วันเวลาผันผ่านไปได้เก้าวันแล้วนับตั้งแต่ที่เควินได้มาเยือนที่เมืองกรีฟทาวน์ เขาเริ่มปรับตัวกับการอาศัยอยู่ที่นี่ได้มากขึ้น งานในร้านคาเฟ่คนตายก็ไม่ได้นักหนาอะไรถ้าเทียบกับงานอื่น ๆ ที่เคยทำมา หน้าที่ของเขามีเพียงการต้อนรับและบริการลูกค้าที่ก็ไม่ได้มีมากมายนักในแต่ละคืน

เวลาว่างในช่วงกลางวันนั้นมีมากพอให้เขาได้ไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ และทำความรู้จักกับคนในเมือง เควินได้ไปทักทายเจ้าของร้านบาร์ตรงลานกลางเมืองอย่างสเตฟาน และคาร่า หญิงสาวเจ้าของร้านดอกไม้ อีกคนหนึ่งที่เมื่อเจอกันก็จะแวะทักทายและคอยให้ความช่วยเหลือกับเขาตลอดตั้งแต่เดินทางมาที่เมืองนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจโทนี่

ร้านอาหารโฮมคุกกิ้งของแมรี่มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนซึ่งก็คือเควิน ในแต่ละวันเขาชอบที่จะไปนั่งเล่นและฝากท้องที่ร้านของเธออยู่เป็นประจำจนเริ่มสนิทกันมากขึ้น เขาติดใจในรสชาติอาหารฝีมือเธอ วัตถุดิบ เครื่องเทศ และความใส่ใจในการปรุงอาหาร องค์ประกอบทุกอย่างเข้ากันดีอย่างลงตัวส่งผลให้อาหารแต่ละจานมีรสชาติแสนอร่อยและสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของคนทำ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เหตุผลหลักที่ทำให้ชายหนุ่มแวะเวียนมาหาแมรี่อยู่บ่อยครั้งเป็นเพราะรอยยิ้มและความเอ็นดูที่เขาได้รับจากหญิงสูงวัย...มันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้อยู่กับคนในครอบครัว

จากการได้สนทนากันหลายต่อหลายครั้งทำให้เควินรู้ว่าแมรี่เป็นคนจากเมืองอื่นที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอกับจอร์จ สามีของเธอพบรักกันที่เมืองกรีฟทาวน์แห่งนี้ ทั้งคู่คบหาดูใจกันจนได้แต่งงานและชวนกันย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่บ้านเกิดของฝ่ายชาย

“รู้อะไรไหม ตอนฉันย้ายมาที่นี่ใหม่ ๆ กรีฟทาวน์เป็นเมืองที่น่ากลัวมาก สภาพบ้านเมืองก็เก่าโทรม บ้านหลังที่มีคนอาศัยอยู่จริง ๆ ก็มีแค่ไม่กี่หลังเอง ลองนึกถึงคนขี้กลัวอย่างฉันดูสิ ถ้าไม่มีจอร์จอยู่ด้วยฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้ลงได้ยังไง”

“ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนสภาพบ้านเรือนจะดูใหม่กว่านี้เหรอครับ”

“ใช่ซะที่ไหนล่ะ มันก็เก่าแบบนี้มาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะหอสมุดกับสุสานตรงป่าท้ายเมืองน่ะ น่ากลัวสมคำร่ำลือ”

“เฮ้ ที่รัก คุณก็ว่าเกินไป” เสียงท้วงดังขึ้นจากจอร์จที่เดินออกมาจากตัวบ้าน เขาส่งสายตาขอโทษขอโพยชายหนุ่มแล้วเอ่ยกับภรรยา “คุณนี่มีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยสิท่า เควินเขาจะไม่ชอบใจเอาหรือเปล่าที่ต้องมาฟังเรื่องน่าเบื่อแบบนี้”

“ไม่เลยครับ ถ้าสะดวกจะเล่าผมก็อยากฟัง”

“เห็นไหมคุณ เควินชอบฟังเรื่องที่ฉันเล่าจะตาย เนอะ”

แมรี่ว่าด้วยน้ำเสียงสดใส จอร์จส่ายหน้าหน่าย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความเอ็นดูในตัวในภรรยาก็ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การหยอกล้อกันของสองสามีภรรยาทำให้เควินหัวใจพองโต

“จอร์จ ผมถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”

“ว่ามาสิ”

“คุณอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือเปล่าครับ”

“ใช่ ฉันเกิดแล้วก็โตที่กรีฟทาวน์ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ย้ายไปที่อื่นเลย”

“ถ้างั้นคุณพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูล...”

ก๊า!

คำถามของชายหนุ่มยังไม่ทันถูกเอื้อนเอ่ยจนจบประโยค เสียงร้องของอีกาดำตัวหนึ่งก็ดังทะลุกลางปล้องมาจนพวกเขาทั้งสามตกใจ

“โอ้พระเจ้า... มันมาจากไหนกัน” จอร์จพึมพำ

เควินหันมองไปตามที่มาของเสียง ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อีกฟากฝั่งถนนมีอีกาดำตัวใหญ่เกาะอยู่บนนั้น สายตาของมันคล้ายกับกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา เขาไม่ใช่คนที่กลัวสัตว์จำพวกนก แต่ขนาดตัวและสายตาของมันที่มองมาทำเอารู้สึกหวาดหวั่น ไม่นานมันก็บินจากไป

“ที่รัก คุณโอเคไหม”

ชายเจ้าของร้านโฮมคุกกิ้งเดินเข้าไปกอดปลอบคนรักที่ดูท่าจะตื่นตระหนกกว่าใครเพื่อน ชายหนุ่มเองเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วว่าตอนนี้หญิงสูงวัยไม่อยู่ในสภาวะที่สามารถคุยเล่นได้ปกติเหมือนเคยจึงเลือกเก็บคำถามนั้นเอาไว้แล้วขอตัวออกจากร้านเพื่อกลับไปทำงานต่อ

 

 

 

“เควิน นายไม่ได้ทำอาหารกินเหรอ ฉันไม่เห็นว่าวัตถุดิบมันจะลดลงไปสักเท่าไรเลย”

พนักงานทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ในห้องครัวด้านหลังร้าน พื้นที่ปรุงอาหารมีขนาดกว้างขวาง อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างก็ครบครันอย่างที่ห้องครัวของร้านอาหารควรจะมี

ร้านคาเฟ่คนตายเป็นร้านที่มีอาหารให้เลือกหลากหลาย บางครั้งก็ทำตามใจเชฟซึ่งก็คือเอริค เควินเองมีหน้าที่นำรายการอาหารมาส่งให้พ่อครัวจึงจำเป็นต้องศึกษารายการอาหารทั้งหมดของร้าน รวมถึงรายการเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่นกัน ทั้งหมดก็เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง

“ผมเกรงใจน่ะครับ กลัวว่ามันจะเปลือง”

“ไม่เอาน่า ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าวัตถุดิบทุกอย่างในร้านนายสามารถเอาออกมาทำอาหารได้เลย ที่พักและอาหารสามมื้อตามเงื่อนไข จำไม่ได้เหรอ”

“จำได้ครับ ที่จริงผมก็เอาออกมากินบ้างแล้วนะ”

“ไอ้พวกนมจืด ซีเรียล ขนมปัง อาหารทั่ว ๆ ไปนั่นน่ะเหรอ มันจะไปอร่อยเท่ากินเนื้อได้ยังไงกัน” เควินยู่หน้าเมื่อโดนบ่น ชายร่างสูงยื่นรายการอาหารมาตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “หิวหรือเปล่า เลือกมาสักอย่างสิเดี๋ยวฉันทำให้กิน”

