หนึ่งวันก่อนถึงงานประจำปีของเมืองกรีฟทาวน์ เควินเดินลงบันไดมาจากชั้นสองในช่วงสายของวัน ใบหน้าที่เคยหมองโทรมดูสดใสขึ้นตามประสาคนที่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการเจ็บที่ข้อเท้าจากเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ยังต้องคอยระวังเรื่องการลงน้ำหนักเท้าอยู่เช่นเดิม

กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งที่เควินทำมันมาเสมอตั้งแต่เข้าทำงานที่ร้านคาเฟ่คนตายคือการจัดระเบียบความเรียบร้อยและดูแลความสะอาดของร้าน แม้จะไม่ใช่หน้าที่ในตำแหน่งที่เขาสมัครเข้ามาแต่ชายหนุ่มก็ทำมันด้วยความเต็มใจ

ทันทีที่ผลักบานประตูออกไปยังโซนหน้าร้าน สายตาก็พบเข้ากับชายผมบลอนด์ผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่งใกล้กับกระจกใสแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก เควินมองตาม ผืนนภาวันนี้ยังคงเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนอย่างเคย ใบไม้ที่พลิ้วไหวอยู่ไกล ๆ เห็นได้ชัดว่าคงมีสายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย ทิวทัศน์ที่มองเห็นได้เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมาทำให้ความน่ากลัวในยามค่ำคืนจางหายไป

วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดีอย่างแน่นอน…เควินคิด

“อรุณสวัสดิ์”

คนผมดำสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้รับคำทักทายจากคาลอสที่เอ่ยโดยไม่ได้หันมามองกัน “อรุณสวัสดิ์ครับ”

บทสนทนาแรกของคนทั้งสองมีเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปไล่ปลดล็อกกลอนหน้าต่างทุกบานแล้วเปิดแง้มให้สายลมพัดมาให้อากาศถ่ายเท ทำทุกอย่างโดยพยายามไม่สนใจชายร่างสูงแล้วเปิดประตูร้านออกไปยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ ถึงแม้ร้านคาเฟ่คนตายจะตั้งอยู่ในตรอกซอยที่ห่างไกลจากลานกลางเมืองแต่ก็ยังสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติได้อย่างชัดเจน

เควินยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวพร้อมทั้งเอนตัวซ้ายขวาเพื่อปลุกกล้ามเนื้อในร่างกายให้พร้อมแก่การใช้งานในวันนี้ ดวงตาสีดำคู่สวยมองไปรอบกาย สิ่งก่อสร้างภายในตรอกซอยมีทั้งร้านหนังสือ ร้านขายรองเท้าหนัง นอกนั้นจะเป็นบ้านเรือนที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามีใครอาศัยอยู่หรือเปล่า น้อยครั้งนักที่จะเห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านไปแถวนี้

ความจริงแค่มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาที่ร้านคาเฟ่คนตายในแต่ละคืนก็ถือว่าน่าแปลกใจมากแล้ว

“มื้อแรกวันนี้กินอะไรดีนะ” หนุ่มวัยรุ่นพึมพำกับตนเองเบา ๆ แล้วก้าวเท้าตรงไปยังโซนครัวข้างหลังร้าน ก่อนจะถึงประตูที่คั่นกลางก็ต้องชะงักฝีเท้าเพราะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่ในร้านเพียงแค่คนเดียว

เควินหันกลับไปมองคาลอสที่ยังคงนั่งหลังตรงพิงเก้าอี้พลางมองออกไปด้านนอก เขาอึกอักอยู่นานว่าจะใช้ถ้อยคำแบบไหนดี สุดท้ายก็ทำใจกล้าเอ่ยเรียกชื่ออีกคนออกไปตรง ๆ

“คาลอส”

“หืม” เจ้าของชื่อส่งเสียงตอบรับในลำคอ

“ทานข้าวเช้าหรือยังครับ ผมจะทำอาหาร คุณจะ…รับด้วยไหมครับ”

“…” ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ร่างสูงดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขา เควินเงยหน้าสบนัยน์ตาคม ระยะห่างระหว่างกันเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ จนเขาต้องเอนตัวหลบจนแผ่นหลังแนบบานประตู “นายจะทำอาหารเองเหรอ”

“ชะ ใช่ครับ” คนตัวเล็กกว่าว่าเสียงสั่นดวงตาสีน้ำตาลทองจ้องมองมานิ่ง ๆ เควินกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ชั่วขณะเขาเหมือนเห็นคนตรงหน้าหลุบตาต่ำลงมองที่ลำคอขาว ไม่นานก็กลับมาสบตากันดังเดิมพร้อมบอก

