผีสิง’ พวกเขาน่าจะหมายถึงคฤหาสน์ซันฮิลล์แน่ๆ ที่พวกเขาดูกลัวและหวาดผวาหน้าซีดกันทุกครั้งที่เธอเอ่ย แคลร์คิดว่าพวกเขาเข้าใจผิดเหมือนตอนที่เธอเห็นสภาพสวนรกๆ ของบ้าน ถ้าไม่มีฟิโลมานำทางเข้าไปแล้วเธอเดินผ่าน มองดูก็คงคิดว่าเป็นคฤหาสน์ร้าง
ส่วนคำตอบเรื่องที่เด็กๆ อาศัยอยู่ที่นั่นได้ เธอได้รับมาแล้วด้วยการมาสั่งของตอนนี้ สำหรับที่ภายในคฤหาสน์ค่อนข้างสะอาดก็น่าจะเป็นเพราะฟิโล เขามักหายตัวไปตอนกลางวันทั้งวัน รับผิดชอบดูแลทุกอย่างรวมถึงอาหารแต่ละมื้อที่ตอนนี้แคลร์กำลังพยายามช่วย
พรุ่งนี้จะครบสัปดาห์แรกที่เธอจะได้รับเงินค่าจ้าง รวมไปถึงผลการประเมินว่าจะได้ทำงานต่อที่ซันฮิลล์หรือไม่
ผ่านร้านขนมปัง เด็กสาวก็เข้าไปซื้อขนมฝากพวกเอลลี่ เธอเลือกซื้อเค้กครีมผลไม้สองชิ้นเล็กสำหรับสาวน้อยสองคน เค้กช็อกโกแลตสำหรับสองหนุ่มน้อย ลองคิดว่าพวกเขาดีอกดีใจต่อของฝากก็มีความสุขแล้ว
ได้ของที่ต้องการ แคลร์ก็ประคองถือกล่องกระดาษใส่ขนมไว้อย่างดีขณะเดินทางกลับ จนเห็นแม็กกี้เดินอยู่ในกลุ่มคน
เธอเปลี่ยนเส้นทางตามเด็กหญิงไปด้วย ตั้งใจจะทักทายเพิ่มความสนิทสนม กระทั่งเห็นเข้าไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านอยู่ระหว่างยุ่งกับการโฆษณาขายของ แม็กก็ลอบเดินช้าๆ ไปใกล้ๆ จากนั้นยื่นมือล้วงหยิบกระเป๋าเงินของคนที่ยืนหันหลังอยู่ออกมาแบบชำนิชำนาญ
“!”
เจ้าของมือสะดุ้งโหยงเมื่อถูกคนคว้าจับข้อมือไว้ พอหันไปก็เห็นว่าเป็นพี่เลี้ยงนั่นเอง ตอนนี้ผู้เสียหายเริ่มรู้ตัวหันมาแล้ว แม็กกี้เลยตัดสินใจสะบัดมือให้หลุดแล้ววิ่ง ของกลางร่วงตกลงที่พื้น
“ขอโทษด้วยนะคะ”
แคลร์เก็บขึ้นมาคืนพร้อมก้มศีรษะไวๆ และหันตัวเร่งวิ่งตาม
“แม็กกี้คะ!”
ยิ่งเรียกเหมือนยิ่งหนี แถมแม็กก็วิ่งเร็วมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายที่ขนาดตัวไม่ต่างกันนักกลับแทรกผ่านฝูงชนได้สบายๆ ผิดกับเธอ เมื่อไม่มีวิธีจะตามหาแล้วยังไม่ชำนาญเส้นทางเท่า แคลร์เลยเลือกกลับไปที่คฤหาสน์ก่อน ตรงนี้เธอนึกขึ้นได้ก็เปิดกล่องกระดาษดูและช็อกที่ขนมเค้กในนั้นเละไปเรียบร้อย
กลับมาถึงก็ดันประตูรั้วสีดำบานใหญ่ให้เปิดออก เสียงมันฟังดูฝืดๆ และหนัก บางทีสนิมอาจจะเกาะตรงข้อต่อหมุนไปแล้ว เหยียบเท้าผ่านกองใบไม้แห้งที่เกลื่อนเต็มทางเดิน ดวงตาก็เลื่อนมองคฤหาสน์หลังใหญ่แบบวันแรก
“?”