“จะดีเหรอครับ อีกอย่างนี่ก็ใกล้เวลาเปิดร้านแล้วด้วย ผมควรจะไปอยู่รอต้อนรับลูกค้า”

“ร้านนี้แทบจะร้างอยู่แล้ว ลูกค้าไม่เยอะจนนายไม่มีเวลากินข้าวหรอกน่า”

จริงอย่างที่เอริคบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อคิดได้แบบนั้นเควินจึงเลือกอาหารมาหนึ่งเมนู เป็นเมนูง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้วัตถุดิบมากนัก เอริคทำมือเป็นสัญลักษณ์ ‘โอเค’ ส่งมาแล้วเริ่มลงมือปรุงอาหารอย่างคล่องแคล่ว

“คงเริ่มคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้นแล้วสิ ฉันได้ยินมาว่านายไปเดินสำรวจเมืองแล้วก็ไปทำความรู้จักกับพวกเจ้าของร้านตรงลานกลางเมืองมา”

“ช่วงกลางวันมันว่างน่ะครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรดีเลยไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงที่นี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ...ผมหมายถึงตอนกลางคืนน่ะ บ้านเมืองถึงจะอยู่ในสภาพเก่าโทรม แต่พอได้เห็นตอนที่ฟ้าสว่างก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับสถาปัตยกรรมสมัยก่อนมากกว่า อีกอย่างคนที่นี่ก็ใจดีมากเลย”

บทสนทนาดำเนินไปด้วยความเรียบง่ายและเป็นกันเอง ไม่นานอาหารฝีมือเอริคที่ชายหนุ่มจะได้ลองชิมเป็นครั้งแรกก็เสร็จเรียบร้อย จานอาหารถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า กลิ่นหอมโชยขึ้นมาแตะจมูกทำเอาน้ำลายสอ เขาใช้มีดหั่นชิ้นเนื้อเข้าปาก ความนุ่มของเนื้อสัตว์และความเข้ากันดีของเครื่องเทศทำให้เขาร้องครางในลำคอออกมาด้วยความปีติ

“อร่อยมาก! ขอบคุณครับเอริค”

คนเป็นพ่อครัวยืนมองหนุ่มวัยรุ่นที่กินอาหารฝีมือตัวเองด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยก็ยิ้มออกมา นึกเอ็นดูอีกคนราวกับเป็นน้องชาย

 

หลังจากนั้นไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงเพลงที่ดังแว่วมาจากหน้าร้านและเสียงช้อนกระทบจานที่ทำให้บรรยากาศตรงนั้นไม่เงียบจนเกินไป กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืน ร้านคาเฟ่คนตายก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นรายแรก

กริ๊ง

“Finally!”

เควินร้องอุทานออกมาอย่างดีใจ มือหยิบของต่าง ๆ สำหรับรับออเดอร์แล้วเดินออกไปต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อผลักประตูเข้าไปยังโซนหน้าร้านก็เห็นชายร่างสูงหน้าตาถมึงทึงคนหนึ่งกำลังก้าวฉับ ๆ ไปยังโต๊ะตัวริมซ้ายสุดของร้าน ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้นำมันมาใส่ใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอลูกค้าท่าทางแปลก ๆ แบบนี้

“ขออนุญาตวางเมนูครับ มาท่านเดียวนะครับ อีกห้านาทีผมจะมารับ—”

“ฉันขอเดดลี่เลดี้”

เสียงทุ้มต่ำของชายร่างสูงดังแทรกขึ้นมา ชื่อรายการอาหารที่ได้ยินทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วและถามซ้ำ

“ครับ?”

“...”

“เอ่อ...”

เควินอึกอัก ไม่ใช่ว่าเขาฟังสิ่งที่ลูกค้าท่านนี้พูดไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่จำได้ร้านคาเฟ่คนตายไม่มีเมนูนั้นอยู่ในรายการอาหาร

“ฉันขอเดดลี่เลดี้ ไม่ได้ยินหรือไง”

จากเดิมที่ตั้งใจจะขอให้ลูกค้าเปลี่ยนเมนูก็ต้องชะงัก เพราะแววตาและท่าทางที่ดูอันตรายทำให้ชายหนุ่มต้องขยับถอยหลังออกมาสองสามก้าว

“ดะ ได้ครับ รออาหารประมาณสิบห้านาทีนะครับ”

เควินเก็บรายการอาหารกลับมาแล้วเดินเข้าไปหาเอริคที่ห้องครัว ใบหน้ายังคงฉายแววสงสัย หัวคิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นโบ

“เอริค นี่คือรายการอาหารทั้งหมดที่มีในร้านแล้วใช่ไหมครับ” เขาถามพร้อมชูแผ่นเมนูในมือให้ดู

“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า”

“ลูกค้าเขาสั่งอาหารที่ไม่มีในเมนูน่ะครับ ผมเลยสงสัยว่ามีตรงไหนที่ผมตกหล่นไปหรือเปล่า”

“งั้นเหรอ เขาสั่งอะไรมาล่ะ”

“Deadly Lady”

“...”

เสี้ยววินาทีเหมือนเควินจะเห็นว่าสีหน้าของเอริคเปลี่ยนไป แต่แค่แวบเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ร่างสูงเอ่ยกับชายหนุ่มเสียงเรียบ

“ออกไปบอกลูกค้าว่าร้านเราไม่มีเมนูนี้ขายหรอก”

พนักงานอีกคนของร้านมีท่าทีแปลกไป เควินทำเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปหาลูกค้า

คล้อยหลังชายหนุ่ม เอริคมีสีหน้าตึงเครียด มือใหญ่สองข้างประสานกันอยู่ที่ใต้คาง ในหัวขบคิดถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินอยู่ไม่ตก ใจกระหวัดนึกถึงใครบางคนที่เขาต้องไปรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้ทราบ เอริคถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินขึ้นบันไดตรงไปยังชั้นสาม แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางหน้าร้านเสียก่อน

“พวกแกจะเก็บไว้กินกันเองล่ะสิท่า อย่าหวงของไปหน่อยเลย”

“ไม่ใช่นะครับ ร้านเราไม่มีเมนูที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ ครับ”

“โกหก! ฉันต้องการมันและฉันมีเงินจ่าย ไปเอามันมาให้ฉัน!”

“ใจเย็นก่อนนะครับ”

“ฉันบอกให้ไปเอามาเดี๋ยวนี้!!!”

ปึก ตึง!

ฟังจากเสียงแล้วเริ่มเห็นท่าไม่ดี เอริคจึงเลือกเดินกลับลงมาแล้วออกไปหาเควินก่อนที่จะเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้น

“กรุณาอย่าใช้ความรุนแรงในร้านของเราด้วยครับ”

“เอริค” ชายหนุ่มเรียกเสียงสั่น

ตั้งแต่เข้าทำงานที่ร้านนี้มาเขาไม่เคยเจอลูกค้าที่อารมณ์ร้อนและน่ากลัวแบบนี้มาก่อน ร่างของใครอีกคนเดินก้าวยาว ๆ มาคว้าแขนแล้วดึงให้ไปหลบอยู่ข้างหลัง

“ต้องขอโทษด้วยครับ สิ่งที่คุณต้องการร้านเราไม่มีขาย”

“เป็นไปไม่ได้! ครั้งก่อนที่ฉันมาก็ยังมี!”

