12 ตอน Chapter 11
โดย Marin
คาลอสพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกับเหล่าสมาชิกได้ไม่นานก็ขอตัวกลับ ระยะทางจากฐานประชุมพันธมิตรจนถึงร้านคาเฟ่คนตายค่อนข้างไกลกันอยู่พอสมควร แม้จะเป็นส่วนที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาและสามารถใช้เวลาเพียงนิดเดียวในการไปถึงที่หมายได้ แต่แวมไพร์หนุ่มก็เลือกที่จะเดินเท้าไปตามทางแทน
ร้านคาเฟ่คนตายในเวลานี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพนักงานใหม่ คาลอสค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือแผ่นหลังของเควินที่กำลังยืนเลือกแผ่นเสียงอยู่ตรงเครื่องเล่น และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังย่างกรายเข้าใกล้ตัวเอง
คาลอสเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบและกะจะเอ่ยทักทาย แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มเคยบอกไว้ว่าไม่ชอบให้เขาโผล่เข้าไปในระยะประชิด คาลอสขยับตัวถอยหลังสองสามก้าว เอ่ยเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาเพื่อให้คนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ตัวไม่ตกใจจนเกินเหตุ
“เควิน”
“…!” แต่ความพยายามของเขาคงไม่ช่วยอะไรเลยในเมื่อหนุ่มผมดำยังตกใจสะดุ้งจนตัวโยนอยู่ดี
“คาลอส ขะ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรครับ”
เควินกระวีกระวาดเก็บแผ่นเสียงทั้งหมดเข้าที่เดิมด้วยกลัวว่าเจ้าของร้านจะไม่ชอบใจที่เขาไปแตะต้องของในร้านโดยไม่ได้รับอนุญาต
“สักพักแล้ว ทันเห็นนายกำลังยืนเลือกแผ่นเสียงอยู่นั่นแหละ”
“งะ งั้นเหรอครับ”
“แต่นายนี่ไม่ระวังตัวเอาซะเลยนะ”
“คือผม…” เควินอึกอัก
สายตาคมที่มองมาทำให้ตระหนักได้ว่าตัวเองประมาทและไม่ระวังอย่างที่เขาว่าจริง ๆ หากคนที่เข้ามาในร้านไม่ใช่คาลอสแต่เป็นคนอื่นที่ประสงค์ร้าย เขาคงได้นำความเดือดร้อนมาให้อีกเป็นแน่
“ผมไม่ได้ยินเสียงคุณเปิดประตูเข้ามา…”
“ถ้ามีใครอาศัยจังหวะนี้เข้าถึงตัวนายแล้วทำร้ายจนบาดเจ็บจะทำยังไง”
“…”
คนโดนดุก้มหน้าเม้มปากแน่น ไม่มีถ้อยคำแก้ตัวใดหลุดออกมาเพราะเขาประมาทเกินไปจริง ๆ ที่คิดว่าช่วงกลางวันแบบนี้คงไม่มีใครเข้ามาในร้านจึงไม่ได้ล็อกประตูเอาไว้ แถมประสาทการรับรู้ยังต่ำเตี้ยถึงขนาดไม่รู้สึกตัวทั้งที่มีคนเข้ามาประชิด
“ขอโทษครับ…”
“…” คนตัวสูงนิ่งเงียบไปเมื่ออีกคนเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น “ทำท่าทางแบบนี้อีกแล้ว”
“ครับ?” เควินเงยหน้าเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาอย่างราบเรียบ
“ฉันไม่ได้ดุให้นายรู้สึกผิดแล้วขอโทษ แต่อยากให้นายระวังตัวเอาไว้หน่อย” ว่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วคนโตกว่าก็เดินเลี่ยงไปที่บาร์เครื่องดื่ม ทิ้งให้เควินยืนงงอยู่ตรงนั้น
“ถ้าอยากฟังก็เลือกเปิดเอาสักแผ่นสิ” ชายเจ้าของร้านบอกระหว่างที่กำลังเลือกหยิบขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงมาจากชั้น
เควินพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับไปเลือกแผ่นเสียงแบบสุ่ม ๆ แล้วนำมันใส่เครื่องเล่น จากนั้นกลับมานั่งทานอาหารมื้อแรกที่โต๊ะตัวหนึ่งใกล้กันกับบาร์เครื่องดื่มตามเดิม
ชายหนุ่มวางแผนไว้ว่าจะเข้าเมืองไปในช่วงบ่ายเพื่อหาเบาะแสและข้อมูลเพิ่มเติม แผ่นพับข้อมูลของเมืองที่ได้มาตั้งแต่วันแรกถูกนำมาใช้อีกครั้ง เขากางแผ่นกระดาษไว้บนโต๊ะแล้วไล่สายตาดูแผนที่อีกรอบเพื่อทบทวนความจำ
เสียงกุกกักและเสียงกระทบกันของก้นขวดแก้วยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เควินไม่ได้สนใจเพราะเขากำลังจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำอยู่ จนเมื่ออ่านข้อมูลทุกอย่างซ้ำอีกครั้งจนครบแล้ว หนุ่มผมดำเบนสายตาไปหาเจ้าของร้านที่คิดจะดื่มตั้งแต่หัววัน
แบบนั้นมันจะไม่สบายท้องเอาน่ะสิ