เหมือนเธอเห็นอะไรแปลกๆ หน้าต่างห้องที่ชั้นบนดันเปิดออกโดยไร้เงาคนที่เปิดมัน ถ้าจำไม่ผิดตรงนั้นมันเป็นห้องนอนของเอลลี่ กำลังนึกสงสัย เห็นฟินน์โผล่หน้ามาโบกมือก็โบกมือตอบ
บางทีอาจจะตาฝาด หรือเพราะฟินน์ตัวเล็กเกินไปจนเธอมองไม่เห็น
เข้ามาในบ้าน เธอก็ถอดรองเท้าเช็ดให้สะอาด ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงวิ่งจากชั้นบน เมื่อหันไปก็เห็นเอลลี่ เด็กหญิงวิ่งตุบๆ มาพร้อมตุ๊กตาตัวโปรดที่หิ้วติดมือเสมอ
“พี่แคลร์ๆ”
“กลับมาแล้วค่ะ”
เธอวางมือลูบเส้นผมนุ่มๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มเอลลี่ไปที่ห้องอาหาร ฟินน์ที่เดินลงบันไดมาก็ตามหลังมาด้วย ที่โต๊ะเตรียมมื้อกลางวันไว้เรียบร้อยเช่นเคย
“ฟิโลล่ะคะ?”
“ฟิโลอยู่นี่ค่ะ”
เอลลี่เอ่ยถึงตุ๊กตาผ้าในมือ เจ้าตัวนี้สวมชุดเชิ้ตกับเอี๊ยมเก่าๆ ดวงตาปักด้วยกระดุมกับมีเส้นผมไหมพรมยุ่งๆ ทุกครั้งเด็กหญิงจะเรียกตุ๊กตาตัวโปรดด้วยชื่อของพี่ชาย
“พี่หมายถึงพี่ชายน่ะค่ะ”
“พี่ชายอยู่ทางนั้น”
คราวนี้เธอชี้ไปที่ฟินน์แทน เด็กชายที่เดินมานั่งเก้าอี้ประจำที่เลยตอบเรื่องฟิโล
“ฟิโลทำความสะอาดครับ”
“อย่างนั้นเหรอคะ”
หลังเสร็จมื้อกลางวันก็ตั้งใจจะเหมาเค้กเละๆ ด้วยตัวเองให้หมด แต่ฟินน์กับเอลลี่หยิบส้อมมาขอทานด้วยเลยแบ่งช่วยกัน เด็กสาวจัดเก็บอาหารส่วนของแม็กกี้กับฟิโลคลุมไว้ด้วยผ้าขาวบาง แล้วถึงพาฟินน์กับเอลลี่กลับขึ้นห้องชั้นบน
แคลร์มีเรื่องอยากปรึกษากับฟิโล แต่เนื่องจากเด็กชายคงไม่อยู่ในห้องนอนตัวเอง เธอเลยลงมามองหาที่ชั้นล่าง เดินดูตามโถงทางเดินและห้องต่างๆ
คฤหาสน์แห่งนี้กว้าง ทั้งยังเงียบมากกึ่งวังเวง พื้นที่ไม่ใช่น้อยๆ เกรงว่าคนเดียวคงไม่มีทางทำความสะอาดทั้งหมดได้ไหว
เสียงกุกกักทำให้แคลร์หยุดกึก ดวงตาจับมองไปที่ประตูบานหนึ่งด้วยความระแวง ว่าจะหยิบหาของป้องกันตัว ปรากฏว่าคนที่เปิดมาเป็นเด็กผู้หญิงคุ้นหน้าคุ้นตา ต่างฝ่ายต่างตะลึง วินาทีที่แม็กกี้จะผลักปิดกลับ แคลร์ก็รีบดึงเอาไว้
“แม็กกี้คะ ฟังพี่ก่อน”
“ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งไง!”
“เอ่อ พี่รบกวนเวลาเดี๋ยวเดียวค่ะ”
อย่างน้อยเธอก็แอบเคยมั่นใจว่ามีแรงมากกว่า ทว่าพอยื้อกันจริงๆ น่าตกใจที่ตัวเองแรงน้อยผิดคาด
“!!”
จังหวะนั้นแม็กก็ดึงประตูตามทิศทางแรงของแคลร์แทนให้เธอผงะถลาแทบล้ม แล้วอาศัยช่วงตอนนี้จะวิ่งแทรกไป กระนั้นพี่เลี้ยงก็เอื้อมสุดแขนจับคว้าไว้ได้
“ปล่อยนะ!”
“คุยกับพี่ก่อนนะ พี่สัญญาว่าไม่นาน”
เด็กสาวพาเข้ามาในห้องว่างและปิดประตูได้สำเร็จ ซึ่งแม็กกี้ก็ถอนหายใจยอมยืนฟัง เธอมุ่นคิ้วที่เห็นแคลร์มองตาแล้วจับมือ
“แม็กกี้คะ พี่ไม่รู้ว่าทำไม แต่ไม่ควรไปหยิบของๆ คนอื่นแบบนั้นนะคะ”
“....”
“การทำแบบนั้นมันไม่ดีรู้ไหมคะ สมมติถ้าเกิดคุณลุงเขาจะซื้อของ หรือต้องเดินทางกลับบ้านแต่ไม่มีเงินขึ้นรถม้า เขาก็จะลำบากมากๆ นะ”
อีกฝ่ายแปลกใจที่แคลร์ไม่ได้ตีโพยตีพายโวยวายแบบที่คิด ว่ากันตามตรงเธอรู้สึกว่าพี่เลี้ยงคนนี้สีหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลย หากเป็นทุกทีที่ถูกจับได้ พวกผู้ใหญ่มักจะโมโหและโกรธมาก
“ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ แล้วแม็กกี้บอกท่านพ่อไม่ได้ ก็มาขอยืมพี่แทน แต่พี่ขอทราบเหตุผลได้ไหมคะ?”
“..มันเป็นวิธีเอาตัวรอดของหนู เพราะว่าเขากำลังหาทางให้พวกเราออกไปถึงได้ให้คุณเข้ามา” แม็กกี้เปิดปากพูด “แล้วก็เพื่อฟินน์กับเอลลี่ด้วย ถ้าจะมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีเงิน”
แคลร์ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก ทว่าที่เธอแน่ใจคือแม็กกี้ก็รักและเป็นห่วงน้องสองคน สงสัยแค่ทำไมไม่พูดถึงพี่ชายอีกคน ถ้ามาคิดเป็นความน้อยใจ เธอก็เดาว่าเพราะนายจ้างของเธอดูจะไว้วางใจฟิโล อย่างที่วันแรกเขาได้บอกไว้ว่ามีอะไรก็ให้ถามจากลูกชายคนโต รวมถึงเวลาเธอต้องการจะแจ้งเจ้านายเรื่องเด็กๆ ก็ต้องฝากข้อความผ่านเขา
“แม็กกี้คิดมากเรื่องท่านพ่อสินะคะ”
พอเธอพูดอย่างนั้น แม็กกี้ก็ขมวดคิ้วจนย่น มองผู้หญิงตรงหน้าแบบเหนื่อยหน่ายจะอธิบาย
“ไม่มีท่านพ่ออะไรสักหน่อย”
“แม็กกี้คะ..”
“โอ้ย พอที” เด็กหญิงส่ายหน้า “คุณคงมองเห็นเหมือนฟินน์สินะ ถึงได้ไม่สังเกต”
“?”
หนนี้เธอแกะมือออกจากมือพี่เลี้ยง แล้วหันไปแง้มประตูดูข้างนอกทางเดิน ท่าทางระมัดระวังคล้ายกลัวว่าใครจะมาพบเข้า
“ตามมาเงียบๆ นะ”
เธอเรียกแล้วนำออกไปก่อน แคลร์ก็ลุกขึ้นเดินไปด้วยกัน แม็กกี้กำชับว่าให้เบาเสียงที่สุดเท่าที่ทำได้ พาเดินตรงโถงทางเดินไปเรื่อยๆ จนหยุดที่ห้องด้านหลังสุด บริเวณด้ามจับมีแม่กุญแจคล้องล็อกเอาไว้
ว่าแล้วเด็กหญิงก็ดึงกิ๊บติดผมบนศีรษะตัวเองออกมาสองอัน ดึงง้างให้มันเป็นเส้นตรงและเริ่มทำการสะเดาะ ไม่นานก็ปลดล็อกได้ จากทักษะแต่ละอย่าง แคลร์เริ่มวิตกว่าหนูน้อยไปเรียนอะไรมา
ด้านในค่อนข้างมืดเนื่องจากไม่ได้เปิดผ้าม่าน มีแค่แสงมัวๆ กับละอองฝุ่นจางในอากาศ ภายในมีรูปวาดวางซ้อนๆ ทับกันไว้ตรงโต๊ะ คลุมด้วยผ้าดิบสีขาว แม็กกี้ตรงไปดึงผ้าออกพร้อมหาบางสิ่ง
แคลร์เห็นมีภาพของคฤหาสน์นี้ที่วาดด้วยสีน้ำมัน ภาพต้นไม้ใบหญ้า ก่อนสายตาเธอจะสะดุดที่ลายมือที่เขียนไว้บนผืนผ้าใบสีขาว มันเป็นด้านหลังของภาพที่คว่ำอยู่ เธอแตะมือที่ตัวอักษรขาดๆ หายๆ
พลิกมาดูก็เป็นภาพเหมือนของครอบครัว มีหนุ่มสาวที่คงเป็นพ่อ แม่ และเด็กชายสองคน นอกจากแม่ที่มีดวงตาสีฟ้า พวกเขาต่างมีดวงตาสีเขียวมรกต ลูกคนโตสีผมบลอนด์เทาแบบแม่ ส่วนลูกคนเล็กมีเส้นผมสีดำสนิท คนนี้มีใบหน้าที่เหมือนกับพี่ชายของพวกเอลลี่ทุกอย่าง
“อยู่นี่เอง” แม็กกี้หันควับเดินมา “นี่ฟิโลใช่ไหมล่ะ? ดูปีที่เขียนไว้ด้านหลังภาพสิ”
น่าตกใจเอามากๆ ที่ตัวอักษรเก่าๆ นั้นเป็นเวลาเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนได้
“คุณควรจะรีบไปถ้ามีโอกาส ที่นี่มีแค่พวกเราสามคน หนู ฟินน์ เอลลี่ แล้วก็พี่ที่โผล่เข้ามาเป็นคนที่สี่” แม็กกี้หันกลับเตรียมออกจากห้อง “ฟิโลน่ะเป็นวิญญาณ นอกจากพี่กับฟินน์ คนอื่นๆ ก็มองไม่เห็นหรอก”
เด็กสาวรู้สึกสับสนกับข้อมูลที่ได้รับกะทันหัน ซึ่งเด็กหญิงก็ดึงมือเร่งให้ออกมาก่อน พอลงล็อกกุญแจเข้าที่เดิม เจ้าตัวก็พาให้ออกห่างจากห้องนั้นแล้วค่อยแยกย้าย
“ฟิโลเป็นวิญญาณ?”
เธอทวนคำในสมองซ้ำด้วยการพึมพำตั้งคำถามกับอากาศ จากนั้นคิดถึงสิ่งผิดสังเกตแต่ละอย่างที่ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกแต่ไม่เคยคิดจริงจัง พลางเดินก้าวเท้ากลับไปหาฟินน์และเอลลี่
เมื่อพระอาทิตย์คล้อยตกดิน แสงสีส้มส่องผ่านช่องว่างของผ้าม่านเข้ามา พี่เลี้ยงจูงมือเด็กสองคนไปยังห้องอาหารเช่นเคย ทว่าคราวนี้ประสาทสัมผัสตื่นตัวเต็มที่ด้วยความกลัวลึกๆ ในใจ
“คุณเฮเซล?”
เสียงทักทำให้สะดุ้ง เด็กชายที่หายตัวไปตลอดวันโผล่มายืนมอง ต้องขอบคุณสีหน้าเรียบนิ่งของตัวเองที่ทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติ
“ฟิโล”
“ครับ ผมเห็นคุณยืนเหม่อ”
“เอ่อ ค่ะ” แคลร์พยายามปรับน้ำเสียง ส่งของที่ต้องคืนมอบให้ “วันนี้พี่จัดการสั่งของทั้งหมดให้แล้วนะคะ อันนี้เป็นเงินส่วนที่เหลือ”
“ขอบคุณครับ ”
เขายิ้มแย้มขอตัวนำไปเก็บ กิริยาท่าทางการจับวัตถุก็ทำได้ปกติ เธอแปลกใจที่ทำไมตัวเองถึงได้เห็นชัดขนาดนี้ หากเขาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ อย่างที่แม็กกี้บอก