สองขายาวของเควินก้าวลงบันไดมาจากชั้นสอง เมื่อผลักประตูเข้าไปยังโซนหน้าร้านก็ต้องชะงัก สายตาเห็นว่าชายคนที่กดเขาเข้ากับกำแพงเมื่อเช้ายังคงนั่งอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม เขาถอนหายใจออกมา คำพูดของคาลอสตอนก่อนที่จะขึ้นห้องไปเตรียมตัวเพื่อออกไปซื้อวัตถุดิบตามคำไหว้วานของเอริคย้อนเข้ามาในหัว

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าการออกไปข้างนอกของเขาในวันนี้ต้องแปลกไปจากเดิมอย่างแน่นอน และไม่มีทางจะเขาจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีทางที่เขาจะออกจากร้านไปโดยไม่ให้อีกคนรู้ตัว

“มาแล้วเหรอ” เจ้าของร้านที่กำลังละเมียดละไมเครื่องดื่มในมือทักขึ้นพร้อมหันมามอง

เควินค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า เอ่ยถามเพื่อเน้นย้ำ “คุณจะไปซื้อของกับผมจริงเหรอครับ”

“ฉันบอกไปแล้วว่าอยากทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ทำไม นายไม่สะดวกงั้นเหรอ”

คนผมดำอึกอัก ไม่กล้าตอบความจริงออกไป “เปล่าครับ”

“...”

ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นเพิ่มเติมนอกจากนั้น เควินย้ายตัวเองไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านเพื่อรอให้คาลอสจัดการกับเครื่องดื่มของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองออกจากร้านในช่วงสาย ๆ และเลือกใช้วิธีเดินเท้าเพื่อไปทำธุระในวันนี้

สองร่างเดินข้างกันไปตามทาง จากร้านคาเฟ่คนตายไปจนถึงร้านค้าค่อนข้างไกลอยู่พอสมควร เควินรู้สึกดีที่อย่างน้อยอากาศก็เย็นสบาย มีสายลมพัดเอื่อยพอให้ต้นไม้และใบหญ้าพลิ้วไหว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เงียบเหงานั่นก็คือเสียงของชายผมบลอนด์ที่ดังเจื้อยแจ้วไม่หยุดตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากร้าน คำถามและคำพูดชวนต่อบทสนทนามากมายถูกเอ่ยออกมาจากปากคาลอส แต่ทั้งหมดล้วนไม่ได้รับการตอบรับจากเควินเลยแม้แต่น้อย ในบางครั้งชายหนุ่มก็พยายามเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างกันให้มากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเมื่อหันกลับไปมองทีไรร่างก็ชายอีกคนก็อยู่ห่างกันเพียงสองก้าวเสมอ

ร้านขายผักสดและผลไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลานกลางเมืองเป็นจุดหมายแรกของพวกเขา เควินดันประตูเข้าไปแล้วทักทายชายร่างท้วมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์คิดเงินด้วยรอยยิ้มสดใส มือล้วงเข้าไปกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษที่จดลิสต์รายการของที่ต้องซื้อในวันนี้ออกมา เดินหาวัตถุดิบตามรายการอย่างใจเย็น

เอริคบอกกับเขาเสมอว่าให้พิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบเพื่อไปปรุงอาหารให้คนอื่นได้กิน เพราะบางครั้งความสุขเล็ก ๆ อย่างการได้กินอาหารที่สดใหม่และอร่อยก็สามารถทำให้ใครหลาย ๆ คนมีช่วงเวลาที่ดีได้ ผักสีเขียวหลายประเภทถูกคัดสรรและหยิบยกมาวางใส่ไว้ในตะกร้า เควินใช้เวลาในการเลือกวัตถุดิบต่าง ๆ โดยพยายามไม่สนใจคาลอสที่จนตอนนี้ก็ยังพูดคุยกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวอย่างไม่ลดละ

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” ชายหนุ่มได้ยินคำถามนั้นอยู่เต็มสองรูหูแต่ก็เลือกที่จะเมิน “เฮ้ ฉันพูดกับนายอยู่นะ”

ถึงแม้เควินจะพอเบาใจได้บ้างว่าชายเจ้าของร้านอาจไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไร จากการที่ชายผมบลอนด์ชวนเขาคุยมาตลอดทางทำให้รู้ว่าอีกคนอยากที่จะทำความรู้จักกันเพิ่มมากขึ้นจริง ๆ แต่เหตุการณ์การเข้าประชิดตัวเมื่อเช้านับว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรงสำหรับเควิน ลึก ๆ ในใจชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าที่จะยุ่งเกี่ยวกับคาลอสสักเท่าไร

คาลอสเป็นคนน่ากลัว โดยเฉพาะกำลังกายที่แข็งแกร่ง

เควินยังคงเดินเลือกซื้อของต่อไปด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น คนผมบลอนด์เปลี่ยนวิธีการจากที่พูดคุยด้วยเพียงอย่างเดียว กลับกลายเป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรัศมีการมองเห็น คาลอสยื่นหน้าเข้ามาหาชายหนุ่มจากข้างหลัง จ้องมองเสี้ยวหน้าของคนที่พยายามหลบสายตาอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้คนถูกจ้องยิ่งกระวนกระวาย ทำทีเป็นเดินเลี่ยงออกไปเพื่อถามราคากับชายคนขาย แต่สองเท้ายังไม่ทันก้าวถึงเคาน์เตอร์คิดเงินก็มีเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน

“หันมามองฉันเดี๋ยวนี้”

“...”

เควินหยุดชะงักทันที คำพูดและน้ำเสียงที่ส่งมานั้นราวกับมีอำนาจมหาศาลที่ทำให้คนฟังต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนผมดำกลั้นใจหันหลังกลับไปและช้อนสายตาขึ้นมองคาลอสอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“อะ อะไรเหรอครับ”

ร่างสูงใหญ่สาวเท้าก้าวเข้ามาหา ใบหน้านิ่งเรียบ คาลอสใช้เพียงดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลทองจ้องมองไปยังเควิน ชายหนุ่มทำใจดีสู้เสือ มองสบอย่างไม่หลบตา ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเหลือเพียงหนึ่งช่วงศอกเท่านั้น

“ฉันถามว่าไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม จากเรื่องเมื่อเช้า”

เควินนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในตอนที่เอริคเข้ามาช่วยพยุงเขาที่ยืนแทบไม่ไหว ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มโดยเจ้าตัว ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบออกไปเสียงเบา

“ผมสบายดี” ...แค่อึดอัดและรู้สึกเจ็บตรงบริเวณลำคอเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มต่อประโยคหลังกับตัวเองในใจ พูดเอาไว้แค่นั้นแล้วก้มหัวเล็กน้อย ขอตัวหันหลังเดินออกไปเลือกซื้อของต่อ คาลอสไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดให้มากความ เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกได้ว่าการกระทำของตนอาจทำให้ใครอีกคนต้องเจ็บตัว ยิ่งกับเควินที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาด้วยแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าสบายดี เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปแย้ง

เควินเลือกปฏิเสธความช่วยเหลือของคาลอสแล้วหอบหิ้วถุงของมาถือไว้เองเต็มสองมือ จุดหมายต่อไปคือร้านขายเนื้อสัตว์ที่ร้านคาเฟ่คนตายเลือกมาใช้บริการจนเป็นลูกค้าประจำมาตลอดหลายปี

“เอริคบอกฉันว่านายย้ายมาจากเมืองอื่น” เป็นอีกครั้งที่เควินต้องถอนหายใจออกมาเพราะคำถามแบบเดิม ๆ ที่ได้รับ เรียวขายาวสองคู่ยังเดินข้างกันไปตามตรอกซอยที่เงียบงันซึ่งเป็นทางลัดที่จะไปโผล่ตรงลานกลางเมือง “ถามเหตุผลได้หรือเปล่า”

“ผมแค่อยากหาที่สงบ ๆ เพื่อพักผ่อนน่ะครับ”

“หืม...”

ในตอนที่กำลังเดินก้มหน้าพลางใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง เควินก็ต้องชะงักกึกเมื่ออยู่ ๆ คาลอสก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า “...!”

“ไม่กลัวเหรอ”

“คุณ...หมายความว่ายังไง”

ชายทั้งสองยืนประจันหน้ากัน หนุ่มผมสีดำที่มีส่วนสูงอยู่แค่ระดับสายตาของคาลอสเป็นฝ่ายที่ต้องเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาคม เป็นครั้งแรกที่เควินได้มีโอกาสสำรวจใบหน้าอีกคนชัด ๆ คาลอสเป็นชายหนุ่มชาวยุโรปที่มีร่างกายสูงใหญ่ กล้ามเนื้อหนั่นแน่นเต็มไปด้วยความแข็งแรง ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ไม่มีริ้วรอยของความเหี่ยวย่น เส้นผมสีบลอนด์สว่างเข้ากันกับนัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่สวย ดูยังไงชายคนนี้ก็น่าจะมีอายุห่างจากเขาไม่มาก

“นายก็น่าจะรู้ถึงชื่อเสียงของกรีฟทาวน์ มันไม่ใช่สถานที่ที่น่าอาศัยอยู่ขนาดนั้นหรอกนะ”

“ผมไม่แน่ใจว่าคุณหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ ถ้าเรื่องความเก่าโทรมและความน่ากลัวของเมืองล่ะก็ผมยอมรับ แต่คนที่นี่ใจดีกับผมมาก นั่นคือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด”

“งั้นเหรอ” เส้นทางข้างหน้าเริ่มมีแสงสว่างและเสียงจอแจดังขึ้น ปลายทางของตรอกซอยมีผู้คนเดินผ่านไปมา แสดงว่าเขาทั้งสองใกล้จะถึงลานกลางเมืองแล้ว “ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งรีบหนีออกจากเมืองไปก็แล้วกัน”

เควินขมวดคิ้ว พยายามคิดหาความหมายของคำพูดนั้นแต่ก็ได้กลับมาเพียงความสงสัยและไร้คำตอบเหมือนอย่างเคย ระยะห่างของปลายทางตรอกซอยนี้ลดลงเรื่อย ๆ สองขาของชายหนุ่มยังคงก้าวเดินต่อไป ผิดกับคาลอสที่หยุดลงกับที่ ทิ้งห่างพนักงานคนใหม่ของร้าน เมื่อรู้ตัวว่าคนช่างพูดไม่ได้เดินตามมาเควินจึงหันหลังกลับไปมองพลางเลิกคิ้วขึ้นส่งไปแทนคำถาม

“ฉันคงต้องขอตัวก่อน” คาลอสเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ

หนุ่มผมดำไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่พยักหน้าให้แล้วเดินออกไปยังปลายทางที่มีแสงสว่าง เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทองมองแผ่นหลังที่เดินลับหายไป ฉับพลันบรรยากาศในตรอกซอยนั้นก็ดูจะมืดครึ้มลงถนัดตา รังสีความกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายแวมไพร์หนุ่ม เสียงฝีเท้าดังไล่มาจากทางด้านหลัง

“ตามฉันมาทำไม”

ไม่ต้องให้ผู้มาใหม่เอ่ยขานชื่อเขาก็รู้ว่าเป็นใคร คาลอสค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ในเงามืดที่มุมหนึ่งของตรอกซอยมีร่างของชายนามว่าดีนก้าวออกมาจากตรงนั้น โน้มตัวลงทำความเคารพแล้วจึงเอ่ย

“ขอโทษด้วยครับ แต่มีเรื่องที่ต้องให้คุณไปจัดการ”

“นายจำเป็นต้องมาหาฉันถึงที่เลยหรือไง แล้วคนอื่นอยู่ที่ไหน”

“เรื่องนี้คุณต้องไปจัดการด้วยตัวเองเท่านั้น คาลอส”

ราวกับกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก มือใหญ่ยกขึ้นเสยผม พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง

ให้มันได้อย่างนี้สิ เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานก็ต้องมาจัดการเรื่องยุ่งยากพวกนี้อีก

“นำทางไป”

 

 

 

แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ในยามกลางวันอาจทำให้ใครบางคนตาพร่า แต่ไม่ใช่กับสถานที่แห่งนี้...