ไวกว่าความคิด ประโยคคำถามก็ถูกเอ่ยออกไป “คุณกินอะไรมาหรือยังครับ”
คาลอสชะงักมือ ส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ
ความจริงแล้วแวมไพร์ไม่เคยมีความรู้สึกหิวกระหายสิ่งอื่นนอกจากเลือด อาหารหรือน้ำต่าง ๆ ที่กินดื่มลงไปทั้งหมดก็เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับชีวิตเท่านั้น รวมถึงเครื่องดื่มมึนเมาเหล่านี้ที่เขามักจะดื่มมันแทนความอยากเวลาต้องการเลือด แต่ในเมื่อพนักงานใหม่เสนอจะทำอะไรบางอย่างให้ก็คงไม่อาจปฏิเสธน้ำใจได้ลง
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ถึงผมจะทำอาหารไม่เก่งเท่าเอริคแต่ก็พอกินได้...”
“…”
“ถ้ายังไม่หิว เอาเป็นช็อกโกแลตร้อนอย่างที่คุณชอบดีไหมครับ”
คาลอสมองหน้าเด็กหนุ่มสลับกับขวดเครื่องดื่มในมือ ชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี ทว่าสุดท้ายก็ตกปากตอบรับ “ทำมาให้ฉันสักแก้วแล้วกัน”
ได้เครื่องดื่มที่ชอบก็คงดีกว่าดื่มเหล้าพวกนี้
คาลอสยังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มขณะกำลังลงมือชงเครื่องดื่มให้เขา แต่เควินไม่ได้สนใจ ภายในหัวคิดถึงแต่เรื่องเบาะแสที่พอจะเชื่อมโยงได้กับเหตุการณ์การตายของพ่อแม่เขา
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการถามเอาตรง ๆ กับชาวเมืองถึงคุณชายตระกูลหนึ่งที่เขาได้ยินมันจากคนแปลกหน้าเมื่อคืนนั้น แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายดั่งใจ หากลูกหลานหรือคนในตระกูลยังมีชีวิตอยู่และอาศัยอยู่ในกรีฟทาวน์ การที่เขาจะโพล่งเข้าไปถามแบบนั้นมันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก พวกเขาอาจสงสัยหรือข้องใจจนลามไปให้เกิดเรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมาได้
เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
สิ่งที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้คือการหาข้อมูลของเมืองเก่าแก่แห่งนี้ให้ได้มากที่สุด ทั้งประวัติความเป็นมา เรื่องราว เหตุการณ์ หรือคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะหาทั้งหมดนั้นได้ในเวลาอันสั้น
“ช็อกโกแลตร้อนหวานน้อยของคุณครับ” หนุ่มวัยรุ่นยื่นแก้วเครื่องดื่มอุ่นร้อนที่ชงเสร็จเรียบร้อยแล้วไปให้คาลอส เขารับไว้พลางเอ่ยขอบคุณเบา ๆ
เสียงเพลงและความเงียบยังคงปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ พนักงานใหม่ย้ายตัวเองมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับเจ้าของร้านในฝั่งตรงกันข้าม ต่างคนต่างนั่งหันหน้าเข้าหากันทว่าไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย คาลอสใช้เวลาของตัวเองในการละเมียดชิมรสของเครื่องดื่มที่ชอบ ส่วนเควินก็กลับมาจดจ่อกับหน้าเว็บไซต์ข้อมูลของเมืองที่เปิดหาเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ต
ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนนั้นไม่ได้มีมากไปกว่าสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไล่สายตามันซ้ำอีกรอบเผื่อว่าจะมีรายละเอียดอื่น ๆ แทรกอยู่ในบทความที่เล็ดลอดผ่านสายตาของเขาไป
กรีฟทาวน์ หนึ่งในเมืองที่มีความโบราณไม่แพ้ที่อื่น ๆ เมืองเก่าแก่อายุหลายร้อยปีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของสิ่งลี้ลับและเรื่องสยองขวัญ ตำนานของกรีฟทาวน์ที่เลื่องลือมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดและถูกพบเห็นครั้งแรกที่เมืองแห่งนี้
“...ยังไงบ้าง”
สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ร่างกายซีดขาวที่ไม่ยอมย่อยสลายรวมไปกับผืนดิน ผู้คนในสมัยก่อนต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมา แต่จากหลักฐานที่สันนิษฐานว่าเป็นของใช้เก่า ๆ ของคนกลุ่มหนึ่งเมื่อสมัยนั้นก็พอจะบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเหล่านั้นมีอยู่จริง และมันถูกเรียกขานว่า...
“เฮ้ เควิน”
“ฮะ ครับ!”
เมื่อรู้ตัวว่าจดจ่อกับการหาข้อมูลในโทรศัพท์มือถือมากเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของร้าน เควินก็รีบตอบรับอย่างร้อนรน กดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางคว่ำไว้ที่โต๊ะ
“เรียกผมมีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ได้ฟังกันเลยสินะ... ฉันถามว่าทำงานที่ร้านนี้เป็นยังไงบ้าง”
“อ๋อ เรื่องนั้น...ทุกอย่างโอเคครับ สบายมาก”
“สภาพนายไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะ”
เควินชะงัก เขาไม่คิดว่าคนที่ดูเหมือนไม่สนใจใครอย่างคาลอสจะดูออกว่าช่วงนี้สภาพร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรง
“ความจริงก็เหนื่อยนิดหน่อยครับ... งานที่นี่สบายกว่างานอื่นที่ผมเคยทำมาเยอะเลย แต่ว่าเพราะต้องทำงานตอนกลางคืนถึงเช้ามืด มันทำให้ผมรู้สึกล้า…” เสียงท้ายประโยคแผ่วเบาลง
“นายหยุดงานได้ ถ้าวันไหนไม่ไหวก็แค่ไปบอกเอริค”
“จริงเหรอครับ”
“ฉันจะโกหกทำไม” ชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองเหลือบตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ย้อนถามเหมือนไม่เชื่อกัน
คาลอสในตอนนี้ดูต่างออกไปมากจากครั้งแรกที่พบกัน แม้รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตา และลักษณะภายนอกจะยังดูน่ากลัวเหมือนเดิม แต่พอได้พูดคุยและใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เขาก็แน่ใจแล้วว่าคาลอสน่ะ...เป็นคนใจดีกว่าที่คิด
“จะเสียมารยาทหรือเปล่าครับถ้าผมขอถามเหตุผลของการเปิดร้านในช่วงเวลาที่...ไม่เหมือนใครแบบนี้” ทีแรกเควินกะจะใช้คำว่า ‘ไม่ปกติ’ แต่ก็ต้องละไว้ในใจ
“นายก็ถามออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ” คาลอสว่ายิ้ม ๆ “เหตุผลง่าย ๆ ข้อเดียว ฉันชอบเวลากลางคืน”
“…”
“อีกอย่าง เปิดร้านเวลานั้นน่ะตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ” เควินตอบรับไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจไม่ได้คลายความสงสัยเลยสักนิดเดียว “แล้ว...ทำไมคุณถึงให้เงินเดือนพนักงานเยอะจังเลยล่ะครับ ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ผมรู้สึกว่ารายได้ในแต่ละคืนก็ไม่ได้มีมาก บางคืนลูกค้ายังเข้ามาน้อยจนนับนิ้วได้อีก แต่คุณจ่ายค่าจ้างให้เยอะขนาดนี้ คุณ...ยังมีเงินใช้อยู่ใช่ไหมครับ”
สิ้นประโยคนั้น เควินทำเพียงช้อนตามองคาลอสนิ่ง ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวเร็วเพราะกลัวจะโดนเจ้าของร้านดุด่าที่พูดจาแบบนั้นออกไป
“…”
“…”
ทั้งสองมองหน้ากันสักพักจนเป็นคาลอสที่หลุดหัวเราะออกมาทำลายความเงียบ
“นายกลัวว่าฉันจะล้มละลาย?”
“เปล่านะครับ! คือผมสงสัยก็เลยอยากจะรู้คำตอบเท่านั้นเอง”
โซฟาที่เควินนั่งอยู่มีพื้นที่ออกตั้งกว้าง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงจนแทบจะจมหายไปกับพื้นเบาะ ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดูตัวใหญ่และมีอำนาจมากมายขึ้นมาเสียอย่างนั้น หนุ่มวัยรุ่นก้มหน้าลง สองมือกุมประสานกันไว้พลางใช้นิ้วโป้งข้างขวาของมือที่ถนัดเกลี่ยสัมผัสเบาบางที่นิ้วเดียวกันของมืออีกข้าง...การกระทำที่เขาจะเผลอแสดงมันออกมาเมื่อรู้สึกไม่มั่นใจและพยายามปลอบใจตัวเองว่ายังมีใครบางคนอยู่ข้าง ๆ ที่กุมมือเขาไว้
“ไม่ต้องคิดแทนเจ้าของกิจการหรอก อีกอย่าง เรื่องเงินเดือนที่นายบอกว่าเยอะไป ฉันไม่คิดแบบนั้น”
“…”
คาลอสได้รับรู้เรื่องราวของพนักงานใหม่ตั้งแต่วันแรกที่เอริครับเข้ามาทำงานผ่านการอ่านจดหมายที่เจ้าตัวเขียนเอาไว้ให้ เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีที่เพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองห่างไกลด้วยตัวคนเดียว สิ่งแรกที่ทำคือการเดินหางาน อีกทั้งเงื่อนไขในการรับสมัครของร้านที่เอริคเขียนเอาไว้ก็ไม่ชัดเจนเสียเลย แต่เควินก็ยังตอบตกลงทันทีและยังดูดีใจเป็นอย่างมาก
คืนแรกของการทำงานยังมีความตั้งใจถึงขึ้นไปยืนรอต้อนรับลูกค้าอยู่ที่หน้าร้าน แม้บางวันจะมีท่าทีเหนื่อยล้าที่ต้องคอยอยู่บริการลูกค้าจนถึงเช้ามืด แต่ไม่ว่าครั้งไหน ๆ ที่ลูกค้าเรียกใช้ เขาก็จะเรียกความสดใสให้กลับมา แปลงเป็นรอยยิ้มสวยบนใบหน้าให้แก่ลูกค้าเหล่านั้นอยู่เสมอ บางครั้งที่มีลูกค้านิสัยเสียเอะอะโวยวาย เขาก็ยังใจเย็นและพยายามปรับอารมณ์ลูกค้าให้เย็นลงเสมอถึงมันจะไม่ค่อยได้ผลแล้วต้องให้เอริคยื่นมือเข้าไปช่วยก็ตาม
นั่นถือเป็นการพิสูจน์กับเจ้าของร้านแล้วว่าพนักงานใหม่คนนี้มีความตั้งใจและใส่ใจที่จะทำงานให้สำเร็จไปได้ด้วยดีอย่างจริงจัง เงินที่เขาได้รับไปนั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็ในมุมมองของคาลอสที่เป็นคนจ่ายเงินเดือน
“ไม่ว่าใครก็อยากได้ค่าตอบแทนให้คุ้มกับที่เหนื่อย จริงไหม”
“ขอบคุณนะครับ...”
“ด้วยความยินดี แต่นายไม่ต้องทำเหมือนฉันเป็นพ่อพระอะไรเทือกนั้นหรอกนะ มันน่าขนลุก”
เควินหัวเราะออกมากับท่าทางประกอบคำว่า ‘น่าขนลุก’ ของคนตรงหน้า
คนที่นัยน์ตาแฝงไปด้วยความน่ากลัวและกำลังกายที่แข็งแกร่งจนทำให้เขาไม่สามารถดิ้นหนีเอาชีวิตรอดได้เมื่อคราวนั้น ที่แท้จริงแล้วกลับใจดีและมีรอยยิ้มน่ามองกว่าที่คิด
เวลาพบเจอการกระทำของอีกฝ่ายที่ไม่คุ้นชินแบบนี้ทีไร หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะไปเสียทุกครั้ง
...เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย
TBC
#คาเฟ่คนตาย
Talk
บทนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันค่ะ ใครหวังว่าพระเอกเรื่องนี้จะนิ่งๆ โนค่ะ คาลอสเป็นแวมไพร์ใจดีที่สุดในโลก เวลาอยู่กับคนสนิทอย่างเอริคหรือดีนก็จะเป็นตัวเองที่สุดเลย ส่วนเควินน้องน้อยของมัมหมีอยู่ในช่วงที่พยายามเข้ากับทุกคนให้ได้มากขึ้นอยู่ค่ะTT
แล้วพบกัน(อาจจะนานหน่อย;-;) เลิฟ
Comments (0)