9 ตอน Chapter 8
โดย Marin
บรรยากาศยามกลางคืนของกรีฟทาวน์ไม่ได้ทำให้ชายทั้งสองเกิดความกลัวเลยแม้แต่น้อย คาลอสและเอริคเดินข้างกันไปตามทาง รอบข้างจากเดิมที่เคยเป็นตรอกซอย บ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ กลับกลายเป็นพื้นที่โล่ง สามารถมองเห็นท้องฟ้าและธรรมชาติรอบข้างได้อย่างชัดเจน ระยะห่างระหว่างเสาไฟฟ้าเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงต้นไม้และใบหญ้าเสียดสีกันเป็นเสียงเดียวที่ช่วยให้พื้นที่บริเวณนั้นไม่เงียบสงัดจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกอ้างว้าง
แวมไพร์หนุ่มและอดีตนักล่าแวมไพร์เดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อยมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณป่าใหญ่และสุสานท้ายเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมามากนัก
“ทำไมมิสเตอร์ถึงย้ายที่ตั้งร้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชื่อที่ใช้เรียกแทนพ่อค้าคนหนึ่งถูกเอ่ยออกมาจากปากคาลอส
“ได้ยินมาว่าย้ายหนีพวกนักล่าแวมไพร์แล้วก็เบื่อที่เดิมน่ะ”
“นักล่าแวมไพร์? พวกเขาสืบหาได้ขนาดนั้นแล้วเหรอ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“เอริค นายไม่ได้แอบขายข้อมูลใช่ไหม” ชายผมบลอนด์มองคนข้างกายด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
แล้วก็ได้รับแววตาคล้ายกับจะบอกว่า ‘น่ารำคาญ’ ส่งกลับมา “ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม”
เมื่อครั้งนั้นที่เอริคได้ไหว้วานให้คาลอสไปจัดการธุระให้กลับต้องล้มเหลวเมื่อสถานที่นัดพบกับพ่อค้าที่ใช้นามว่ามิสเตอร์ถูกเปลี่ยนแปลง ในคืนนี้เขาจึงต้องให้เอริคออกมาด้วยกันเพื่อจัดการสิ่งที่ค้างคานี้ให้จบก่อนจะเปิดร้านในช่วงวันงานประจำปี
สถานที่ที่เอริคจำเป็นต้องนำทางมาคือร้านค้าตลาดมืด สถานที่ลึกลับที่มีเพียงลูกค้าเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นเหล่าแวมไพร์เท่านั้นที่รู้จัก
ก๊า!
เสียงแผดร้องลั่นของอีกาดำตัวหนึ่งดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ภายในสุสานท้ายเมืองคือที่ที่พวกเขาทั้งสองกำลังอยู่ในขณะนี้ เมื่อเข้าเขตที่เป็นดั่งสถานที่ปิดตาย ชายทั้งสองก็เดินไปเรื่อย ๆ จนสุดทาง ฝีเท้าหยุดลงที่หน้าหลุมฝังศพหลุมหนึ่ง บนป้ายหินนั้นมีทั้งไม้เถา เศษดิน และรอยเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมดจนแทบอ่านไม่ได้ว่ามีชื่อของใครสลักอยู่บนนั้น
เอริคกระทืบเท้าลงตรงบริเวณพื้นดินหน้าหลุมฝังศพจนเกิดเป็นเสียงดังให้ได้ยินทั่วทั้งสุสาน จากนั้นเอ่ยชื่อตนเองออกมา ไม่นานก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“สวัสดี ลูกค้าวีไอพีทั้งสอง ร้านขายเลือดของมิสเตอร์ยินดีต้อนรับ”
กระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าใหญ่ท้ายเมืองคือสถานที่แห่งใหม่ที่มิสเตอร์ใช้เป็นแหล่งทำมาค้าขาย ภายนอกเป็นกระท่อมร้าง ๆ พุพังที่ดูแล้วคงไม่มีใครอาศัยอยู่และไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามา อีกทั้งบรรยากาศภายในป่า ความมืดมิดที่มาพร้อมเสียงร้องคำรามของสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่ได้ยินมาจากที่ไกล ๆ ผนวกกับความกลัวข้างในที่จิตใจปรุงแต่งขึ้นมาของมนุษย์ก็เป็นสิ่งยืนยันได้แล้วว่าพ่อค้าคนนี้สามารถย้ายที่ตั้งมาที่นี่ได้โดยไม่เป็นที่สังเกตของชาวเมืองอย่างแน่นอน
“ที่นี่นอกจากเราก็ยังมีพวกอีกากับคนของผมคอยเฝ้ายามอยู่ตลอด นักล่าแวมไพร์เข้ามาถึงตรงนี้ไม่ได้หรอก” มิสเตอร์บอกอย่างสบาย ๆ รินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาตรงหน้าชายทั้งสอง
“…”
“อ้อ” พ่อค้าลอบมองไปที่เอริคแล้วยิ้มออกมา “ยกเว้นอดีตนักล่าแวมไพร์ท่านนี้”
“สบายดีไหม มิสเตอร์”
“ขอบคุณที่ถาม…คาลอส ผมสบายดี เงินที่ได้จากการค้าขายกับคุณมากพอให้อยู่สบายไปทั้งชีวิตเลยล่ะ”
แก้วเครื่องดื่มถูกดันมาไว้ตรงหน้าอีกรอบ ทว่าทั้งเอริคและคาลอสไม่มีใครคิดที่จะแตะต้องมันเลยสักนิดเดียว พวกเขาต่างรู้ดีว่าของเหลวที่บรรจุอยู่ข้างในสามารถทำให้แวมไพร์อย่างคาลอสสูญเสีญสติและตกอยู่ภายใต้อำนาจของพ่อค้าขายเลือด มิสเตอร์เองก็ทราบอยู่แล้วว่าอาจมีลูกค้าบางคนที่รู้ว่าเครื่องดื่มพวกนั้นคืออะไร แต่เขาก็ยังยกมันมาเสิร์ฟให้เหล่าลูกค้าที่แวะเวียนมาเสมอ นั่นก็เพราะยังมีแวมไพร์บางตนที่หลงกลและตกเป็นทาสของเขาไปตลอดกาล…เช่นเดียวกับพวกที่กำลังเฝ้ายามอยู่บริเวณโดยรอบ
“มาซื้อขายกับผมคนเดียวตลอดสามปี วันนี้มีคนมาด้วยแล้วนะ”
“คนเดียว?” คาลอสที่ได้ยินมิสเตอร์พูดแบบนั้นก็หันขวับไปมองคนข้างกาย
ร้านขายเลือดของมิสเตอร์เป็นเสมือนร้านค้าตลาดมืดของเหล่าแวมไพร์ผู้มีอันจะกิน เป็นสถานที่ที่มีแวมไพร์อยู่เต็มไปหมด แม้อีกฝ่ายจะเป็นนักล่าที่สามารถต่อกรกับอมนุษย์ได้ แต่การมาที่นี่ด้วยตัวคนเดียวก็นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ดี
“ก่อนหลับไปฉันฝากดีนให้ช่วยนายทำธุระเรื่องนี้ เขาละเลยหน้าที่งั้นเหรอ” คาลอสพูดเสียงเข้ม
“เปล่า ดีนงานยุ่งพอแล้วฉันเลยบอกเขาว่าจะจัดการเอง”
ถ้อยคำที่เอริคพูดออกมาเป็นความจริง ในวันแรกที่แวมไพร์หนุ่มตื่นจากการจำศีล ดีนได้บอกไว้ว่าพวกนอกรีตเริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้นจึงต้องแบ่งคนไปจัดการ อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนที่มีอำนาจในการจัดการการเงินและธุระสำคัญต่าง ๆ ของร้านคาเฟ่คนตายมีเพียงคาลอส เอริค และดีนที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขาเท่านั้น เพราะแบบนั้นเอริคจึงเลือกไม่ได้ที่จะต้องมาทำการซื้อขายเลือดด้วยตัวคนเดียว
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก” มิสเตอร์พูดขึ้น “ครั้งนี้ลูกค้าวีไอพีของผมต้องการเท่าไรดี”
“มากที่สุดเท่าที่จะหาได้”
“โอ้ ดูท่ากิจการของคุณจะไปได้สวยนะ”
กล่าวเพียงเท่านั้นคนเป็นพ่อค้าก็เดินเลี่ยงไปยังชั้นหนังสือ หยิบแฟ้มเอกสารที่เรียงรายอยู่บนนั้นมาเปิดออกดู รายละเอียดข้างในคืออะไร ชายทั้งสองก็ไม่อาจทราบ คาดว่าคงเป็นบันทึกการซื้อขายหรือไม่ก็เป็นข้อมูลทางการค้าที่เปิดเผยไม่ได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจมันหรอก แค่จ่ายเงินแล้วฝากให้มิสเตอร์เป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว
คนเป็นพ่อค้าไล่นิ้วมือเปิดหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็ปิดแฟ้มลงเก็บกลับที่เดิม
“ผมหาให้ได้แค่สองเท่าของครั้งก่อนเท่านั้น ถ้ามากกว่านี้ร้านคาเฟ่คนตายของพวกคุณจะผูกขาดเลือดไว้คนเดียวแล้ว”
“…”
“ตกลงหรือเปล่า”
“เอาเท่าที่จะทำได้” คาลอสตอบ
ยังไม่ทันจะได้สนทนาอะไรเพิ่มเติม หนึ่งในลูกน้องของมิสเตอร์ก็ผลักประตูเข้ามาเสียก่อน
“มิสเตอร์ มีลูกค้ามาครับ”
คาลอสและเอริคหันมองหน้ากันนิ่ง ผู้เป็นเจ้าของสถานที่แอบมองลูกค้าวีไอพีสองคนแรกที่เข้ามาในร้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีสัญญาณห้ามปรามส่งกลับมาจึงหันไปสั่งกับลูกน้องของตน
“พาเข้ามา”
“ครับ มิสเตอร์”
เวลานี้กระท่อมไม้หลังเล็กดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมีชายตัวโตสี่คนมาอยู่รวมกัน เมื่อลูกค้าที่มาใหม่เห็นว่าใครอยู่ในร้านก่อนหน้าตนก็ส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาอย่างดัง
“คืนนี้คุณชายก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ” คาลอสหางคิ้วกระตุก ไม่สบอารมณ์กับคำที่ใช้เรียก “มีตัวแถมเป็นนักล่าแวมไพร์ซะด้วย”
“สวัสดีฮิวโก้ ร้านขายเลือดของมิสเตอร์ยินดีต้อนรับ” พ่อค้าเอ่ยทักทายต้อนรับเหมือนอย่างที่เคยทำเสมอมา
มิสเตอร์รู้ดีว่าลูกค้าบางคนที่บังเอิญเจอกันที่นี่อาจมีเขม่นกันอยู่บ้าง แต่ตัวเขาเองเป็นพ่อค้า มีหน้าที่เพียงค้าขาย รับเงินมาและให้บางสิ่งกลับไปเป็นของแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่การเอาใจลูกค้าคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการบริการลูกค้าทุกคนให้เท่าเทียมกันและเหมาะสมต่างหาก
“ไงมิสเตอร์ ของฉันขอเท่ากับครั้งก่อน ยังราคาเดิมหรือเปล่า”
คนเป็นพ่อค้าหัวเราะให้กับคำพูดนั้น “คุณก็ช่างล้อผมเล่นนะฮิวโก้ ถึงราคาแพงขึ้นเป็นเท่าตัวคุณก็ซื้ออยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
เหล่าแวมไพร์ที่มาทำการซื้อขายเลือดที่นี่ส่วนมากเป็นสมาชิกจากตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวย เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาไม่สามารถออกล่าได้ด้วยตนเองส่งผลให้จำเป็นต้องมาซื้อเลือดที่มีราคาสูงในตลาดมืดกับพ่อค้าอย่างมิสเตอร์ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องแลก…
เงิน กับ ชีวิต
ผู้คนที่ยอมทิ้งชีวิตแบบมนุษย์แล้วเปลี่ยนตนให้เป็นอมตะ ยังไงก็ต้องเลือกรักษาชีวิตอยู่แล้ว…ถูกไหม?
“แต่ต้องขอโทษด้วย เกรงว่าผมคงหาให้คุณได้ไม่เท่าครั้งก่อน ร้านคาเฟ่คนตายได้ทำการซื้อขายก่อนคุณเข้ามาไม่นานนี้เอง”
จบประโยคนั้นฮิวโก้ก็หันไปมองชายสองคนที่นั่งเงียบ ๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระท่อมไม้ทันที ร่องรอยแห่งความโกรธฉายชัดขึ้นในแววตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับการปรากฏของคมเขี้ยวขาว
ลูกน้องคนหนึ่งของมิสเตอร์ที่หลบซ่อนอยู่ภายในกระท่อมไม้หลังเล็กเผยตัวออกมา เตรียมเข้าไปหยุดการกระทำที่อาจเกิดขึ้นของฮิวโก้ทว่ามิสเตอร์ก็ยกมือขึ้นหยุดเอาไว้เสียก่อน
“คุณลืมกฎในการมาที่นี่ไปแล้วเหรอ ฮิวโก้”
“…”
สถานที่แห่งนี้มีกฎอยู่เพียงข้อเดียวที่ลูกค้าทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด คือห้ามมีการทะเลาะวิวาทกันภายในร้านเด็ดขาด
“จ่ายให้ได้มากกว่าที่พวกฉันจ่ายสิ แล้วจะยอมแบ่งให้ก็ได้”
“!!!” คนที่โดนเอริคหยามถึงกับเลือดขึ้นหน้า ตั้งท่าจะกระโจนเข้าใส่แต่ก็ถูกลูกน้องของมิสเตอร์ล็อกตัวเอาไว้ได้ทันท่วงที
“นายไปยั่วโมโหเขาทำไม” คาลอสบ่นคนข้างกาย
“ฉันเกลียดพวกแวมไพร์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วพาลใส่คนอื่นไปทั่ว”
“แก…!”
ฮิวโก้ดูเดือดดาลมากกว่าเดิม ก่อนสถานการณ์จะวุ่นวายไปมากกว่านี้ ชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเข้าไปหามิสเตอร์พร้อมบอก
“การซื้อขายของเราเรียบร้อยแล้วใช่ไหม พวกฉันจะได้กลับ”
“เชิญ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
“ขอบคุณ” เอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วหันไปหาคนที่กำลังโดนฮิวโก้จ้องมองอยู่อย่างไม่วางตา “กลับกันได้แล้ว”
เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นแล้วเดินเลยผ่านมาโดยไม่ได้เกรงกลัวต่อท่าทางของแวมไพร์ที่หมายจะทำร้ายตนเลยแม้แต่น้อย ในตอนที่ชายทั้งสองกำลังก้าวออกจากกระท่อมไม้หลังเล็กไปก็ไม่วายมีเสียงกล่าวว่าดังไล่หลังมา
“ที่พวกเราต้องใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบากแบบนี้ทั้งหมดมันเป็นเพราะนาย คาลอส เราออกล่าไม่ได้ แถมยังต้องเสียเงินมากมายมาซื้อเลือดกินก็เพราะไอ้กฎบ้า ๆ แล้วก็พวกพันธมิตรของนาย!”
“…”
“สักวันนายจะต้องชดใช้!”
“น่ารำคาญ…” เอริคบ่นออกมาแผ่วเบา
คาลอสทำเพียงรับฟังคำกล่าวว่าโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ทั้งถ้อยคำว่าร้ายและสายตาของแวมไพร์บางกลุ่มที่เหมือนอยากจะเผากันให้ตายเป็นสิ่งที่เขาได้รับมันมาตลอดตั้งแต่ที่เริ่มใช้ชีวิตแบบนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเชื่อมั่นและมั่นคงในจุดยืนของตนว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และแวมไพร์
คาลอสไม่ได้ผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเขา
เควินตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน เมื่อลงบันไดมาจากชั้นสองก็พบเข้ากับเจ้าของร้านที่กำลังนั่งบรรเพลงเปียโนอยู่ตรงลานยกสูง สำหรับอาหารเช้าในวันนี้หนุ่มผมดำเลือกทำเป็นข้าวผัดหมูที่เขานึกอยากกินมาหลายวัน ไม่ลืมที่จะทำเผื่อไว้ให้คาลอสด้วย ทว่าอีกคนกลับปฏิเสธและบอกว่าขอเป็นเครื่องดื่มอย่างช็อกโกแลตร้อนก็พอ เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มนึกแปลกใจ เขานึกว่าคนอย่างคาลอสจะเป็นพวกที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟรองท้องยามเช้าเสียอีก แต่อีกคนกลับชอบดื่มอะไรอุ่น ๆ ที่มีรสสัมผัสขมปนหวานที่ปลายลิ้นอย่างช็อกโกแลตร้อน
กลิ่นของข้าวที่ผัดในกระทะ เครื่องปรุง ไข่ และเนื้อหมูส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอคลุ้งไปทั่วโซนห้องครัวด้านหลังร้าน อาจเพราะความคิดถึง เควินจึงเลือกหยิบเมนูโปรดที่แม่ของเขาชอบทำให้กินตั้งแต่เด็กมาเป็นอาหารในมื้อนี้ ปกติแล้วชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งนัก แต่เขามีความมั่นใจในรสฝีมือข้าวผัดของตนเองเป็นอย่างมาก จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะทำเผื่อไว้ให้คาลอสได้ลองทาน เจ้าตัวเลือกที่จะแบ่งเอาอาหารบางส่วนใส่กล่องเพื่อนำไปให้แมรี่และจอร์จได้ลองชิม
นับเป็นวันแรกในรอบหนึ่งเดือนสิบห้าวันตั้งแต่ที่เควินเดินทางมายังเมืองเก่าแก่อายุหลายร้อยปีแห่งนี้ที่ทุกพื้นที่บริเวณลานกลางเมืองครึกครื้นกว่าที่เคย บรรยากาศวันแรกของการจัดงานประจำปีเป็นไปได้ด้วยดี ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส มีสายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย ราวกับเป็นการเอ่ยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่นาน ๆ ครั้งจะแวะเวียนมาที่นี่
เควินไม่ได้ติดใจกับที่ตั้งของร้านคาเฟ่คนตายซึ่งอยู่ในตรอกซอยห่างไกลจากผู้คนอีกแล้ว แม้พื้นที่ตรงบริเวณลานกลางเมืองจะคึกคักแค่ไหน แต่ไม่ใช่กับที่นี่
ประโยคที่ว่า ‘เขากำลังทำงานอยู่ที่ร้านอาหารดินเนอร์ลับ’ ถูกหยิบยกมาใช้เพื่อปลอบใจตนเอง ถึงอย่างไรก็ยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงวันงานประจำปีที่เอริคบอกว่าจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมากมาย
ระยะเวลาในการจัดงานประจำปีของกรีฟทาวน์สิริรวมสิบห้าวันซึ่งกินเวลาในช่วงครึ่งเดือนหลังทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นงานที่สามารถนำรายได้เข้ามาสู่ชาวเมืองได้มากที่สุดในรอบปี โรงแรมเพียงแห่งเดียวของเมืองที่เควินได้เข้าพักในคืนแรกที่มาถึงถูกจองเต็มทุกห้องจนถึงวันสุดท้ายของการจัดงาน ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่มาเป็นกลุ่มและเข้าพักที่โรงแรมอย่างต่ำสองถึงสามวัน
เควินแต่งกายด้วยชุดเรียบง่าย ร่างกายท่อนบนถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนยาวคอเต่าสีขาวตัวบาง สวมทับด้วยสเวตเตอร์สีครีมตกแต่งลายเส้นสีน้ำเงิน ชายเสื้อพับเก็บเข้าไปในกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม พร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใจ ผิวกายขาวเนียนตัดกับเรือนผมนิ่มสีดำสนิท ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกที่ถูกประดับด้วยเสื้อผ้าเหล่านั้นส่งผลให้ชายหนุ่มดูดีสะดุดตาจนน่าเหลือเชื่อ
ระหว่างทางที่กำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่งก็มีเสียงเรียกดังทักขึ้นจากข้างหลัง
“เฮ้ เควิน”
“สวัสดีครับเจ้าหน้าที่ตำรวจโทนี่”
“ไม่เอาน่า ฉันบอกว่าให้เรียกแค่โทนี่ก็พอ”
“สวัสดีครับโทนี่ ออกมาทำอะไร ไม่ประจำอยู่ที่สถานีเหรอครับ”
“ไม่ล่ะ ฝากงานไว้กับเจ้าหน้าที่อีกคนเรียบร้อยแล้ว ส่วนฉันออกมาเดินรอบ ๆ เมืองเผื่อว่ามีนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือน่ะ”
เควินตอบรับแผ่วเบาในลำคอ “วันแรกของการจัดงานคนเยอะดีนะครับ”
“อืม เหมือนกรีฟทาวน์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเลยล่ะ…แต่คนยิ่งเยอะก็ยิ่งต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น” ท้ายประโยคเจ้าหน้าที่ตำรวจลดเสียงลงจนแทบจะเป็นการพึมพำกับตนเอง
“…”
“ว่าแต่นายกำลังจะไปไหน นั่นใช่กล่องอาหารที่ทำเองหรือเปล่า” โทนี่ชี้นิ้วถามถึงของในมือที่ชายหนุ่มกำลังถือไว้
“อาหารที่ผมทำเองน่ะครับ ว่าจะเอาไปให้แมรี่ช่วยชิมสักหน่อย”
“โอ้ ดีเลย ฉันเพิ่งแวะร้านของแมรี่เมื่อกี้ ลูกค้าเยอะจนแน่นร้านเลยล่ะ”
“จริงเหรอครับ ดีจัง…”
“นายเป็นยังไงบ้าง ปรับตัวได้หรือยัง งานที่ร้านไม่หนักเกินไปใช่ไหม” คนโตกว่าถามไถ่ด้วยอยากจะติดตามสารทุกข์สุกดิบและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง ตั้งแต่วันแรกที่ชายหนุ่มเข้าไปขอแผ่นพับข้อมูลเพิ่มเติมของเมืองที่สถานีตำรวจและบอกว่าจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่สักพักก็เป็นเขาเองที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำแก่หนุ่มวัยรุ่น
“ผมสบายดีครับ เริ่มคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้นแล้ว งานที่ร้านก็ไม่ได้หนักหนาอะไร อีกอย่าง…เอริคกับเจ้าของร้านก็ใจดีกับผมมาก”
เมื่อได้ฟังจากปากผู้อาศัยคนใหม่ของกรีฟทาวน์ว่าไม่ได้มีเรื่องเดือดร้อน โทนี่ก็ยิ้มโล่งใจออกมา “นายมีความสุขกับที่นี่ฉันก็ดีใจ ฝากบอกคาลอสด้วยว่าว่าง ๆ ฉันจะแวะเข้าไปหาที่ร้าน”
“ได้ครับ ขอให้มีวันที่ดีนะครับ”
“เช่นกัน เควิน ขอให้มีวันที่ดี”
เจ้าหน้าที่ตำรวจโทนี่เดินผละออกไป บทสนทนาของคนทั้งสองจบลงเพียงเท่านั้น
เดินตามทางเรื่อยไปอีกไม่ไกลเควินก็มาถึงร้านอาหารของแมรี่ จริงอย่างที่โทนี่บอก เวลานี้มีลูกค้าเยอะจนแน่นร้าน ที่นั่งทั้งโซนด้านในและด้านนอกร้านถูกจับจองเกือบทั้งหมด ดวงตาคู่สวยมองเลยผ่านบานกระจกใสเข้าไปในร้านก็พบกับจอร์จกำลังง่วนกับการปรุงอาหารอยู่ที่ครัวด้วยรอยยิ้ม ส่วนหญิงสูงวัยผู้เป็นภรรยาก็เดินถือจานอาหารออกมาเสิร์ฟให้ลูกค้า
เควินไม่ได้เอ่ยเรียกเพราะเห็นว่าเธอกำลังตั้งใจอย่างมากกับสิ่งที่ทำอยู่ เขาทำเพียงแค่คืนอยู่ด้านนอกร้านและจ้องมองเข้าไปด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ทว่าไม่นานแมรี่ก็สังเกตเห็นเขาและเดินเข้ามาหา ชายหนุ่มจึงได้เอ่ยทักทายอีกคนเป็นประโยคแรกของวัน
“ลูกค้าเยอะจังเลยนะครับ แบบนี้จะมีที่ว่างให้ผมได้นั่งกินอาหารอร่อย ๆ ฝีมือคุณบ้างไหมน้า”
“โธ่…เควิน” แมรี่ทำเสียงโอดครวญให้กับประโยคหยอกล้อ
คนพูดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จากนั้นชูกล่องใส่อาหารในมือขึ้น “เมื่อเช้าผมทำอาหารเองน่ะครับ อยากให้คุณกับจอร์จลองชิมดูว่ารสชาติใช้ได้หรือเปล่า”
“ได้สิ นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรจะอยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกันเลยก็ได้นะ”
“ได้เหรอครับ”
“แน่นอน เควิน ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ”
“…”
เควินชะงักนิ่งกับถ้อยคำและสายตาอ่อนโยนจากหญิงสูงวัยที่ส่งมาให้กัน เพียงเท่านั้นภายในใจก็อุ่นวาบ ความรู้สึกดีตีขึ้นเต็มอก ร้อนไปถึงกระบอกตาสองข้างที่เริ่มมีหยาดน้ำสีใสเอ่อคลอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลบสายตา กลั้นหยดน้ำตาไว้ไม่ให้รินไหลเพราะนั่นอาจทำให้หญิงสูงวัยตรงหน้าเป็นกังวล ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนก่อนจะตอบออกมาแผ่วเบา
“ถ้างั้นผมขออยู่กินมื้อเที่ยงด้วยคนนะครับ”
เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายคล้อย หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกับสองสามีภรรยาเสร็จเควินก็แวะไปหาคาร่า ร้านขายดอกไม้ตรงลานกลางเมืองของหญิงสาวมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาชมความสดใสของดอกไม้นานาพันธุ์ ส่วนร้านบาร์ของสเตฟานนั้นยังไม่มีคนเข้าไปใช้บริการมากนัก ทว่าพอพระอาทิตย์บนท้องฟ้าเริ่มลาลับไป แสงไฟจากป้ายที่ติดไว้ตรงหน้าร้านส่องสว่างเรียกนักท่องเที่ยวให้เข้าไปผ่อนคลายหาความสนุกได้เป็นอย่างดี และส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่เข้ามาเพื่อรอเวลาไปร่วมทัวร์ที่บ้านผีสิง
“ผมได้ยินมาว่านักท่องเที่ยวจองโรงแรมกันเต็มทุกห้องจนถึงวันสุดท้ายของการจัดงานประจำปีเลย ทุกคืนจากนี้ไปร้านของคุณคงคึกคักน่าดู”
“คนจากเมืองอื่นเขาชอบมาทัวร์บ้านผีสิงที่นี่น่ะ ฉันเคยเห็นคลิปที่นักท่องเที่ยวมาทัวร์แล้วถ่ายลงอินเทอร์เน็ตด้วยนะ”
“จริงสิ สเตฟาน ผมมีเรื่องสงสัย เมื่อครั้งก่อนตอนที่ผมไปช่วยเอริคจัดสถานที่ที่นั่น มีคนบอกผมว่าประวัติของบ้านหลังนั้นน่ากลัวมาก คุณบอกผมได้ไหมว่ามันมีประวัติความเป็นมายังไง”
“ความจริงฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก แต่ได้ยินเขาเล่ากันมาว่ามีคนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากในบ้าน”
“เรื่องจริงเหรอครับ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันเองก็ยังไม่เคยไปทัวร์ที่บ้านผีสิงสักทีเลย”
“เห็นหน้าตาดุ ๆ แบบนี้แต่เขากลัวผีขึ้นสมองเลยล่ะ”
“เฮ้ คาร่า” สเตฟานหันไปท้วงหญิงสาวที่มานั่งเล่นและดื่มค็อกเทลที่อยู่ที่ร้านทันทีที่จบประโยค “ฉันไม่ได้กลัวขนาดนั้นสักหน่อย”
“นายอย่าพูดโกหกต่อหน้าเควินสิ”
“ฉันไม่ได้โกหก”
“งั้นเหรอ”
“ใช่ ...นี่! เธอแกล้งฉันอีกแล้วนะ”
เควินรีบโพล่งแทรกขึ้นมาก่อนที่การหยอกล้อกันของคนทั้งสองจะกลายเป็นการทะเลาะ “จะกลัวก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ ผมเองก็กลัวผีเหมือนกัน”
“นายไม่ต้องไปพูดปลอบใจเขาหรอกน่า”
“ผมพูดจริง ๆ นะครับ”
“นายนี่เป็นเด็กดีจริง ๆ เลย” สเตฟานหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแล้ววาดแขนมากอดคอชายหนุ่มไว้หลวม ๆ “วันไหนที่นายว่างเราลองไปทัวร์ที่บ้านผีสิงกันดูดีไหม”
“...เป็นความคิดที่ดีนะครับ แต่ตอนกลางคืนผมต้องทำงานที่ร้านเนี่ยสิ”
“จริงด้วย... น่าเสียดาย เธอล่ะคาร่า สนใจไปกับฉันไหม”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อยถูกกับที่มืดเท่าไร”
“กลัวก็บอกมาเถอะน่า ฉันไม่ล้อเธอเหมือนที่เธอล้อฉันหรอก”
“บอกว่าไม่ได้กลัว...!” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าของร้านบาร์และเจ้าของร้านดอกไม้ถกเถียงกันไปมา
ถ้ามองจากสายตาคนนอกอาจจะคิดว่าทั้งสองเป็นคู่กัดกัน แต่หนุ่มวัยรุ่นสัมผัสได้ถึงมวลความรู้สึกสีสดใสเบาบางที่ปกคลุมรอบตัวของพวกเขาเวลาที่สนทนากัน
แบบนี้มันแอบชอบกันอยู่ชัด ๆ
เควินลอบยิ้มกับตัวเอง เขารู้สึกยินดีเสมอเวลาที่คนรอบข้างมีความรักหรือได้รับความรักจากใครสักคน ...อาจเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ภายในใจลึก ๆ แล้วเขาเองก็อยากได้รับมันมาโดยตลอดเช่นกัน
TBC
#คาเฟ่คนตาย
Talk
อ่านทวนไม่กี่รอบ เจอคำผิดคำตกบอกได้นะคะ
อยากได้ฟีดแบคมากเลยค่ะ! ถ้าชอบหรืออยากติชมก็อย่าลืมบอกให้เรารู้นะคะ!
See you next chapter
Comments (0)