“เข้าไปสิ นายทำอะไรก็ทำเผื่อฉันด้วยแล้วกัน”

“ครับ…” คนที่มักมีท่าทีสดใสอยู่เสมอราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนพูดน้อย ถ้อยคำที่หลุดจากปากมีเพียงคำตอบรับ ‘ครับ ๆ ’

เควินผลักประตูเดินนำเจ้าของร้านเข้ามายังโซนห้องครัว จัดการหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมใส่พร้อมทั้งล้างมือให้สะอาด ก่อนจะเดินไปที่ตู้แช่เย็นเพื่อเช็กวัตถุดิบสำหรับทำอาหารในครั้งนี้

ชายหนุ่มเองไม่ใช่คนที่เรื่องมากในการกินสักเท่าไร แต่กับอีกคนนั้นไม่อาจรู้ได้เลย

“คุณมีอะไรที่ไม่ชอบกินหรือว่าแพ้บ้างไหมครับ”

“ฉันกินอะไรก็ได้”

คำตอบของคาลอสไม่ได้ทำให้การคิดเมนูอาหารง่ายขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้เควินจะย้ายมาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก แต่อาหารจานแรกที่เขากินก็ยังเป็นอาหารไทย เขาเกิดและใช้ชีวิตเติบโตที่ประเทศไทยจนเริ่มรู้ความถึงได้ย้ายตามแม่มาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นวิธีการรับประทานอาหารโดยส่วนตัวของชายหนุ่มก็ยังเป็นแบบไทย ๆ มาไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เขาจะกินอะไรเป็นมื้อไหนก็ได้ตามที่เขาอยากกิน แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มชาวยุโรปอย่างคาลอส

คนผมดำไล่สายตามองของสดมากมาย ในหัวพยายามนึกถึงอาหารที่คนยุโรปนิยมกินกันในช่วงเช้า เขาไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งจึงพยายามนึกหาเมนูที่ทำง่ายและอร่อยได้ในจานเดียวกัน ชายหนุ่มยืนคิดอยู่นานสุดท้ายก็เลือกปิดตู้แช่เย็นแล้วเดินไปยังชั้นที่เก็บของแห้งและผงแป้งต่าง ๆ แทน

“ผมจะทำแพนเค้กราดน้ำผึ้งกับน้ำผลไม้คั้นสดนะครับ”

“เอาตามที่นายบอก แต่เครื่องดื่มฉันขอเป็นช็อกโกแลตร้อน”

“…” คนฟังเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน

ช็อกโกแลตร้อนงั้นเหรอ…

“จริงสิ ขอแบบหวานน้อยล่ะ อย่าทำเหมือนเอริคที่ใส่น้ำตาลพูนช้อนมาแกล้งฉัน”

เมื่อได้ฟังดังนั้นเควินก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

คาลอสนั่งมองพนักงานคนใหม่ของร้านที่เริ่มลงมือผสมวัตถุดิบต่าง ๆ เข้าด้วยกันอยู่ที่เก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ส่วนผสมในการทำแพนเค้กนั้นมีไม่กี่อย่างและขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย แต่เควินก็ยังอ่านวิธีการและปริมาณส่วนผสมที่เขียนบอกไว้ข้างกล่องแป้งอเนกประสงค์อยู่ดี

เขาลอบมองอีกคนหยิบนู่นผสมนี่อย่างเงียบ ๆ นึกโล่งใจที่อย่างน้อยเควินก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวหรือระแวงเขาเหมือนวันแรกที่พบกันแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนั้นอยู่คงอึดอัดน่าดู…

ใช้เวลาไม่นาน จานแพนเค้กราดน้ำผึ้งกลิ่นหอมหวานก็ถูกยื่นมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับแก้วช็อกโกแลตร้อน คาลอสยกมันขึ้นสูดดมกลิ่นที่ชอบเข้าไป ก่อนจรดริมฝีปากแตะลงบนขอบแก้ว ค่อย ๆ ถือเอียงดื่มเครื่องดื่มสีน้ำตาลอุ่นร้อนลงไปสองอึก

ความเงียบโปรยตัวลงทั่วบริเวณ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากชายเจ้าของร้าน เควินอดลุ้นด้วยความใจเต้นไม่ได้ว่าเครื่องดื่มแก้วนี้ที่เขาเป็นคนชงจะถูกใจอีกคนหรือเปล่าจนต้องเอ่ยถามออกไป

“เป็นยังไงครับ…รสชาติถูกใจหรือเปล่า”

“…” คาลอสเงียบอยู่นานสองนานราวกับอยากจะแกล้งกันให้ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว เควินเผลอเม้มปากแน่น จ้องหน้ารอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “อืม อร่อยดี”

ใบหน้าชายเจ้าของร้านประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากชายหนุ่มตรงหน้า เควินมีท่าทีโล่งใจเหมือนว่าตนกำลังสัมภาษณ์งานแล้วกรรมการบอกว่า ‘ผ่าน’ อย่างไงอย่างงั้น

เขาเงยหน้าขึ้นมามองคาลอสแล้วเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม “ดีใจที่ชอบนะครับ”

“นายชงให้ฉันทุกเช้าเลยได้ไหม”

“ครับ?”

“ชงนี่” เขาว่าพลางชูแก้วช็อกโกแลตร้อนในมือขึ้น “ทุกเช้าเลย”

“ผมคงไม่สะดวกไปชงให้คุณที่บ้านทุกเช้าหรอกครับ”

“บ้านฉันก็ที่นี่แหละ”

“เอ๊ะ” ชายหนุ่มแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “คุณว่าอะไรนะครับ”

“ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ บนชั้นสาม”

เพียงเท่านั้นเควินก็หน้าเหวอ ในหัวนึกย้อนไปถึงถ้อยคำเอ่ยห้ามอย่างเด็ดขาดของเอริคที่บอกไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาสมัครงาน

คืนแรกที่ชายหนุ่มย้ายเข้ามาพักอาศัยในร้านคาเฟ่คนตายยังรู้สึกระแวงและหวาดกลัวว่าจะมีสิ่งใดหรือใครที่อยู่หลังประตูบานนั้น ทว่าเมื่อลองคิดดูให้ดีแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่คาลอสจะอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก ทั้งการที่สามารถเข้ามาบรรเลงเปียโนในยามค่ำคืนได้โดยที่ไม่มีแม้แต่เสียงของการงัดแงะร้านเข้ามาให้เขาได้ยิน แต่แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ตลอดระยะเวลาที่เควินอาศัยอยู่ในร้านทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน เขาไม่เคยเจอแม้แต่เงาของชายผมบลอนด์เลย

…แสดงว่าคาลอสไม่ได้ออกมาจากห้องเลยงั้นเหรอ?

ราวกับว่าใครอีกคนสามารถล่วงรู้ความคิด หรือไม่ความสงสัยของเควินก็คงแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจนเกินไปจนคาลอสพูดดักทาง “ฉันทำงานน่ะ ต้องการสมาธิ”

“อย่างนี้นี่เอง…” เพราะแบบนี้เอริคถึงสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปรบกวนสินะ

“เอริคเป็นคนบอกฉันเรื่องนาย แต่บอกแค่ชื่อ…ครั้งนั้นฉันเลยเผลอทำรุนแรงกับนายไป”

“…”

“โกรธกันหรือเปล่า”

“…”

เอาอีกแล้ว…ทำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติอีกแล้ว ไม่เคยชินกับน้ำเสียงแบบนี้ได้สักทีเลย

“ว่าไง”

“ผมไม่โกรธคุณหรอกครับ จริง ๆ นะ” เควินย้ำเมื่ออีกคนดูเหมือนไม่เชื่อกัน

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”

นับวันเป็นแรกที่เควินใช้เวลาตลอดช่วงกลางวันในร้านคาเฟ่คนตาย คนทั้งสองไม่ได้มีสนทนาอะไรต่อกันมากนัก สิ่งที่ช่วยคลายความเงียบยังคงเป็นเสียงเพลงจากแผ่นเสียงที่คาลอสไปยืนเลือกอยู่นานเช่นเดิม การใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟังเพลงและมองออกไปข้างนอกหน้าต่างทำให้เควินรู้สึกเบื่อหน่าย เขาเดินเข้าไปยังโซนด้านหลังร้านแล้วลงมือเช็ดทำความสะอาดเครื่องครัวจนเอี่ยมอ่อง เก็บกวาดบริเวณหน้าร้านอีกรอบพร้อมทั้งเช็กวัตถุดิบซ้ำอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นความรู้สึกเบื่อก็ยังไม่จางหายไป

คาลอสเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี…นั่นคือสิ่งที่เควินสัมผัสได้

ไม่มีคืนไหนเลยที่ชายหนุ่มจะไม่ได้ยินเสียงเพลงจากแผ่นเสียงที่เปิดไว้ บางครั้งเขาก็ได้เห็นภาพเจ้าของร้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลานยกสูงแล้วจรดนิ้วมือเรียวยาวลงบนลิ่มโน้ตเปียโนหลังใหญ่จนเกิดเป็นทำนองบรรเลงเพลงคลาสสิคตามแบบฉบับที่เจ้าตัวชอบและเคยเล่นในคืนแรกที่พบกัน

 

 

 

เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงที่ทั้งตรอกซอยตกสู่ความมืดมิดและเงียบสงัด เป็นเรื่องปกติของร้านคาเฟ่คนตายที่จะไม่มีลูกค้าแวะเวียนมาจนกว่าเวลาจะข้ามไปสู่เช้ามืดของวันใหม่ พนักงานบริกรยังคงแต่งกายให้เหมาะสมและพร้อมต่อการทำงานเสมอ อาการตื่นเต้นจากวันแรกที่ถึงขั้นไปยืนรอต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้านเริ่มจางหายไป กลายเป็นนั่งลงบนเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์บาร์โซนเครื่องดื่มแล้วคอยฟังเสียงกระดิ่งจากหน้าร้านแทน แต่คืนนี้กลับต่างออกไป ยังไม่ทันข้ามวันใหม่ ชายเจ้าของร้านก็บอกให้เขาและเอริคจัดการปิดร้านแล้วแยกย้ายไปพักผ่อนได้แล้ว

“แต่คืนนี้ยังไม่มีลูกค้าสักคนเลยนะครับ”

“ถึงเข้ามาก็ไม่มีอะไรให้กินหรอก”

เควินเลิกคิ้ว นึกสงสัยในคำพูดนั้น ทำไมคาลอสถึงบอกว่าไม่มีอะไรไว้ทำให้ลูกค้ากิน ในเมื่อเขาทั้งสองเพิ่งไปซื้อวัตถุดิบมาตุนไว้ด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าถึงเอ่ยถามออกไปก็คงได้คำตอบที่เพิ่มความน่าสงสัยให้เหมือนอย่างเคยจึงเลือกปิดปากเงียบ

“ถ้างั้นวันนี้ผมจะปิดร้านเองนะครับ เอริคกลับก่อนได้เลย” คนผมดำเอ่ยขณะกำลังจัดโต๊ะจัดเก้าอี้เข้าที่ให้เรียบร้อย เอริคตอบรับเบา ๆ แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ ก่อนที่ชายวัยเลขสามจะเดินออกจากร้านไป เสียงทุ้มของคาลอสก็ดังทักขึ้น

“เดี๋ยวก่อนเอริค นายต้องไปทำธุระกับฉัน”

เจ้าของร้านว่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วก้าวเดินเข้าไปหา ทว่าก่อนจะจากไป ดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวยก็หันกลับมาสบกับเขา

“เควิน ถ้าจัดการอะไรเสร็จแล้วนายขึ้นไปพักได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”

“…”

“แต่ฉันจะกลับมา”

น้ำเสียงทุ้มน่าฟังของคาลอสไม่ได้เอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยนแต่กลับอบอุ่นต่อหัวใจคนฟัง มวลความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นโดยที่เจ้าของเองก็ไม่ทันรู้ตัว

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ครอบครัวของชายหนุ่มยังอยู่กันพร้อมหน้า เวลาที่จอห์น พ่อเลี้ยงและแม่ของเขาออกไปทำงาน เควินต้องอยู่กับน้องสาวเพียงแค่สองคน ในทุกครั้งจะมีคำพูดหนึ่งที่คนเป็นที่รักจะบอกกับเขา คำพูดเพียงไม่กี่คำที่เขารอคอยจะได้ยินมันเสมอ

‘แล้วจะกลับมา’

ราวกับคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เพื่อบอกว่า… ไม่ว่าจะห่างไปไกลเพียงเท่าใด นานสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็จะกลับมาหากัน

…นานมากแล้วที่เควินไม่ได้ยินคำพูดนี้จากใครสักคน

รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้า เขายิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีที่มีอยู่เต็มอก แววตาที่ส่งออกไปเจือไว้ด้วยความโหยหา เหมือนรอคอยเวลาที่จะได้ยินถ้อยคำนั้นอีกครั้งมานานแสนนาน

“ครับ”

…แล้วกลับมานะครับ

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย

 

 

 


Talk

อย่าลืมนะคะ ถ้าชอบก็ฝากส่งฟีดแบค คอมเม้นท์ หรือเล่นแท็กในทวิตให้ไรท์หน่อยน้า จะได้รู้ว่ายังมีคนสนใจและรออยู่ กำลังใจจากทุกคนมีค่าสำหรับสายผลิตมากเลยนะคะ