“เควิน เข้าไปที่หลังร้าน”

เควินเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของคนที่เอาตัวเองเป็นเกราะกำบัง “แต่ว่า…”

“ไป ตรงนี้ฉันจัดการเอง”

“...ครับ”

แม้จะกังวลว่าจะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างชายทั้งสองขึ้นแต่เขาก็ยอมเดินกลับเข้าไปที่หลังร้านแต่โดยดี

ชายวัยเลขสามหันกลับไปมองเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดลงอย่างสนิทจึงหันหน้ากลับมาเผชิญกับลูกค้าแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ ทั้งสีหน้า แววตา และท่าทางช่างต่างจากตอนที่อยู่กับชายหนุ่มอีกคนลิบลับ ราวกับว่าเอริคผู้ใจดีได้หายไป สายตาหันไปเห็นสภาพโต๊ะและเก้าอี้ที่ชายตรงหน้าผลักล้มลงก็ต้องถอนหายใจออกมา

เจ้าพวกนี้นี่มันยุ่งยากซะจริง

“ไปเอาของที่ฉันต้องการมาเดี๋ยวนี้ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”

“...” เขาไม่ตอบอะไร ทำเพียงจ้องหน้ากลับไปนิ่ง ๆ

ลูกค้าคนนี้เป็นชายร่างกายสูงใหญ่ แต่ไม่มีสักนิดเลยที่เอริคจะรู้สึกเกรงกลัว กลับกันเขากลับก้าวเท้าเข้าไปใกล้แล้วพูดกระซิบข้างใบหูด้วยถ้อยคำของคนที่รู้ว่าตนเหนือกว่า

“Hey”

“...”

“You don't know who own this place, do you?”

“...!” คนฟังชะงักกึก

“บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี ถ้ายังคะยั้นคะยอจะเอาให้ได้ล่ะก็ฉันจะไปแจ้งเจ้าของร้านให้”

เอริคชี้นิ้วขึ้นไปที่ด้านบน ทั้งตาและปากส่งยิ้มให้แต่นัยบางอย่างที่สื่อออกไปไม่ใช่แบบที่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย

“ดีไหม?”

 

ด้านหลังร้านมีร่างของชายหนุ่มกำลังเดินวนไปวนมา กระวนกระวายใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเอริคกับชายน่ากลัวคนนั้น ถ้าทั้งสองมีปากเสียงกันแล้วเอริคเจ็บตัว หรือถ้าลูกค้าไม่พอใจในการกระทำของพวกเขาแล้วนำเรื่องนี้ไปบอกต่อแบบเสีย ๆ หาย ๆ จะทำอย่างไรดี

เควินคิดไม่ตก เดินวนเป็นหนูติดจั่นแบบนั้นจนกระทั่งเอริคเปิดประตูเข้ามา สองเท้ารีบก้าวเข้าไปหาพร้อมเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้างครับ”

“ฉันไล่มันออกไปแล้ว”

“อะไรนะ”

“ตามที่ได้ยินนั่นแหละ” อีกคนตอบออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ ยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ

เควินนึกโล่งใจแต่นาทีต่อมาก็มีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย เอ่ยกับตัวเองแผ่วเบา “น่าเสียดาย...ร้านเรายิ่งไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่ด้วย”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปสนใจลูกค้าประเภทนี้ก็ได้ อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ได้ถือคติว่าลูกค้าคือพระเจ้า แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเพราะชายคนเมื่อกี้เป็นลูกค้าที่นาน ๆ ทีจะมีเข้ามา

เอริคคิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างเควินจะต้องรู้สึกไม่ดีกับการที่เขาไล่ลูกค้าออกจากร้านไปแบบนี้เป็นแน่ คนอายุมากกว่าเอื้อมมือไปจับบ่าทั้งสองข้างของชายหนุ่มเอาไว้แล้วบอกอย่างจริงจัง

“ฟังนะเควิน นายไม่ต้องไปสนใจลูกค้าแบบนี้ ไม่ต้องกลัวว่าร้านจะเสียผลประโยชน์ ถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีอีกนายก็ไล่ออกจากร้านไปเลย หรือไม่ก็มาบอกฉัน”

“...”

“เข้าใจไหม”

“ครับ...เข้าใจแล้วครับ”

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย