11 ตอน Chapter 10
โดย Marin
ภายในห้องทำงานทางปีกซ้ายของบ้านหลังหนึ่งมีเพียงแสงสว่างรำไรเล็ดลอดเข้ามา ผ้าม่านถูกตรึงปิดหน้าต่างไว้เพื่อให้ภายในห้องมืดมิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผนังด้านหนึ่งถูกเจาะเข้าไปและแทนที่ด้วยชั้นหนังสือเนื้อไม้สูงถึงเพดาน บรรจุเล่มหนังสืออัดแน่นลงไปจนละลานตา อีกฝั่งหนึ่งตรงข้ามกันมีโซฟาตัวยาววางไว้เพื่อใช้รับรองแขก ใจกลางห้องมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่พร้อมเอกสารมากมายถูกวางทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง
ผู้ที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากแวมไพร์หนุ่มอย่างคาลอสที่จัดการงานเอกสารอยู่ภายในห้องนี้ติดต่อกันมาตลอดหลายชั่วโมง
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หลับใหลช่างเป็นช่วงที่แสนสั้น ระหว่างนั้น ดีน คนสนิทที่ทำงานร่วมกับเขามาตลอดหลายร้อยปีรับภาระหน้าที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ทั้งหมด แม้ธุระที่ต้องดำเนินการแทนจะมีมากมายจนบางครั้งดีนอยากจะไปเปิดฝาโลงของผู้เป็นนายแล้วดึงด้ามไม้ออกเพื่อให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันทำงานเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ถึงอย่างไรแวมไพร์ผู้นั้นก็เป็นคนที่เขายังต้องให้ความเคารพอยู่เสมอ แม้ตนจะอายุมากกว่าโขก็ตาม ...มันเป็นแบบนั้นเสมอมา
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองปิดเปลือกตาพักได้เพียงครู่เดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเอ่ยขออนุญาตจากคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องเข้ามาสะสางงานในครั้งนี้
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามา” คาลอสตอบกลับไปทั้งที่ยังหลับตาและนั่งหันหลังให้กับประตูอยู่
เมื่อดีนผลักประตูเข้ามาก็ต้องชะงักกับสภาพแผ่นเอกสารที่วางเกลื่อนกลาดอยู่จนทั่ว เขาส่ายหัวอย่างหน่าย ๆ สองขาก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานแล้ววางแก้วเครื่องดื่มอุ่นร้อนลงบนนั้น ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรผู้เป็นนายก็ชิงดักทางเสียก่อน
“ถ้าจะบ่นฉันก็ออกไปเลย”
คนสนิทที่ตั้งใจจะถามถึงความคืบหน้าของงานถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อโดนตอกกลับแบบนั้น “ผมแค่จะถามว่าคุณทำงานเสร็จหรือยัง แล้วทำไมเอกสารถึงได้กระจัดกระจายแบบนี้ล่ะครับ”
แม้จะโดนดักทางไว้แต่ก็อดจะบ่นไม่ได้อยู่ดี
ถ้อยคำที่คล้ายกับจะบ่นกันแต่ต้องห้ามปรามตัวเองไว้นั้นทำให้คนที่นั่งหันหลังให้ในทีแรกหมุนตัวกลับมา ดวงตาเปิดขึ้นมองดีนนิ่ง “นายจงใจแกล้งฉันหรือเปล่าดีน เอกสารที่ฉันต้องอ่านมันมีเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“นี่เป็นแค่ส่วนของวันนี้เองนะครับ”
“อะไรนะ” ได้ยินเพียงเท่านั้นคาลอสก็นึกอยากจะกลับเข้าโลงไปจำศีลอีกสักรอบ “ช่วยเลือกเฉพาะอันที่เร่งด่วนออกมาให้ที ที่เหลือไว้ฉันจะเข้ามาจัดการวันหลัง”
“รับทราบครับ ดื่มนี่ก่อนสิครับ” แก้วเครื่องดื่มโปรดถูกดันไปไว้ตรงหน้าอีกครั้ง
ดีนหยิบเอกสารหลายสิบแผ่นมารวมไว้ในมือแล้วเปิดไล่หาสิ่งที่เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างที่คาลอสร้องขอ ความจริงแล้วถึงคาลอสไม่ทำ เขาก็ได้รับอำนาจในการจัดการงานทุกอย่างแทนอีกฝ่ายทั้งหมดอยู่แล้ว รวมไปถึงการเซ็นรับรองเอกสารสำคัญพวกนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ดีนเห็นว่าไหน ๆ คาลอสก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าตัวควรจะได้รับรู้เรื่องการงานทั้งหมดและเป็นคนลงชื่อรับรองมันด้วยตัวเอง
“ชงแบบเดิมมาหรือเปล่า”
“หวานน้อยอย่างที่คุณชอบ”
คาลอสยกยิ้มเล็กน้อยแทนการเอ่ยชมถึงความรู้ใจของคนสนิท เขายกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก หวังให้รสชาติของช็อกโกแลตร้อนหวานน้อยแบบที่ชอบช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่ดื่มลงไปได้เพียงอึกเดียวเจ้าตัวก็คิ้วขมวด
“…”
“เอกสารส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรนะครับ” ดีนว่าพลางเปิดพลิกหน้าเอกสารไปเรื่อย ๆ “แต่ถ้าทำให้เสร็จไว้ก็จะดี”
“ดีน”
“ครับ”
“นายแน่ใจนะว่าชงอย่างที่ฉันชอบมาให้”
“ผมชงตามปกติที่ชงให้มาตลอด ไม่ถูกปากเหรอครับ”
“ไม่เชิง หวานน้อยแบบที่ฉันชอบน่ะใช่ แต่ไม่เห็นอร่อยเหมือนที่เควินชงให้เลย”
“เควิน?” ดีนถามเสียงสูง สงสัยอยู่ไม่นานก็นึกออก “พนักงานใหม่ที่เอริครับเข้ามาน่ะเหรอครับ”
“อืม” คาลอสตอบพึมพำ ลองดื่มมันลงไปอีกครั้งแต่ก็ต้องวางคืน “ไม่แน่ฉันอาจจะหลับไปนานจนลิ้นเปลี่ยนรสก็ได้”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น”
“…”
“ดีใจด้วยนะครับที่ไม่ต้องทนดื่มเครื่องดื่มหวาน ๆ ที่เอริคชงให้แล้ว”
“นั่นสินะ ถึงการมาที่นี่เพื่อให้นายชงเครื่องดื่มให้จะใช้เวลาไม่นาน แต่ฉันก็ไม่อยากออกไปเดินเพ่นพ่านในเมืองมากอยู่ดี”
“กลัวว่าจะมีใครจำได้เหรอครับ”
“เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”
ดีนยกยิ้มให้กับคำพูดนั้น จัดการยื่นเอกสารที่คัดเลือกมาแล้วว่าเร่งด่วนที่สุดให้เจ้านายพร้อมอธิบายให้ฟัง
“เอกสารที่คุณต้องจัดการในวันนี้มีแค่สองอย่าง ฉบับนี้เป็นสัญญาการซื้อขายเลือดกับมิสเตอร์ที่ทางนั้นส่งมาให้เซ็นรับรอง ส่วนอีกฉบับเป็นรายงานข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับร้านคาเฟ่คนตายที่ผมได้วานเอริคให้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว ทั้งยอดขาย การจ่ายเงินเดือนพนักงาน รวมถึงจำนวนลูกค้าในแต่ละเดือนที่แยกประเภทไว้ตามที่เห็นในเอกสาร ฉบับนี้ไม่ต้องเซ็นรับรอง แต่เป็นเรื่องที่คุณต้องรับรู้เอาไว้”
“แสดงว่าเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ ก็มีแค่สัญญาการซื้อขายเลือดกับมิสเตอร์สินะ”
“ไม่ครับ เอกสารรายงานข้อมูลของร้านคุณก็ต้องอ่านด้วย”
“ไม่เอาน่าดีน ทำไมฉันต้องดูตัวเลขยอดขายจำนวนสถิติอะไรพวกนั้นด้วย ฉันไม่ได้สร้างร้านนี้มาเพื่อจุดประสงค์แบบนั้นสักหน่อย” คาลอสพูดไป ตาก็ไล่อ่านเอกสารสัญญาการซื้อขายเลือดกับมิสเตอร์ไปด้วย
ดีนที่ได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้นทำทีเป็นถอดแว่นที่กำลังสวมอยู่ออกมาเช็ดทำความสะอาด ทั้งที่ความจริงอยากจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ กับความไม่สนใจอะไรเลยนอกจากคิดแต่จะให้ของคาลอส
“เงินมันไม่ได้งอกออกมาจากต้นไม้นะครับ”
“ทำไมจะไม่ใช่ เงินมันทำมาจาก…”
“ทำมาจากกระดาษ ได้โปรดเถอะ คุณใช้ข้ออ้างนี้กับผมมาตลอดร้อยปีแล้วนะครับ ขอผมถามแค่คำถามเดียว คุณกินต้นไม้เป็นอาหารหรือเปล่า”
“ฉันไม่กินพืช”
“…”
“…”
ดีนถึงกับนิ่งไปกับคำตอบนั้น
“เอาเถอะ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจว่าผมจะสื่ออะไร ใช่ไหมครับ”
“ฉันรู้น่า นายจะบอกว่าถึงฉันไม่ได้กินต้นไม้เป็นอาหาร แต่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ยังต้องใช้เงินที่ทำมาจากต้นไม้ใช่ไหมล่ะ เฮอะ เข้าใจแล้ว บ่นอย่างกับฉันเป็นเด็กไปได้ เป็นพ่อฉันหรือไง”
“ผมเลี้ยงคุณมาตั้งแต่คุณเกิด ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แล้วครับ” ดีนพูดออกมาแผ่วเบาแต่คนฟังได้ยินมันอย่างชัดเจน
คาลอสที่ปล่อยให้อีกคนว่ากล่าวเตือนสติมามากพอแล้วก็จำต้องปรามเอาไว้บ้าง “วันนี้นายต่อปากต่อคำเก่งนะดีน ไม่เห็นว่าฉันเป็นเจ้านายแล้วใช่หรือเปล่า”
“ขอโทษด้วยครับ คาลอส” ดีนยกมือข้างหนึ่งไขว้ไว้ที่อก โน้มตัวลงแสดงความเคารพแก่ผู้เป็นนายแล้วเดินถือเอกสารที่เหลือทั้งหมดไปเก็บไว้ที่ชั้นล่างสุดของชั้นหนังสือ
คาลอสนั่งอ่านเอกสารสัญญาการซื้อขายเลือดกับมิสเตอร์อย่างละเอียดเป็นรอบสุดท้าย เมื่อเห็นว่าไม่มีส่วนใดของข้อความที่ผิดพลาดจึงจรดปลายปากกาลงชื่อรับรองลงไป
“เรียบร้อย นายช่วยเอาไปส่งให้มิสเตอร์ด้วย แล้วก็อย่าลืมจัดการเรื่องแบ่งเลือดให้สมาชิกทุกคนด้วยล่ะ”
“ได้ครับ”
คาลอสปิดแฟ้มเอกสารนั้นแล้ววางไว้บนโต๊ะ หลับตาพักเพียงครู่เดียวแล้วเอื้อมมือไปหยิบเอกสารรายงานข้อมูลทั้งหมดของร้านคาเฟ่คนตายขึ้นมาอ่านเป็นอย่างถัดไป
“แล้วเรื่องแวมไพร์นอกรีตตนนั้น…จะให้ผมรายงานให้ฟังเลยไหมครับ”
“เชิญ”
“อย่างที่คุณทราบอยู่แล้วจากเมื่อตอนนั้นที่ได้ถามเอาจากปากของเขาเอง พวกนอกรีตย่ามใจ อาศัยช่วงเวลาที่คุณจำศีลและตอนที่พันธมิตรกำลังวุ่นวายกับการแบ่งคนไปจัดการธุระที่เมืองต่าง ๆ เข้ามาออกล่าในเขตการดูแลของคุณ… ผมค่อนข้างแปลกใจนะที่พวกเขาใจกล้าขนาดนี้”
“คงเพราะคิดว่าฉันจะไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้ล่ะมั้ง แถมพวกนายบางคนยังสะเพร่าในหน้าที่”
“ต้องขอโทษแทนพวกเขาสำหรับเรื่องนั้นจริง ๆ ผมได้กำชับพวกที่กลับเข้าเมืองในครั้งนี้เอาไว้แล้วว่าให้แบ่งเวรยามกันไปเดินตรวจตราที่ป่าท้ายเมืองให้ดี”
“หวังว่าพวกเขาจะรับผิดชอบในหน้าที่… รายงานเรื่องแวมไพร์ตนนั้นต่อ”
“ครับ จากข้อมูลที่ผมสืบได้มา เขาเป็นแค่สมาชิกปลายแถวของพวกนอกรีตที่เพิ่งเข้า…”
“หยุดก่อน เรื่องพวกนั้นฉันไม่สนใจหรอก บอกมาว่าเขาตัดสินใจเลือกทางไหนก็พอ”
จากตอนแรกที่จะค่อย ๆ ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์และข้อมูลที่ได้รับมาให้คาลอสฟัง กลับต้องละทิ้งเรื่องราวทั้งหมดไว้แล้วสรุปออกมาเป็นคำตอบสั้น ๆ เพียงแค่ว่า…
“เขาเลือกทำงานกับเราครับ”
คาลอสยิ้มออกมาอย่างพอใจกับเส้นทางที่แวมไพร์ตนนั้นเลือก
“นับว่ายังไม่โง่งมเกินกว่าที่จะเลือกกลับไปหาคนพวกนั้น”
…ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกเดียวที่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ตาม
ภาระงานทั้งหมดของเขาในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว คาลอสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เคลื่อนตัวอย่างไม่เร่งรีบไปที่หน้าต่างพร้อมเปิดผ้าม่านออกครึ่งเดียว แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาไม่ได้ทำให้แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ที่สามารถอยู่กลางแดดจ้าได้อย่างเขาเกิดความรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะสลายหายไปแต่อย่างใด
“ครั้งนี้มีใครกลับเข้าเมืองมาบ้าง”
“ส่วนมากคนที่กลับมาก่อนจะเป็นคนจากกรีฟทาวน์ที่ออกไปทำงานต่างเมืองครับ ที่เหลือจะทยอยเข้ามาทีหลังและแวะไปที่ร้านคาเฟ่คนตายเพื่อทักทายคุณโดยเฉพาะ”
“งั้นเหรอ”
“เห็นว่าวันนี้จะมีบางคนเข้ามาที่นี่ด้วยนะครับ”
“หืม ทั้งที่รู้ว่าฉันจะกลับเข้ามาทำงานแต่พวกเขาก็เริ่มกล้าเข้ามานั่งเล่นที่นี่แล้ว?” คาลอสถามด้วยความแปลกใจ
เมื่อครั้งที่เขาตัดสินใจเริ่มใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาสักคน หนำซ้ำยังบอกว่าเขาเป็นพวกนอกคอก …โดยเฉพาะพวกแวมไพร์อาวุโสคร่ำครึพวกนั้น แต่นับเป็นเรื่องดีที่ตระกูลของเขาไม่มีใครคัดค้านแม้จะไม่อยากเข้าร่วมด้วยก็ตาม มีเพียงคนเดียวที่พร้อมสนับสนุนและทำทุกอย่างไปกับเขาโดยไม่กลัวว่าจะโดนคำครหาว่าร้ายจากคนภายนอกนั่นก็คือดีน
ตระกูลของดีนคอยรับใช้ตระกูลของคาลอสมาหลายชั่วอายุ เดิมทีแล้วพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่บรรพบุรุษรุ่นแรกของคาลอสได้ทำการเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นแวมไพร์และให้คอยติดตามรับใช้มาตั้งแต่นั้น ดีนเป็นหนึ่งในลูกหลานของตระกูลที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์เพื่อคอยดูแลรับใช้ทายาทที่เกิดมา…และเขาเองก็เป็นหนึ่งในทายาทที่ดีนต้องดูแล
‘เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด’ หากใช้คำนี้บอกถึงความสัมพันธ์ของดีนและคาลอสได้ก็คงไม่เกินจริงนัก
ช่วงแรกที่คาลอสเริ่มก่อตั้งพันธมิตรและชักชวนให้แวมไพร์ตนอื่นเข้าร่วม มีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เห็นว่าจุดประสงค์ของการเปลี่ยนไปมีวิถีชีวิตแบบนั้นเป็นเรื่องที่สมควร เรื่องที่ยากที่สุดของการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การที่ต้องคอยหลบเลี่ยงหรือแม้กระทั่งเผชิญหน้าปะทะกับแวมไพร์ตนอื่น แต่เป็นการที่พวกเขาต้องละทิ้งความหิวกระหาย การออกล่า และหันมาคิดเรื่องการทำสัญญาซื้อขายเลือดอย่างถูกต้องแทน
คาลอสที่เปรียบเสมือนหัวหน้าของทุกคนในยามนั้นจำเป็นต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ช่วงเวลาแห่งความทรมานกัดกินร่างกายเขานับสิบปีกว่าที่จะชินชากับการรับเลือดในปริมาณที่น้อยลงและลิ้มรสมันผ่านเครื่องดื่มหรืออาหารต่าง ๆ แต่เพราะการเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบนั้น จำนวนแวมไพร์ที่ถูกล่าจากทางการและเหล่านักล่าแวมไพร์จึงลดน้อยลง ทำให้มีแวมไพร์ที่สนใจจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่กับจำนวนมนุษย์ที่แต่ละครอบครัวได้สูญเสียไปนั้นไม่ใช่เลย…
ถึงแม้การมีอยู่ของพันธมิตรจะช่วยให้อัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ที่ถูกแวมไพร์กัดกินนั้นน้อยลง แต่แวมไพร์บางกลุ่มที่เคยคัดค้านและไม่สนใจเพื่อนร่วมโลกก็ยังคงออกล่าหากินอยู่ตามเดิม คาลอสจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าเขาจะยอมเป็นฝ่ายถูกเกลียดจากเหล่าแวมไพร์ด้วยกันเสียเองด้วยการเริ่มเข้าโจมตีแวมไพร์ที่ทำร้ายมนุษย์และสั่งให้สมาชิกในพันธมิตรคอยช่วยกันเป็นหูเป็นตาอีกแรง
“พวกเขารู้แล้วนี่ครับว่าความจริงคุณน่ะใจดี”
พื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของคาลอสคือเมืองกรีฟทาวน์ที่เป็นถิ่นฐานเดิมของตระกูล เขาได้เลือกบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลและไม่เป็นที่สะดุดตาให้เป็นฐานประชุมพันธมิตร ตกแต่งทั้งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างดีพร้อมทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งให้ความบันเทิงต่าง ๆ อย่างครบครัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสมาชิกคนไหนกล้าเข้ามาใช้พื้นที่แห่งนี้แม้แต่คนเดียว อาจเพราะตอนนั้นทุกคนยังเกรงกลัวคาลอสด้วยเพราะลักษณะภายนอกที่ดูเป็นคนน่ากลัว แต่ตอนนี้คงไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว…
คนที่ถูกบอกว่าเป็นคนใจดีย้อนนึกไปถึงตอนที่เจอกับพนักงานใหม่ของร้านเป็นครั้งแรก “แต่ภายนอกฉันดูเป็นคนน่ากลัวใช่ไหม”
“คุณสนใจสายตาคนนอกที่มองมาด้วยเหรอครับ” เพียงคำถามเดียวสั้น ๆ ความเงียบก็บังเกิดขึ้นชั่วครู่
“ฉันแค่คิดว่าอาจจะมีใครบางคนหนีไปแค่เพราะฉันเป็นคนที่ดูน่ากลัวเท่านั้นเอง”
ดีนหลุดหัวเราะกับท่าทางของผู้เป็นนายก่อนจะได้รับสายตาที่เหมือนจะฟาดฟันกันส่งกลับมา “ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ถ้าได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นเขาก็จะรู้เองว่าคุณเป็นคนดีกว่าที่คิด”
“นี่นายหลอกด่าฉันหรือเปล่า”
“ผมน่ะเหรอจะกล้า” ดีนตอบกลั้วหัวเราะ
ทันใดนั้นทั้งสองก็หันไปมองทางประตูที่ปิดอยู่พร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังขึ้นจากหน้าบ้าน
“เหมือนว่าจะมากันแล้วนะครับ”
“ฉันออกไปทักทายพวกเขาก่อนกลับร้านสักหน่อยดีกว่า” คาลอสว่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินนำออกไปก่อน
ดีนเก็บเอกสารทั้งหมดเข้าที่ให้เรียบร้อย เดินย้อนกลับไปที่โต๊ะทำงานโดยอ้อมผ่านด้านหลัง สายตาเลื่อนไปสบกับลิ้นชักด้านหนึ่งของโต๊ะ รับรู้ได้ว่าของสำคัญของคาลอสที่อยู่ภายในนั้นยังถูกเก็บไว้อย่างดีเช่นเดิม
ชายร่างสูงทั้งสองเดินออกจากห้องทำงานแล้วตรงไปที่บริเวณกลางบ้านที่ถูกใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของสมาชิกในพันธมิตร ยังไม่ทันจะเดินไปถึง เสียงเอะอะโวยวายของวัยรุ่นชายสองคนก็ดังมาให้ได้ยิน
“คราวนี้นายห้ามแย่งฉันเลือกเกม”
“เรื่องอะไรฉันต้องทำตาม”
“นายเป็นฝ่ายเลือกมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ!”
“ก็นายเลือกแต่เกมน่าเบื่อ”
“เฮ้!”
“มีอะไรกัน”
“…!”
เสียงเข้มของคาลอสดังขึ้นแค่ไม่กี่คำแต่กลับทำให้คนที่กำลังแย่งกันเลือกเกมราวกับเด็ก ๆ สะดุ้งเฮือก โผลุกจากโซฟาแล้วยืนตัวตรง เอ่ยทักทายออกมาเสียงดังจนแทบจะเป็นเสียงตะโกน
“ยินดีต้อนรับกลับครับคาลอส!”
เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายสองคนตรงหน้าคือสมาชิกที่เพิ่งเข้าร่วมพันธมิตรได้ไม่นานแต่สามารถทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี
“แย่งกันเลือกเกมอีกแล้ว” คาลอสมองทั้งสองคนสลับกับเครื่องเล่นเกมที่เขาซื้อมาทิ้งไว้ให้ “นายก็ยอมให้เขาบ้างสิ”
“ก็เขาเลือกเล่นแต่เกมน่าเบื่อนี่ครับ”
“ทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็ต้องเล่นเกมที่มันผ่อนคลายสมองสิ”
“ถ้างั้นนายก็ไปเล่นคนเดียวสิ”
“เป็นนายไม่ใช่หรือไงที่บอกว่าอยากเล่นกับฉันน่ะ”
“ถ้ายังเถียงกันอยู่อีกฉันจะเอาทั้งหมดไปทิ้ง” ดีนพูดแทรกขึ้นทันทีที่เห็นว่าทั้งสองกำลังจะวางมวยใส่กันอีกรอบ
พวกเขาสะดุ้งให้กับใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนจะขัดกับสายตาเอาจริงของผู้อาวุโส ก้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอโทษที่สร้างความวุ่นวายแล้วนั่งกลับลงไปที่โซฟาตัวเดิม หยิบจอยเกมขึ้นมาถือไว้คนละอันแล้วเลือกเล่นเกมน่าเบื่อ ๆ อย่างที่จำเป็นต้องยอมให้อีกคน ทว่าก็ยังไม่วายโน้มหน้าเข้ามากระซิบพูดคุยกันทั้งที่รู้ว่าอย่างไรคาลอสและดีนก็ได้ยินมันอยู่ดี
“โดนดีนดุเลยเห็นไหม เพราะนายนั่นแหละ”
“นายนั่นแหละที่ดื้อจะเล่นแต่ไอ้เกมน่าเบื่อนี่ให้ได้”
คาลอสส่ายหน้าหน่าย ๆ ให้กับเด็กที่อยู่ด้วยกันทีไรก็มีเรื่องให้มีปากเสียงกันทุกที แต่เขารู้ว่าทั้งคู่สนิทกันมากราวกับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ทั้งที่ความจริงแล้วเพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรกตอนที่ตกลงเข้าร่วมกับพันธมิตร
“วันนี้ไม่มีงานต้องทำเหรอ”
“พวกผมทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีนก็เลยให้โควตาวันหยุดมาสามวัน”
คนที่เปรียบเสมือนหัวหน้าของพันธมิตรพยักหน้ารับ
การตกลงเข้าร่วมและทำงานกับพันธมิตรนั้น นอกจากต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว ยังมีกฎอีกหนึ่งข้อที่ไม่ว่าใครก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขอเพียงทำได้ แวมไพร์ตนนั้นจะไม่ถูกไล่ล่าจากทางการ จากนักล่าแวมไพร์ จากพันธมิตรของคาลอส และยังจะได้รับการแบ่งเลือดที่มีราคาแพงแสนแพงอีกด้วย
กฎเพียงข้อเดียวที่ปฏิบัติตามได้ยากเหลือเกินสำหรับอมนุษย์อย่างพวกเขา
ห้ามออกล่า
…เพียงข้อเดียวสั้น ๆ ที่สมาชิกทุกคนต่างรู้ดีว่ามันหมายถึงการห้ามทำร้ายมนุษย์และห้ามดื่มเลือดจากมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังการมาของเด็กวัยรุ่นทั้งสองไม่นาน คนอื่น ๆ ก็เริ่มกลับเข้ามาที่ฐานประชุมพันธมิตรกันมากขึ้น บางส่วนเข้ามาเพื่อทักทายคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลและรายงานเรื่องต่าง ๆ กับดีนโดยเฉพาะ รวมถึงอลิซเองก็เช่นกัน แต่สิ่งที่แปลกไปในครั้งนี้คือเธอเดินจูงมือเข้ามาพร้อมกับเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่ง เมื่อเอ่ยถามก็ได้ความว่าเป็นลูกสาวของเธอเอง คำบอกเล่าของเอริคย้อนกลับเข้ามาในหัว คาลอสเข้าใจผิดไปว่า ‘สมาชิกใหม่’ ที่ชายคนนั้นพูดถึงคือพวกแวมไพร์เกิดใหม่ แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นบุตรสาวเชื้อสายแวมไพร์แสนน่ารักคนนี้นี่เอง
TBC
#คาเฟ่คนตาย
Talk
สำหรับตอนนี้เราเดินทางมาถึงตอนที่ความจริงใกล้จะถูกเปิดเผยแล้วค่ะ ได้คลายปมเรื่องที่มาที่ไปของพันธมิตรไปนิดนึงแล้วด้วย //ปาดเหงื่อ ถ้าเจอคำผิดหรือส่วนไหนที่มัน เอ๊ะ? สามารถบอกเราได้เลยนะคะ น้อมรับแต่โดยดี
และก่อนจากกันวันนี้เรามี 2 คำถามที่อยากถามทุกคน คือ นิยายเรื่องนี้มันสนุกมั้ยคะTT รู้สึกว่ามันยืดเยื้อไปรึเปล่า อยากได้ฟีดแบคมากเลย ทุกคำติชมมีผลมากๆ เลยนะคะ ถ้าสะดวกฝากคอมเม้นท์ไว้หรือจะบอกผ่านแฮชแท็กในทวิตก็ได้ค่า
แล้วพบกัน เลิฟ
Comments (0)