ณ ห้องใต้ดินที่กลิ่นสนิมและความอับลอยฟุ้งปะปนกันอยู่ในมวลอากาศ มีเพียงแสงสว่างอันน้อยนิดจากคบเพลิงไฟที่ติดอยู่ตามทาง ภายในเป็นกำแพงที่ถูกฉาบด้วยอิฐปูนไร้ซึ่งรอยต่อและช่องว่างในการติดต่อกับโลกภายนอก บริเวณใจกลางมีร่างของอมนุษย์ถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กตอกตรึงติดกับแท่นรูปไม้กางเขน สภาพยับเยินจนแทบดูไม่ได้ บนร่างกายมีรอยแผลที่โดนกรีดอยู่ทั่วลำตัว

ชายที่ถูกพันธนาการไว้เงยหน้าขึ้นมองด้วยความยากลำบากเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของใครสักคน แวมไพร์ผมสีบลอนด์สาวเท้าเข้าไปใกล้ จ้องมองร่างนั้นด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“พวกนอกรีตอีกแล้วเหรอ”

“ครับ เราจับมันได้ในป่าท้ายเมืองตอนที่มันกำลังจะทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง”

บาดแผลตามร่างกายของชายที่ถูกล่ามไว้แค่มองดูก็รับรู้ได้ว่าคงถูกพันธมิตรของเขาลงโทษมาหนักพอสมควร คาลอสหันกลับไปมองหน้าดีน ถามถึงผู้หญิงโชคร้ายที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุด

“เธอเป็นยังไงบ้าง”

“ปลอดภัยดีครับ เราเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน อิซาเบลลบความทรงจำแล้วพาเธอออกจากเมืองไปเรียบร้อยแล้ว”

“แสดงว่าหลงเข้ามาสินะ พวกนายไม่ได้ปิดป่าเอาไว้หรือไง”

ดีนอึกอัก หลุบตาลงต่ำ “ช่วงที่ผ่านมาพวกนอกรีตเริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้น เราเลยต้องแบ่งคนไปจัดการ...”

คาลอสเห็นท่าทางแบบนั้นจากลูกน้องคนสนิทของตัวเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างหัวเสีย

ตลอดระยะเวลาสามปีที่หลับใหลในการจำศีลมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย หลายสิ่งก็เป็นเรื่องที่แวมไพร์หนุ่มยังไม่ได้รับรายงานให้ทราบ เพียงวันแรกของการฟื้นคืนเขาก็ต้องมาจัดการเรื่องยุ่งยากพวกนี้เสียแล้ว ชายร่างสูงเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับคนที่ถูกล่ามโซ่ตรวนซึ่งเป็นสาเหตุในการโดนเรียกตัวของเขา ในฐานะสายเลือดต้นตระกูลบริสุทธิ์ของเหล่าแวมไพร์ คาลอสพอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดเรื่องทุกอย่างถึงขึ้นตรงกับเขา โดยเฉพาะการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ อย่างเช่นเรื่องของแวมไพร์นอกรีตตนนี้ที่กำลังถูกคาลอสเอาไม้ปลายแหลมจ่อที่บริเวณลำตัว

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองออกแรงเพียงเล็กน้อยลิ่มไม้ก็ถูกกดตอกลงไปจนเกือบมิดด้าม

“อ๊ากกก!!!”

เสียงกรีดร้องดังลั่นทั่วห้องใต้ดิน แต่ไม่มีทางที่มันจะเล็ดลอดออกไปภายนอกให้ผู้หวังดีได้เข้ามาหยิบยื่นความช่วยเหลือ ร่างที่อ่อนแรงและเต็มไปด้วยบาดแผลดิ้นทุรนทุราย สายตาแฝงความเจ็บปวดและเคียดแค้นจ้องเขม็งไปยังผู้กระทำ

“สวัสดี”

“คา...คาลอส...”

คนถูกเรียกยังคงกดด้ามไม้คาไว้อยู่แบบนั้น ไม่สนใจแม้เสียงร้องของชายที่ร่างกายถูกลิ่มไม้ฝังอยู่จะดังรบกวนโสตประสาท ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงลิ่มไม้และเขาก็ไม่ได้ปักมันลงไปกลางอก สิ่งที่ส่งผลได้ไม่ใช่ความตาย แต่มีเพียงความทรมานให้ได้ร้องขอชีวิตก็เท่านั้น

ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก ช่างดูต่างกันลิบลับกับแววตาที่มีต่อพวกนอกรีตตรงหน้า คาลอสจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ถูกทรมานแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“อยากได้รับเกียรติในการสนทนากับฉันหน่อยไหม”

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย