วันที่สองกับสามของงานพี่เลี้ยงเด็ก แคลร์ลองไปเคาะประตูห้องแม็กกี้ดู ทว่าเงียบกริบไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

ภาพรวมตอนนี้คือเธอเริ่มเข้ากันได้กับเด็กเล็กของบ้านทั้งสองคน ส่วนแม็กกี้ไม่ยอมเสวนากับเธอเลยสักนิด ฟิโลก็สุภาพเกินวัยดูพึ่งพาได้อย่างบอกไม่ถูกทั้งๆ ที่เธอต้องเป็นคนดูแล เพียงแต่ช่วงกลางวันจะหาเขาไม่เจอเลย

เข้าวันที่สี่ช่วงที่เอลลี่นอนกลางวัน เด็กสาวก็สอนตัวอักษรสองสามตัวให้ฟินน์ โดยวาดเทียบกับภาพผลไม้หรือสัตว์ สอนคำง่ายๆ กับให้เขียนชื่อตัวเองดูก่อน

 

“ฟินน์นั่งอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ พี่จะไปหาแม็กกี้”

 

หลังออกมาแคลร์ก็ตรงไปยืนหน้าห้องของแม็ก เธอกำมือเคาะสองสามทีและยืนรอสักระยะ หนนี้ถึงไม่มีการตอบรับก็ยังลองซ้ำอีกที เสริมด้วยการเรียก

 

“แม็กกี้คะ”

 

เด็กสาวอยากจะลองคุยกันดูสักหน่อย เพราะพฤติกรรมต่อต้านของแม็กเป็นปกติสำหรับเด็กที่ค่อนข้างจะโตแล้ว วัยนี้น่าจะเริ่มมีโลกส่วนตัวของตัวเองที่ไม่อยากให้ใครไปยุ่ง ยิ่งกับคนที่ยังไม่สนิทแบบเธอด้วย

ประมาณเกือบสิบห้านาทีที่วันนี้จะถอดใจ แคลร์ก็เหมือนได้ยินเสียงประตูที่ปิดไม่สนิทผละเปิด แต่มันไม่ใช่บานนี้ เธอจึงเดินไปดูตรงห้องที่ใกล้กับห้องในสุด ห้องพักของเธอในปัจจุบัน

อย่างที่คิด มีใครเข้าไปในนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นโจรผู้ร้ายหรือเปล่า เธอก้าวเท้าเบาๆ มาถึงก็ลอบมอง ปรากฏว่าเป็นเด็กผู้หญิงเส้นผมสีน้ำตาลแดงคนหนึ่ง เจ้าตัวกำลังรื้อค้นดูข้าวของของแคลร์

 

“แม็กกี้?”

“!”

 

ถูกจับได้ก็ตกใจลุกพรวด ร่างเล็กกว่าพุ่งตัวผลักแคลร์ให้เบี่ยงจากเส้นทาง ทว่าพอจะหนีพ้น ประตูห้องก็ปิดเองกะทันหันขวางไว้

 

“ฟิโล!”

 

แม็กขบฟันไม่พอใจตีมือกับบานประตู ดันยังไงก็เปิดออกไม่ได้จึงจำใจหันไปเผชิญหน้ากับพี่เลี้ยงสาว แคลร์ยืนนิ่งมากอยู่ด้านหลัง ใบหน้าเฉยเมยกับดวงตาที่จ้องมาทำเอาเด็กหญิงกดดัน

 

“ค-แค่มาดูเท่านั้น ว่าคุณซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า”

“...”

“ไม่ได้ขโมยของนะ!”

“แม็กกี้พาพี่ไปห้องหนังสือได้ไหมคะ?”

“หา?”

 

ขณะแม็กเสียงดังร้อนรน แคลร์กลับเอ่ยปากเรื่องนี้แทน สาวน้อยของคฤหาสน์อ้ำอึ้งไปนาทีหนึ่งก็หันควับ

 

“ไม่รู้ ให้ฟินน์หรือฟิโลพาไปสิ”

“พี่หาฟิโลไม่เจอ ส่วนฟินน์อยู่เป็นเพื่อนเอลลี่ค่ะ แม็กกี้ช่วยพาไปได้ไหมคะ?”

 

เธอพยายามยิ้ม รอยยิ้มที่ฝึกฝนมาทั้งคืนคือมุมปากยกขึ้นนิดๆ ได้สำเร็จ แต่จากท่าทางของคนมองที่ย่นคิ้ว แสดงว่ามันไม่ได้ดีเท่าไหร่

ชั่วแวบหนึ่งคล้ายจะปฏิเสธ แต่แล้วเด็กหญิงกลับหยุดเปลี่ยนเป็นพยักหน้าตกลงแทน ทั้งยังส่งยิ้มให้ด้วย

 

“ก็ได้ ตามมา”

 

ฝ่ายอายุมากกว่าดีอกดีใจเดินตามไปพร้อมกัน สร้างโอกาสที่จะสนิทกันขึ้นมาบ้างแล้ว แคลร์เลยเปิดหาบทสนทนามาคุยกับแม็ก

 

“แม็กกี้อายุสิบเอ็ดใช่ไหมคะ?”

“ใช่ ปีนี้จะสิบสอง”

“ท่านพ่อคงบอกแล้ว ว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะให้แม็กกี้ได้เข้าเรียน เป็นปีการศึกษาแรกสำหรับเด็กผู้หญิงเลยนะคะ”

“...”

“ถึงพี่จะไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่พี่คิดว่าจะต้องสนุกแน่ๆ ค่ะ พี่มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เขามักจะเขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่าที่โรงเรียนเป็นยังไง”

 

ช่วงที่เดินไป เธอก็ลองเกริ่นเรื่องโรงเรียน อยากรู้ว่าเจ้าตัวคิดยังไง แต่แม็กกี้ไม่ตอบอะไรเลย เธอแค่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เลี้ยวเป็นบางครั้ง นำทางไปจนมาหยุดที่หน้าประตูห้องๆ หนึ่ง

 

“แม็กกี้คงไม่อยากให้พี่ยุ่งเวลาส่วนตัว ดังนั้นพี่จะไม่ก้าวก่ายค่ะ แต่ว่าถ้ากังวลเรื่องที่จะต้องไปเรียนที่โรงเรียน สามารถมาคุยกับพี่ได้นะ”

 

แต่ก่อนเด็กหญิงทุกคนจะไม่มีสิทธิเข้าเรียน ตระกูลขุนนางทั้งหลายจะจ้างวานครูฝึกมารยาท การเรียนพื้นฐานต่างๆ มาสอนให้รู้ถึงการเป็นผู้หญิงที่ดีในวงสังคม กระทั่งเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างทยอยเริ่มเปลี่ยนแปลง ทางเลือกของเหล่าเด็กสาวที่มีแค่การแต่งงานออกเรือนก็สั่นคลอนไป

ปีนี้เด็กๆ อายุตั้งแต่ห้าถึงสิบสองปีเพิ่งมีกฏว่าจะต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมบังคับตามโรงเรียนหรือโบสถ์ พอครบสิบสองก็มีทางเลือกเรียนต่อระดับชั้นสูงขึ้น หลังจากมีประกาศจากทางกระทรวงศึกษา โรงเรียนหลายที่ก็เปิดรับสมัครเด็กผู้หญิง

ระดับมัธยมขึ้นไปทุกสถาบันการศึกษาของประเทศเป็นลักษณะของโรงเรียนประจำ เด็กๆ จะต้องพักที่หอพัก กินอยู่ที่นั่น และเข้าเรียน จนช่วงปิดเทอมถึงจะกลับมาบ้าน

ตัวแคลร์เองอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของเหตุการณ์เหล่านี้ ถึงที่บ้านจะคัดค้านเรื่องที่ออกมาทำงานแต่แคลร์ก็หลบหนีมา แน่นอนว่าเธอมีความกดดันและกลัวอยู่เหมือนกันกับการต้องออกมาจากบ้านเอง ดังนั้นถ้าแม็กอยากระบายความกังวลที่ต้องไปอยู่หอพักลำพัง เธอก็พร้อมจะเป็นเพื่อนรับฟัง

 

“พอที คุณไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”

“แม็กกี้..”

 

เจ้าของชื่อมุ่ยหน้า เธอขยับตัวถอยห่างพอเห็นแคลร์จะจับมือ

 

“พวกเราไม่ต้องการโรงเรียนอะไรนั่นสักนิด ไม่สนใจด้วยว่าท่านพ่ออะไรนั่นจะยังไง”

“..ทะเลาะกับท่านพ่อเหรอคะ?”

 

ลองเดาดูจากอาการต่อต้าน ทว่ามันยิ่งทำให้แม็กกี้มุ่นคิ้ว เธอก้าวเข้ามายืนใกล้แคลร์อีกนิด ปรับเสียงเบาลงเสมือนกลัวว่ามีใครแอบฟัง

 

“ตั้งแต่มาที่นี่ ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ?”

“?”

“คฤหาสน์กว้างขนาดนี้ แต่ไม่มีคนเลยนอกจากเด็กสามคน”

 

เด็กสาวเฮเซลแปลกใจกับจำนวนที่เด็กหญิงเอ่ย จบคำคนบอกก็ถอยหลังไปสองสาวก้าว มือชี้ไปทางประตูห้องใกล้ๆ

 

“ห้องหนังสืออยู่นี่”

“ขอบคุณค่ะ”

“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ยุ่งเวลาส่วนตัว ไปล่ะ”

 

เธอกวัดมือข้างหนึ่งลา แล้วสะบัดผมสีน้ำตาลแดงเดินย้อนกลับไปทางบันได ปล่อยแคลร์ไว้ตรงนั้นให้ขบคิดว่าคำพูดดังกล่าวสื่อถึงอะไร

ถูกต้องที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจตั้งแต่ตอนมาที่นี่ครั้งแรก รวมถึงสถานที่แห่งนี้ภายนอกคล้ายไม่ได้รับการดูแล รกทึบไปด้วยใบไม้และวัชพืช ส่วนภายในกลับดูสะอาดเป็นปกติ ระบบท่อแก๊สก็ใช้งานได้ น้ำให้ใช้ก็มี มันจึงชวนให้สงสัยว่าในช่วงที่อยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่เคยพบแม่บ้าน คนรับใช้ หรือใครอย่างที่ควรเป็น

ก่อนหน้านี้แคลร์ก็ได้สรุปเอาเองเป็นว่าคงมีคนเข้ามาทำความสะอาดรายสัปดาห์ เธอที่เพิ่งมาอยู่จะไม่เคยเจอคนอื่นจึงไม่แปลก แต่แม็กกี้กลับพูดถึงเรื่องนี้

 

หลังมื้อค่ำที่ส่งฟินน์กลับห้อง กล่อมเอลลี่หลับสนิทแล้วแคลร์ก็เดินออกมา ตั้งใจจะลงไปห้องหนังสือเมื่อบ่าย เนื่องจากช่วงนี้เป็นเวลาเดียวที่เธอจะว่างพอ

มองผ่านหน้าต่างตรงชานบันไดก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่ตอนกลางคืนดูวังเวงเงียบสงัด แถวรอบข้างคฤหาสน์ซันฮิลล์ไม่มีบ้านเรือนอื่นตั้งอยู่เลย พวกเงาต้นไม้ก็ปลิวไหวเอื่อยๆ ชวนขนลุก แสงสว่างเห็นแค่จากสุดถนนด้านหน้าที่ห่างเป็นกิโลเท่านั้น

เธอส่ายหน้าควับๆ ว่าไม่มีอะไรต้องกลัวและรีบลงบันไดต่อ มาถึงที่หมาย เปิดเข้าไปในห้องที่มืดสนิท เด็กสาวก็มองหาโคมไฟเป็นอย่างแรก จนมีแสงสีส้มส่องจากด้านหลังถึงหันไป

 

“ฟิโล”

“ครับ ผมเปิดไฟให้นะ”

 

เด็กชายถือตะเกียงมาด้วยส่องทาง เขาเดินไปยังจุดที่จำได้และเปิดโคมตามจุดต่างๆ ให้ห้องสว่างขึ้น

ภายในนี้มีหนังสือจำนวนมากกว่าที่แคลร์คาดไว้ ชั้นหนังสือยึดพื้นที่บริเวณกำแพงฟากหนึ่งของห้องใหญ่ไปทั้งหมด ทุกชั้นมีหนังสือเรียงไว้เป็นระเบียบ แค่มีฝุ่นจับบ้างในส่วนที่น่าจะไม่มีใครหยิบไปอ่าน

 

“นอนไม่หลับเหรอครับ?”

“เปล่าหรอกค่ะ”

 

เขาคอยเดินตามถือไฟ ทางพี่เลี้ยงเลือกดูตามสันหนังสือทีละอันก็พบว่ามันมีแต่หนังสือที่เนื้อหายากเกินไปสำหรับเด็ก

 

“พี่อยากได้หนังสือภาพ หรือหนังสือสำหรับเด็กน่ะค่ะ”

“อย่างนี้เอง” ฟิโลยิ้มเจื่อน “ผมคิดว่าไม่มีแน่เลย”

 

เท่าที่หาดูเธอก็รู้สึกว่ามันคงไม่มีจริงๆ ที่นี่มีแต่หนังสือวิชาการ ปรัชญา ประวัติสถานที่ ระบบบัญชีการคำนวณ ที่พอเป็นไปได้มากสุดก็คือนิยาย ถึงจะมีตัวหนังสือทั้งแถบไร้ซึ่งภาพวาด มันก็ยังน่าจะใช้ได้อยู่

 

“ถ้าพี่ถามเรื่องที่มันค่อนข้างส่วนตัวสักนิดได้ไหมคะ?”

“ครับ?”

“ท่านพ่อไม่มาที่นี่เลย พวกฟิโลรู้สึก..น้อยใจไหมคะ?”

 

หลังคำถามของแคลร์ เด็กชายก็นิ่งคิดสักครู่ แล้วส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม

 

“พอดีพี่คุยกับแม็กกี้มานิดหน่อย เลยไม่มั่นใจว่าที่จริงแม็กกี้อาจจะไม่อยากเข้าเรียนโรงเรียนประจำหรือเปล่า แล้วบางทีอาจกำลังคิดมากเรื่องท่านพ่อไหมคะ..” เธอถามตามที่คิด “แม็กกี้อาจรู้สึกว่าพ่อไม่สนใจ หรือคิดจะส่งเธอไปไกลๆ ถึงได้พูดเรื่องสถานเลี้ยงเด็กขึ้นมา”

 

ใบหน้าที่ปกตินิ่งเฉยดูหดหู่เศร้าๆ แคลร์มองหนังสือปกแข็งในมือเหมือนมันจะช่วยได้ ปัญหาบางอย่างเธอก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องอ่อนไหวเกินมือ

 

“คงอย่างนั้นครับ” ฟิโลชี้หนังสือใกล้ๆ แนะนำ “มันเหมือนกับว่าฝ่ายหนึ่งคิดเองว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพวกเขา แต่บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องการแบบนั้นก็ได้”

“แบบนั้นก็ควรหันหน้าเข้าหากัน ลองพูดคุยกันดูไม่ใช่เหรอคะ?”

 

เด็กชายยิ้มบางๆ คล้ายเห็นด้วย เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่เอ่ยอะไรออกมาเพิ่มเติม ดวงตาสีมรกตมองเปลวตะเกียงเงียบๆ

สี่วันนี้ที่แคลร์รับรู้ได้คือฟิโลรักพวกน้องๆ มาก เขาคอยทำอาหารโดยใส่ใจความชอบของน้องสามคน และไม่ลืมให้ครบโภชนาการเท่าที่ทำได้ ส่วนห้องของเอลลี่กับฟินน์ก็จะสะอาดเรียบร้อยตลอด เดาว่าของแม็กกี้ก็ด้วย ซึ่งไม่เคยเห็นใครเข้ามาจัดการ ดังนั้นคนที่ทำทั้งหมดก็คงเป็นเขา

 

“เอาล่ะค่ะ”

 

หลังหยิบมาสองเล่ม เด็กสาวก็นำสมุดกับดินสอประจำตัวออกมาด้วยแล้วหาที่นั่งลงตรงพื้น ฟิโลเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าทำอะไร จนพี่เลี้ยงเงยหน้าควับ

 

“ฟิโลนั่งลงเลยค่ะ”

“ครับ?”

“เรามาเรียนตัวหนังสือกันค่ะ พี่คิดว่าฟิโลก็น่าจะเตรียมพร้อมสำหรับเข้าเรียนด้วยเหมือนกัน”

 

ที่ผ่านมาเขาดูสุภาพให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ แถมยังรับผิดชอบเรื่องของน้องๆ กระนั้นอย่างไรฟิโลก็เป็นเด็ก เธอควรดูแลเขาด้วย แคลร์เดาจากที่ฟินน์ไม่รู้ตัวอักษรเลยสักตัวว่าพี่ชายของทั้งสามก็คงไม่ได้รับการศึกษาแบบถูกต้อง เธอจะไม่โทษนายจ้างว่าทำไมปล่อยปละละเลย แต่จะตั้งใจสอนหนังสือแทน

ฝ่ายถูกบอกให้เรียนนิ่งไปครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะให้เธองง เจ้าตัวกลั้นขำได้ก็เผยยิ้มมุมปาก

 

“สำหรับผม ไม่ต้องหรอกครับ”

“ทำไมล่ะคะ? พี่สอนได้นะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมไม่ได้สงสัยอะไรในตัวคุณ แต่ผมอ่านหนังสือได้แล้วครับ”

 

เห็นเธอดูไม่เชื่อเท่าไหร่ ฟิโลเลยนั่งลงและอ่านเนื้อหาหน้าที่เธอเปิดทิ้งไว้ให้ฟังสักสามสี่บรรทัดแบบคล่องแคล่วไม่มีสะดุดสักประโยค แคลร์จึงปรบมือชม

 

“เก่งมากเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ” เขาก้มหนึ่งที “ไว้ผมจะบอกท่านพ่อเรื่องหาซื้อหนังสือสำหรับเด็กนะครับ ผมว่าท่านน่าจะเห็นชอบด้วยแน่นอน”

“ขอบคุณนะคะ”

 

รู้สึกว่าฟิโลเป็นเด็กดีมากจริงๆ ถ้าช่วยแบ่งเบาได้อีกนิด เธอน่าจะลองฝึกทำอาหารดู เขาจะได้นำเวลาไปทำในสิ่งที่อยากทำเหมือนเด็กทั่วไปบ้าง

 

“มื้อเช้าพรุ่งนี้พี่จะลงมือทำเองนะคะ”

“ฮ่ะๆ ครับ” เขานึก “พรุ่งนี้ผมคิดจะทำซุปผักกับแซนวิชครับ มีแช่ถั่วเหลืองไว้ ใช้มันทำซุปได้เลย”

“จะลองดูค่ะ”

 

แคลร์ผงกศีรษะหงึกหงัก จากนั้นขอจดสูตร ทั้งวัตถุดิบกับวิธีการทำทุกขั้นตอนอย่างละเอียด

เช้าวันถัดมาเด็กสาวเฮเซลก็ตื่นมาเตรียมลุยเต็มที่ ตามฟิโลไปที่ห้องเก็บวัตถุดิบเพื่อนำของที่จะใช้ออกมาทำ มีเบคอน หัวหอม แครอท ถั่วเหลืองที่แช่น้ำไว้ เนยกับผักสดสองสามอย่าง

 

“เอ่อ ล้างหน้าล้างตาก่อนได้นะครับ แสบตาไหม?”

 

เริ่มลงมือ แคลร์ก็น้ำตาไหลพรากๆ มีหัวหอมเป็นตัวการ

 

“ผมลืมไป มาหั่นตรงนี้เถอะครับ ใกล้ๆ ไอน้ำจากหม้อจะช่วยให้ไม่แสบตาเท่าไหร่”

“เหรอคะ?”

“ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ได้ยินมาว่าแบบนั้น” เห็นสงสัยเขาก็ส่ายหน้าเช่นกัน “มีเรื่องตลกๆ อย่างหายใจทางปากแล้วแลบลิ้นไว้ด้วยล่ะครับ”

“ทดสอบไหมล่ะคะ?”

 

ดูท่าทางพี่เลี้ยงจะเอาจริง เห็นเธอทดลองดูด้วยวิธีการหลัง เขาก็หลุดขำพรืดออกมาแม้จะพยายามทนไว้ไม่ให้เสียมารยาทก็ตาม

ส่วนอย่างอื่นเธอก็หั่นแบบระมัดระวังเพราะยังไม่ชำนาญ มันอาจจะออกมาไม่สวยเท่าไหร่ แต่เชื่อว่ารสชาติน่าจะไม่เลวร้าย

 

“แล้วก็ผัดเบคอนกับเนย..”

 

เสียงฉ่าของเนยที่ละลายด้วยความร้อน เบคอนที่เริ่มส่งกลิ่นหอมชวนให้หิวลอยฟุ้งในอากาศ ท้องเธอแอบประท้วงอยู่เนืองๆ ผัดอยู่สักพักก็เติมหัวหอมกับผักแต่ละอย่างลงไป ปิดท้ายด้วยน้ำต้มไก่

ระหว่างเธอวุ่นกับการเคี่ยวซุป ฟิโลก็จัดการเรื่องแซนวิช เสร็จทั้งหมดใกล้เคียงเวลาที่ฟินน์กับเอลลี่จะตื่นพอดี แคลร์ก็เอ่ยขอตัวขึ้นไปช่วยทั้งสองคนแต่งตัว เด็กชายอมยิ้มต่อท่าทางเร่งรีบนั้น แล้ววางจานแต่ละชุดลงตรงโต๊ะ

 

“ฟิโล”

 

เขาหยุดและหันไปทางประตูห้องอาหาร คนเรียกคือแม็กกี้ เธอเดินเข้ามาและยืนตรงหน้าโต๊ะเบื้องหน้าจานที่เพิ่งวางลง

 

“คราวนี้ตั้งใจจะทำอะไร?”

“..แม็กกี้”

“ที่จริงอยากให้พวกเราออกไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาเลย ไม่เห็นต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก”

 

เด็กหญิงกำฝ่ามือตัวเองกับผ้ากระโปรงแน่น คิ้วบางขมวดจนมุ่นด้วยสีหน้าเหยเก ฝ่ายฟิโลกำลังจะหาทางอธิบายเธอก็ชิงพูดตัดขึ้นมา

 

“วันนี้ไม่กินมื้อเช้า ไม่ต้องมาเรียกด้วย!”

 

สุดท้ายก็วิ่งหายกลับออกไป มีพวกแคลร์ที่ลงมามองตามแม็กกี้ที่วิ่งผ่านขึ้นไปด้วยสีหน้างุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น เอลลี่กะพริบตาปริบโดยสองมือกอดพี่เลี้ยงที่อุ้มไว้

 

“ฟิโล?”

 

ห้องอาหารไม่มีใครอยู่เลย เด็กสาวหันซ้ายหันขวา คิดว่าเขาไปล้างของในครัวหรือเปล่า หลังวางเอลลี่นั่งเก้าอี้ก็เดินไปดู ส่วนฟินน์ที่ยืนอยู่เดินออกไปที่โถงทางเดิน เด็กตัวเล็กก้าวเท้าไปเรื่อยๆ ถึงทางแยกก็เลี้ยว เปิดประตูไปจนถึงห้องๆ หนึ่งก็เคาะ

 

“ฟิโล ผมเอง”

 

ราวสามนาทีเสียงปลดล็อกก็ดังแกรก ประตูแง้มเปิดให้พอเห็นห้องมืดๆ ด้านหลัง ทว่าฟินน์ไม่ลังเลที่จะเข้าไป เขามองไปที่เก้าอี้ว่างโดดเดี่ยวในห้อง จับเท้าแขนไม้และเขย่งจะปีน ซึ่งวินาทีนั้นเจ้าตัวก็ลอยขึ้นจากพื้นประหนึ่งมีบางสิ่งอุ้มขึ้นมานั่งบนเบาะ

 

“ฟิโล” ดวงตากลมมองเงาของเด็กชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย “แม็กแค่อารมณ์ไม่ดี”

“..อืม ขอบคุณมากฟินน์”