ทันทีที่พบเจอแสงสว่างตรงปลายทางเควินก็พอหายใจได้สะดวกมากขึ้น การเดินเลือกซื้อวัตถุดิบโดยมีชายเจ้าของร้านคาเฟ่คนตายคอยตามมาอยู่เรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นชิน ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อคราวที่ตัดสินใจเข้าไปสมัครงานแล้วเจอเอริคอยู่ในร้านเพียงคนเดียวจึงเผลอคิดไปว่าคนอายุเลขสามเป็นเจ้าของร้านมาโดยตลอด แต่ความจริงกลับไม่ใช่

คาลอส ชายหนุ่มชาวยุโรปผู้เป็นเจ้าของร้านที่แท้จริงเป็นคนที่มีท่าทางแปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความน่ายำเกรงด้วยพละกำลังทางร่างกายที่แข็งแรง ยังไม่นับรวมเรื่องที่ราวกับว่าเขาหายตัวได้ แวบไปแวบมาแล้วปรากฏตรงหน้าโดยที่แทบไม่ได้ยินเสียงก้าวเดินด้วยซ้ำ

สารภาพว่าในตอนแรกที่ได้พบกัน ทั้งสถานการณ์ การกระทำ และบรรยากาศมันส่งให้อีกคนดูน่าหวาดกลัว แต่เมื่อได้ออกมาทำธุระด้วยกันในวันนี้และลองสังเกตดูอีกครั้ง หนุ่มผมดำรู้สึกว่าความจริงแล้วเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทองก็ดูเป็นคนใจดีและช่างพูด

“เฮ้ เควิน” กริ่งข้างหน้าร้านดังขึ้นพร้อมเสียงหวานใสเอ่ยทักทาย วันนี้หญิงสาวเจ้าของร้านดอกไม้ก็อยู่ในชุดสดใสเหมือนอย่างเคย

“สวัสดีคาร่า มาซื้อของเหรอครับ”

“สเตฟานเขารบเร้าให้ฉันทำมื้อเย็นให้ทานน่ะสิ พอบอกว่าให้ไปกินที่ร้านอาหารของแมรี่ก็ปฏิเสธ บอกจะให้ฉันทำให้ลูกเดียว ก็เลยต้องมาหาซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารให้เขานี่แหละ” คาร่าบ่นอุบ “แล้วนี่นาย...”

“เอริควานให้ผมมาซื้อวัตถุดิบไปตุนไว้ที่ร้านน่ะ”

“งั้นเหรอ”

หญิงสาวตอบรับเพียงเท่านั้น ต่างคนต่างใช้เวลาส่วนตัวในการเลือกซื้อของ เควินแอบมองเธออยู่ห่าง ๆ คาร่าเป็นสาววัยผู้ใหญ่ที่หน้าตาสะสวย ผิวร่างกายขาวเนียนตลอดทั้งตัว ส่วนสูงตามมาตรฐานของผู้หญิงชาวยุโรป เธอเป็นคนใจดี และสิ่งที่มีประดับใบหน้าเสมอก็คือรอยยิ้มน่ามอง แต่เห็นทีคงมีเพียงเจ้าของร้านบาร์ตรงลานกลางเมืองที่ทำให้เจ้าตัวแสดงอาการทางสีหน้าแบบอื่นได้บ้าง

บางอย่างผุดขึ้นมาสะกิดใจ สายตาหันมองเสี้ยวหน้าของคาร่า ลังเลว่าจะก้าวเข้าไปถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจดีหรือเปล่า ชายหนุ่มค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้นพลางชั่งน้ำหนักในใจ แต่ก่อนจะได้ถามอะไรออกไปคนข้างกายก็ชิงเปิดประเด็นขึ้นมาเสียก่อน

“มีอะไรหรือเปล่า”

“คือ… คาร่า คุณรู้จักเจ้าของร้านคาเฟ่คนตายไหมครับ”

หญิงสาวเลิกคิ้ว ทำหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณคาลอสน่ะเหรอ”

เควินตาโต ภายในอกเต้นเป็นจังหวะที่เร็วขึ้นกับคำตอบที่ได้รับ

“ใช่ครับ ผมเพิ่งได้เจอกับเขาเมื่อเช้าแล้วเขาบอกว่าเป็นเจ้าของร้าน ผมเลยแปลกใจน่ะ นึกว่าเอริคเป็นเจ้าของร้านเสียอีก”

“เขากลับมาแล้วเหรอ”

“ครับ?”

“เมื่อตอนนั้นฉันได้ยินว่าเขาออกจากเมืองไปน่ะสิ แต่ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกนะ เคยเจอกันผ่าน ๆ เท่านั้นเอง รายนั้นเก็บตัวจะตาย ไม่ต่างจากเอริคนักหรอก”

เควินขมวดคิ้วเอียงคอสงสัย เกิดความคัดค้านอยู่ภายในใจ

คาลอสน่ะเหรอเป็นคนเก็บตัว นั่นมันฟังดูต่างกันลิบลับกับคนที่ชวนเขาคุยจ้อเมื่อเช้าเลยไม่ใช่หรือไง

บทสนทนาของคนทั้งคู่มีเพียงแค่นั้น เมื่อทำธุระของวันนี้เสร็จสิ้นเควินก็โบกมือลาคาร่าแล้วแยกย้ายกันตั้งแต่ที่หน้าร้านขายเนื้อสัตว์ ชายหนุ่มก้มลงมองถุงของที่ถือไว้เต็มสองมือแล้วก็ต้องปาดเหงื่อ ใบหน้าเงยมองท้องนภาสีฟ้าแสนกว้างใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะออกแรงแบกหิ้วของทั้งหมดแล้วเดินตรงกลับไปที่ร้าน ระหว่างทางไม่ลืมที่จะแวะทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของคู่รักสูงวัยอย่างแมรี่และจอร์จที่ยังคงเปิดร้านและทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนได้กินอยู่ทุกวัน

“คุณเป็นยังไงบ้างครับ จากเมื่อวันนั้น…”

“วันที่มีอีกาดำตัวใหญ่มาเกาะบนต้นไม้ฝั่งตรงข้ามน่ะเหรอ แค่ตกใจเท่านั้นเอง ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันดีขึ้นมากแล้วล่ะ”

บรรยากาศภายในร้านอาหารโฮมคุกกิ้งของแมรี่เริ่มคึกคักขึ้นเนื่องจากนักท่องเที่ยวพากันทยอยเข้าเมืองมาเพื่อรอชมงานประจำปีของกรีฟทาวน์แล้ว ถนนสองข้างทางมีผู้คนที่ทั้งเดินเท้าและปั่นจักรยานสัญจรผ่านไปมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเงียบสงบกว่าหลาย ๆ เมืองที่เขาเคยอาศัยอยู่ ขณะเดียวกันเมืองโบราณอายุหลายร้อยปีแห่งนี้ก็ยังคงมีเรื่องลึกลับและความน่าสงสัยอยู่มากมายเต็มไปหมด

หลายวันที่ผ่านมาเควินมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงานและการทำความรู้จักผู้คนภายในเมืองให้มากขึ้นจนไม่ได้ทำตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางมาที่นี่สักเท่าไร แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถือเป็นการช่วยให้การตามหาความจริงครั้งนี้ง่ายขึ้น ชายหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังออกนอกเส้นทาง

 

 

 

ตรอกซอยที่ตั้งของร้านคาเฟ่คนตายมีเพียงแสงไฟสลัวและความเงียบสงัดเหมือนอย่างเคย ต่างกันที่คืนนี้ภายในร้านที่ปกติจะมีพนักงานประจำอยู่แค่สองคนกลับมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มด้วย เควินคอยต้อนรับและบริการลูกค้าด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม แต่ความสนใจของสายตากลับถูกเบี่ยงเบนไปหยุดอยู่ที่ร่างของชายเจ้าของร้านตลอดทั้งคืน

“มีอะไรอยากคุยกับฉันเหรอ” เจ้าตัวจับสังเกตได้จึงเอ่ยถามออกมา

“...!” คนถูกทักสะดุ้งกับสายตาคู่คม ทำทีเป็นไม่ได้ยินแล้วไล่สายตามองไปทั่วบริเวณร้านเหมือนกำลังสังเกตสิ่งต่าง ๆ อยู่ ทั้งที่ตอนนี้มีลูกค้าเข้าร้านมาเพียงสี่คนเท่านั้น

คาลอสหลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมาแผ่วเบา สนุกสนานที่ได้แกล้งคนตัวเล็กกว่า เอริคที่เดินออกมาจากโซนด้านหลังร้านเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว หรี่ตาจ้องหน้าแวมไพร์หนุ่มราวกับกำลังจับผิด

“เลิกมองแบบนั้นสักที ฉันไม่ทำอะไรเขาหรอกน่า”

เอริคไม่ได้มีทีท่าว่าเบาใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาเดินอ้อมไปยังหลังเคาน์เตอร์บาร์โซนเครื่องดื่ม หยิบนั่นจับนี่มาลองผสมกันเพื่อฝึกปรือฝีมือเหมือนอย่างเคย แม้ลูกค้าของร้านคาเฟ่คนตายจะไม่ใช่ประเภทที่ชอบดื่มเครื่องดื่มมึนเมามากนักแต่เขาก็ชอบที่จะลองทำมันอยู่ดี เหตุผลหนึ่งเพราะมันเป็นความชอบส่วนตัวของชายวัยเลขสาม ส่วนอีกเหตุผลสำคัญคือการที่เขาได้ผลาญเงินเจ้าของร้านเล่น คาลอสรู้ถึงข้อเท็จจริงข้อนั้นมานานแล้วแต่ก็ไม่ได้ดุด่าว่าอะไร

ไม่สิ ต้องเรียกว่าถึงพูดอะไรไปคนอย่างเอริคก็เลือกที่จะไม่ฟังคำของเขาอยู่ดี

“ทำไมนายถึงรับสมัครพนักงานใหม่เข้ามา งานหนักเหรอ”

“เปล่า งานแค่นี้น่ะฉันทำคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว”

“แล้วมันเพราะอะไร”

“อยู่เฝ้าร้านคนเดียวมันน่าเบื่อ”

“แต่ฉันต้องเสียเงินจ่ายค่าจ้างพนักงานเพิ่ม”

“เกี่ยวกับฉันตรงไหน”

“นายทำให้เจ้าของร้านต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ”

“ไม่ใช่เงินฉันสักหน่อย”

“ไอ้เด็กนี่…!” ราวกับมีประกายไฟจากสายตาสองคู่ฟาดฟันกัน “เหอะ!”

เจ้าของร้านและเชฟที่ควบด้วยตำแหน่งบาเทนเดอร์จ้องตากันอย่างไม่ลดละ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

ทั้งจากทักษะอาชีพที่เคยทำ นิสัยเฉพาะตัว และความสนิทสนมทำให้เอริคเป็นคนเดียวที่กล้าพูดคุยและยอกย้อนคำกับคาลอสด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ว่าใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแวมไพร์ผมสีบลอนด์เป็นคนน่ากลัว แต่สำหรับเขาแล้วคาลอสเป็นเพียงคนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยความกล้าหาญเท่านั้น

“ช่วงที่ฉันหลับไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”

“เวลาสามปีมันยาวนานพอให้เกิดเรื่องมากกว่าที่นายคิด แต่ไม่ต้องเป็นห่วง พันธมิตรของนายทำงานได้เป็นอย่างดี”

“นายบอกว่าอลิซได้สมาชิกใหม่มาเพิ่ม ใคร?”

“ไม่รู้สิ ฉันก็รู้เท่าที่บอกนายไปนั่นแหละ”

“แล้วทำไมไม่ถามข้อมูลมา”

“ใช่หน้าที่ฉันหรือไง อีกอย่างใครจะอยากไปยุ่งกับพวกตาแดงมีเขี้ยวกัน”

เควินพยายามเงี่ยหูฟังชายทั้งสองคนที่นั่งคุยกันตรงบาร์เครื่องดื่มแต่ก็จับใจความไม่ได้ อาจเพราะยืนอยู่ไกลเกินไป แต่เมื่อรู้ตัวว่าการกระทำของเขานับเป็นการเสียมารยาทชายหนุ่มจึงเลือกหันไปสนใจลูกค้าในร้านแทน

พนักงานบริกรสอดส่ายสายตามองไปรอบร้าน ในจังหวะหนึ่งก็สบเข้ากับลูกค้าที่มองมาทางเขาพอดีเป็นสัญญาณว่าต้องการบางอย่างเพิ่มเติม เควินเรียกรอยยิ้มให้ขึ้นมาประดับบนใบหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปหาลูกค้าคนนั้น

“รับอะไรเพิ่มไหมครับ”

“ฉันขอบลัดดี้ไวน์อีกแก้ว”

ชายหนุ่มแปลกใจกับรายการเครื่องดื่มที่ได้ยิน หากนับดูดี ๆ นั่นเป็นแก้วที่ห้าแล้วสำหรับคืนนี้ ในตอนแรกเขาเกือบเผลอพูดออกไปว่า ‘รับเป็นอย่างอื่นแทนไหมครับ’ เพราะเป็นห่วงและกังวลว่าลูกค้าจะเมาแล้วกลับบ้านด้วยความอันตราย แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขารู้ว่าไม่ควรจะเสนอความช่วยเหลืออะไรก็ตามที่ลูกค้าของร้านคาเฟ่คนตายไม่ได้ร้องขอ

“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”

สองขาเรียวยาวก้าวเดินกลับมาที่บาร์เครื่องดื่มด้วยสีหน้าเหนื่อยใจที่ต้องเจอกับลูกค้าท่าทางน่าหวาดระแวงแบบนั้นอยู่เรื่อย

“อาหารไม่ย่อยเหรอ”

เควินตวัดสายตาขึ้นมองเจ้าของเสียง ใบหน้าของคาลอสนิ่งเรียบแต่เขาสัมผัสได้ว่าคำถามที่เอ่ยออกมาแฝงไปด้วยความกวน

“เปล่าครับ” เขาบอกปัดอย่างไม่สนใจแล้วหันไปหาเอริค “ลูกค้าโต๊ะนั้นสั่งบลัดดี้ไวน์ครับ”

“อีกแล้ว?” คราวนี้เป็นเอริคที่มีสีหน้าเหนื่อยใจไม่ต่างจากชายหนุ่ม “คงเป็นแก้วสุดท้ายแล้วสำหรับคืนนี้”

เควินทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างกันกับคาลอส ไม่สนใจสายตาที่จ้องมาอย่างต้องการให้เขารู้ตัว หนุ่มผมดำมองตามมือบาเทนเดอร์ที่กำลังผสมเครื่องดื่ม จากประสบการณ์การเคยทำงานในร้านบาร์มาก่อนทำให้เขาพอจะรู้สูตรการผสมเครื่องดื่มอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าที่ร้านคาเฟ่คนตายจะใช้สูตรที่นำมาผสมกันใหม่แทบทั้งหมด แม้กระทั่งอาหารก็มีวิธีการปรุงที่แตกต่างจากร้านอาหารทั่วไป

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้วที่ห้าของลูกค้ามีชื่อเรียกว่าบลัดดี้ไวน์ หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือไวน์แดงที่นำมาผสมกับส่วนผสมอย่างอื่นเล็กน้อย สัมผัสและสีของน้ำจะเข้มขึ้น นั่นคือทั้งหมดที่เควินสามารถบอกได้จากการมอง เขาไม่เคยลองเครื่องดื่มเมนูนี้เพราะทุกอย่างในร้านล้วนมีค่าใช้จ่าย เว้นเสียแต่อาหารสามมื้อที่เป็นเงื่อนไขสวัสดิการของพนักงาน

พนักงานบริกรหยิบแก้วบลัดดี้ไวน์มาวางบนถาดไม้สีดำแล้วก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้า ในตอนที่กำลังจะถึงโต๊ะเขากลับสูญเสียการทรงตัว กล้ามเนื้อช่วงขาพลันอ่อนแรงจากการเดินซื้อของตลอดทั้งเช้าและยืนบริการลูกค้าตลอดช่วงกลางคืน เพียงลงจังหวะผิดไปนิดเดียวร่างกายของชายหนุ่มก็เซไปด้านข้างจนเกือบจะล้มลงกับพื้น แก้วเครื่องดื่มสีแดงเข้มเอียงใส่ตัวจนของเหลวหกเลอะเสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นวง เขาพยายามทรงตัวให้ยืนตรงได้เหมือนเดิม บริเวณข้อเท้าขัดกันจนความเจ็บแปลบแล่นขึ้นสมอง

“เควิน” เสียงเอริคดังขึ้นจากข้างหลัง คนถูกเรียกถอนหายใจออกมา เตรียมตัวรับคำต่อว่า แต่ผิดคาด... ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย มือใหญ่แตะเข้าที่ต้นแขนแผ่วเบาเหมือนต้องการช่วยพยุง “เป็นอะไรไหม”

“ผมไม่เป็นไร”

เอริคฉวยเอาถาดไม้สีดำและแก้วเครื่องดื่มที่พร่องไปเกือบครึ่งไปถือไว้เอง “แน่ใจ? ไม่ได้ข้อเท้าพลิกใช่ไหม”

หนุ่มผมดำเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกไม่ตอบแต่กลับเดินตรงเข้าไปหาลูกค้าพร้อมพูดเสียงอ่อน “ขอโทษนะครับ แต่เกรงว่าคุณจะไม่ได้เครื่องดื่มตามที่ต้องการ…นั่นเป็นบลัดดี้ไวน์แก้วสุดท้ายแล้ว”

“ฉันสั่งไปแล้วแต่นายเดินไม่ระวังเอง ไปทำมาให้ฉันใหม่อีกแก้ว!”

“มันเหลือเป็นแก้วสุดท้ายแล้วจริง ๆ ครับ...”

ราวกับเหตุการณ์ในคืนวันนั้นย้อนกลับมา ชายที่เป็นลูกค้ามีท่าทางหัวเสีย หงุดหงิดที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาลุกขึ้นยืน ดันเก้าอี้ไปด้านหลังอย่างแรงแล้วเดินตรงมาหาเควิน รอบกายมีสายตาของลูกค้าโต๊ะอื่นมองมาแต่แค่แวบเดียวก็หันกลับไปจัดการกับอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ใบหน้าของเอริคเคร่งขรึม สัญชาตญาณการปกป้องทำงานทันที มือเตรียมจะดันให้เควินไปหลบอยู่ข้างหลังตน แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว คนผมดำแตะมือของเอริคเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง ถึงอย่างไรมันก็เป็นความผิดพลาดที่เขาเป็นคนก่อ

“ขอโทษด้วยนะครับ เป็นความไม่ระวังของผมเอง ถ้าลูกค้าสะดวกเข้ามาที่ร้านในวันอื่นล่ะก็ผมจะชดเชย...”

ประโยคแสดงความรับผิดชอบยังไม่ถูกเอ่ยจนจบภาพตรงหน้าก็มืดดับลงเพราะมือของใครคนหนึ่งยื่นมาบดบังเอาไว้ แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงร่างกายแข็งแรงที่ยืนซ้อนอยู่ ไม่ต้องให้คิดสงสัยนานเสียงทุ้มต่ำของเจ้าของร้านก็ดังขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว เควิน นายเข้าไปจัดการเสื้อผ้าข้างหลังร้านเถอะ”

“...”

นับเป็นครั้งแรกที่เควินได้มองสบดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวยด้วยไร้ซึ่งความกังวลและหวาดระแวงต่อเจ้าของของมัน แววตาที่ส่งมาบอกกับเขาว่าคาลอสหมายความตามที่พูดจึงยอมรับคำแต่โดยดี ชายหนุ่มก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อขอโทษลูกค้าอีกครั้งแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปยังโซนข้างหลังร้าน

บรรยากาศตรงบริเวณนั้นราวกับถูกสูบเอาออกซิเจนออกไป ชายร่างสูงสามคนยืนจ้องหน้ากันนิ่ง ใบหน้าของคนเป็นลูกค้าแสดงออกถึงอารมณ์ขุ่นมัว อาจเพราะรู้ว่าคนที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้เป็นใครจึงไม่กล้าที่จะอาละวาด

“ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในร้านนายสั่งมันไปแล้วห้าแก้ว”

“...”

“ไม่คิดว่ามันมากไปหรือไง อดอยากขนาดนั้นเลย?”

“คุณรู้เหตุผลดี คาลอส พันธมิตรของคุณทำให้เราหาอาหารลำบากมากขึ้น”

แววตาของคาลอสเปลี่ยนไปเป็นความแข็งกร้าวเมื่อได้ยินคำว่า ‘อาหาร’ หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า

“กล้าดีนักนะ”

ท่าทีของคนทั้งสองราวกับพร้อมจะพุ่งตัวเข้าใส่กันได้ทุกเมื่อ แท้จริงแล้วคาลอสเป็นแวมไพร์ที่ทั้งจิตใจดีและไม่เคยสักครั้งที่จะมีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของเหล่ามนุษย์ผู้อ่อนแอที่มีสาเหตุมาจากพวกนอกรีตแล้วล่ะก็เขาไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น

แวมไพร์เจ้าของร้านยืนนิ่งอยู่กับที่ จ้องมองไปยังลูกค้าที่นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมฟันเขี้ยวขาวแหลมคมที่ปรากฏออกมาให้เห็น ไม่มีการประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด คาลอสเปลี่ยนทุกอย่างในร่างกายให้เป็นเช่นเดียวกับชายคนนั้น ลูกค้าที่นั่งอยู่ต่างพากันมองมาด้วยความสนอกสนใจ ไม่มีใครหวาดกลัวสถานการณ์นี้และลุกออกไปจากร้านแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งเดียวกันสองคนนั้น...

ใช่ พวกเขาเป็นแวมไพร์

กริ๊ก

ก่อนเหตุการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านี้ ปืนสั้นลำสีเงินถูกหยิบออกมาจากด้านหลังกางเกงสแล็คสีดำ เอริคยกปลายกระบอกปืนขึ้นจ่อไปทางลูกค้าที่สร้างความวุ่นวายในค่ำคืนนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อดวงตาสีเลือดและคมเขี้ยวคู่นั้นแม้แต่น้อย

“ออกไป” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเอาจริง “หรือถ้าอยากโดนกระสุนเหล็กปักกลางอกฉันก็จะสงเคราะห์ให้”

คนโดนล็อกเป้ายิงชะงักค้าง...

เรื่องที่เขาลือกันว่าร้านคาเฟ่คนตายมีนักล่าแวมไพร์ทำงานอยู่เป็นความจริง และคนคนนั้นก็กำลังยกอาวุธปืนขึ้นจ่อมาที่เขา สถานการณ์ตรงหน้าถูกประเมินแล้วว่าเสียเปรียบเกินไป การตั้งตนเป็นศัตรูกับคาลอสและนักล่าแวมไพร์ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มจะเสี่ยง สิ่งเดียวที่เลือกได้เพื่อรักษาชีวิตอมตะให้คงอยู่ยาวนานคือการยอมล่าถอยแต่โดยดี

เวลายังไม่ล่วงเลยไปจนถึงตีสาม แต่ความหงุดหงิดที่มีขึ้นในใจทำให้แวมไพร์หนุ่มเอ่ยบอกกับพนักงานเก่าแก่ของร้าน

“คิดเงินกับพวกที่เหลือแล้วปิดร้านซะ คืนนี้ที่นี่ไม่รับลูกค้าเพิ่ม”

 

เควินเข้าไปจัดการเสื้อผ้าในห้องน้ำที่อยู่ถัดจากโซนห้องครัว ความเจ็บปวดบริเวณข้อเท้าทำให้ต้องก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง บานกระจกปรากฏใบหน้าของชายคนหนึ่งสะท้อนอยู่บนนั้น เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดแต่งทรงให้เหมาะกับการทำงาน ชุดพนักงานบริกรที่สวมใส่อยู่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ซึมเปื้อนเป็นวงและกางเกงสแล็คสีดำ

ชายหนุ่มยืนเท้าแขนกับอ่างล้างมือ ทิ้งน้ำหนักตัวไปยังเท้าอีกข้างเพื่อบรรเทาอาการปวด มือเอื้อมไปหยิบกระดาษชำระมาพับเป็นสองทบ ปลดกระดุมเสื้อออกเล็กน้อยแล้วดึงมันขึ้นมาพลางใช้กระดาษในมือกดซับ แผ่นเยื่อไม้สีขาวเริ่มเปื่อยยุ่ยจากการดูดซึมของเหลว กลิ่นความเข้มและขมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูก คิ้วคู่สวยขมวดมุ่น เขายกแผ่นกระดาษในมือขึ้นมาแตะจมูก สูดดมความเจือจางของไวน์แดงที่มีกลิ่นแปลกปลอมปะปนมาด้วย ร่างสูงนิ่งพิจารณากลิ่นนั้น

มันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับ…สนิม?

“เควิน”

“!!!”

เจ้าของชื่อสะดุ้งตัวโยนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงแล้วพบกับคาลอสที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผ่านบานกระจก การปรากฏตัวปุบปับที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำเอาเขาอดจะบ่นออกมาไม่ได้

“คุณทำผมตกใจ คราวหลังอย่าโผล่มาแบบนี้อีกนะครับ” คนตัวเล็กกว่าสบตาคมผ่านกระจกตรงหน้า เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คาลอสไม่ได้ตอบรับแต่กลับทุ่มความสนใจไปยังสิ่งที่เควินกำลังทำเมื่อสักครู่ เขากลัวว่าพนักงานคนใหม่ของร้านจะไปล่วงรู้ความลับที่ไม่สมควรรู้ในตอนนี้เข้า หากเป็นอย่างนั้นแล้วมีปัญหาวุ่นวายตามมาคงปวดหัวน่าดู

“กำลังทำอะไร” ชายเจ้าของร้านมองไล่จากใบหน้าเรื่อยไปจนถึงมือขาวที่ถือแผ่นกระดาษชำระซึมของเหลวสีแดงอยู่

“เปล่าครับ” คนผมดำเลี่ยงตอบ ยืนซับเสื้ออยู่แบบนั้นจนความเปียกชื้นเริ่มจางหายไป เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วขยำกระดาษชำระทิ้งลงถังขยะ “คุณมีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันแค่จะมาดูว่านายเป็นอะไรไหม”

“ผม…!” คำพูดของเควินหยุดชะงัก จังหวะที่จะหันกลับไปสนทนากับอีกคนดี ๆ ไหล่มนก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้างเมื่อคาลอสไม่มีทีท่าว่าจะถอยหลบ “ผมไม่เป็นอะไร...แค่เจ็บข้อเท้านิดหน่อย”

เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์มองคนอายุน้อยกว่าที่หลุบตาต่ำลงด้วยใบหน้านิ่งเรียบ แม้เสียงท้ายประโยคที่เควินเอ่ยออกมาจะแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปในลำคอแต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน

“ต้องการยาหรืออุปกรณ์อะไรไหม”

“มะ ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมทนได้ สบายมาก”

“ฉันถามเพราะไม่อยากให้นายทนเจ็บ”

“…”

“เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ…” สายตาและน้ำเสียงที่เหมือนดุกันทำให้เควินหงอย ก้มหน้าหลุบตามองต่ำลงกว่าเดิม

คาลอสเห็นท่าทางเหมือนเด็กที่กลัวและไม่ชอบการโดนดุของอีกคนก็นึกเอ็นดู “นายขึ้นห้องไปพักเถอะ ฉันบอกให้เอริคปิดร้านแล้ว ส่วนที่เหลือพวกฉันจะจัดการเอง”

“จะดีเหรอครับ”

“เป็นเด็กดีแล้วทำตามที่ฉันบอกก็พอ”

“ดะ เด็กดี?” ยังไม่ทันที่คนเจ็บจะได้แย้งหรือตกปากรับคำ คาลอสก็เดินหายไปเสียก่อน “อะไรของเขานะ...”

แม้จะมึนงงกับสถานการณ์เมื่อครู่อยู่สักหน่อยแต่เควินก็ทำเพียงยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ ในเมื่อคนเป็นเจ้านายอนุญาตแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธความหวังดี

ชายหนุ่มพาร่างของตนเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นสองอย่างทุลักทุเล เขาเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง พยายามลงจังหวะและน้ำหนักเท้าให้ดีเพื่อไม่ให้เสียหลักตกบันไดไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก

ประตูห้องนอนถูกปิดลง คนผมดำเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเหนื่อยล้า ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่ดูปกติดีทุกอย่างเว้นเสียแต่บริเวณใต้ดวงตาที่เริ่มดำคล้ำ อาจเพราะร่างกายยังปรับตัวได้ไม่ดีนักกับการทำงานในช่วงกลางคืน

เควินถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปื้อนเครื่องดื่มออกมาวางไว้ในอ่างล้างมือ เผยให้เห็นรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายขาวเนียน และบริเวณหน้าท้องที่พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง มือเอื้อมไปเปิดก๊อกให้สายน้ำสะอาดไหลลงรดรอยเปื้อนแล้วจัดการขยี้ให้คราบไวน์แดงหลุดออก มันไหลเรื่อยไปรวมกันจนน้ำในอ่างเปลี่ยนเป็นสีแดง กลิ่นคาวที่ลอยมาแตะจมูกทำให้เขาเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก

ราวกับพลังงานกำลังถูกสูบออกไปเรื่อย ๆ เควินปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนเหลือเพียงเนื้อตัวเปล่าเปลือย มือเลื่อนไปเปิดฝักบัว ปล่อยให้สายธารอุ่นร้อนช่วยชำระล้างความคิดและความเหนื่อยล้าออกจากร่างกาย

 

 

 

ในคืนเดียวกันนั้น ภายในร้านคาเฟ่คนตายคลอไปด้วยเสียงดนตรีจากแผ่นเสียงที่เปิดเอาไว้เหมือนทุกคืน ดังสลับกับเสียงครืดคราดของไม้ถูพื้นที่คนเป็นเชฟกำลังใช้ทำความสะอาดบริเวณที่เครื่องดื่มหกเลอะเทอะ เอริคทั้งทำความสะอาดและเก็บกวาดร้านด้วยตัวคนเดียว ใบหน้าฉายแววหงุดหงิดเพราะเสียงผิวปากอย่างสบายอกสบายใจของใครบางคน

“ใช้คำว่า ‘พวกฉัน’ กับเควินซะดิบดี สุดท้ายก็มีแค่ฉันคนเดียวไม่ใช่หรือไง”

“หืม? นายพูดถึงฉันเหรอ”

“อ๋อ ฉันพูดถึงแมวดำที่ชอบมาป้วนเปี้ยนแถว ๆ ร้านน่ะ”

“ถ้างั้นก็แล้วไป” คาลอสยังคงนั่งเท้าคางด้วยท่าทางสบาย ๆ ผิดกับเอริคที่หางคิ้วกระตุก ไม่สบอารมณ์จนเกือบจะเอาเก้าอี้ในมือมาทุ่มใส่คนเป็นเจ้าของร้าน

เขาใช้เวลาไม่นานนักในการทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย อดีตนักล่าแวมไพร์ย้ายร่างมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มข้างกัน

“ดูเหมือนนายจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องในคืนนี้เลยนะ”

“แน่นอน มีอะไรให้ต้องกังวลกัน”

ได้ยินแบบนั้นเอริคก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกแก้วเครื่องดื่มมึนเมาในมือขึ้นกระดกลงคอ “ตลอดสามปีที่นายจำศีล ฉันเจอลูกค้าแบบนี้มานับไม่ถ้วน”

“…”

“ฉันไม่ได้กังวลเรื่องที่ถ้าเกิดว่าต้องสู้กันหรอกนะ แต่ให้ตายเถอะ มันน่ารำคาญเป็นบ้า! พวกนายระงับอารมณ์เวลาหิวกันไม่เป็นเลยหรือไง”

“นายก็รู้ว่ามันทำได้ยาก โดยเฉพาะกับพวกเกิดใหม่”

“ทำไมฉันต้องมาคอยทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ… อันที่จริงฉันควรจะฆ่าพวกแวมไพร์ให้หมดไปด้วยซ้ำ”

แวมไพร์หนุ่มทำเพียงรับฟังเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป …ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างให้เผ่าพันธุ์ของตนเอง

ท่าทางของเอริคที่แสดงออกมาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวโมโหกับเรื่องที่ว่าจริง ๆ และดูเหมือนจะอดทนอดกลั้นมานานมากแล้ว แม้ว่าคาลอสจะเป็นกรณียกเว้น แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน ‘พวกที่เอริคควรจะฆ่า’ และเป็นคนที่รู้เหตุผลว่าทำไมชายข้างกายถึงตั้งปณิธานกับตนเองแบบนั้นก็ไม่อาจแก้ต่างให้กับความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายที่อีกคนได้พบเจอมา

“ช่างเถอะ ถึงยังไงฉันก็เป็นคนตกลงมาทำงานนี้เอง อีกอย่างถ้าไม่ติดว่าอยากช่วยพวกที่เป็นเหมือนลินดาฉันคงทิ้งไอ้งานบ้า ๆ นี่ไปแล้ว”

“ทำเป็นพูดดี ฉันเห็นนายมีความสุขกับการได้ทำอาหารแล้วก็ผลาญเงินฉันเล่นดีออก” เสียงหัวเราะของชายวัยเลขสามดังขึ้นทันทีที่คาลอสว่าจบประโยค

ระหว่างที่ปล่อยให้ความเงียบและเสียงเพลงได้ทำงานคู่กัน เอริคก็นึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ของพวกนั้นเหลือไม่เยอะแล้วนะ นายช่วยไปจัดการให้ที”

“ครั้งนี้ต้องการเยอะแค่ไหน”

“มากที่สุดเท่าที่จะหาได้”

คาลอสเลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ช่วงนี้ลูกค้าเยอะมากเลยเหรอ”

“บอกแล้วไงว่างานประจำครั้งนี้จะกลับเข้าเมืองกันมาเยอะขึ้น อีกอย่างช่วงนี้ก็เริ่มมีพวกเกิดใหม่เข้ามาที่ร้านด้วย ฉันล่ะปวดหัวจริง ๆ พวกนายหยุดทำให้ใครกลายเป็นแบบนั้นเพื่อเพิ่มประชากรทีจะได้ไหม”

“คนอย่างนายที่เคยขอร้องฉันแทบตายมีสิทธิ์มาพูดแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ”

“…” เอริคสะอึกกับคำพูดนั้น เขาไม่สามารถเถียงกลับถ้อยคำที่ออกจากปากคาลอสได้เลย

“อีกสองวันงานประจำปีก็จะเริ่มแล้วใช่ไหม”

“อืม”

“ฉันจะไปจัดการให้ก็แล้วกัน”

เรื่องราวมากมายถูกเอ่ยจากปากของเอริคเล่าสู่คนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงเพลงดังเคล้ากันไปตลอดค่ำคืน ใบหน้าเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบสองอย่างเอริคแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ตรงมุมปาก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สนทนากับคนสนิทในร้านคาเฟ่คนตายในยามมืดมิดของทุกคืนเช่นนี้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นแวมไพร์ แต่ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตและรู้จักกันมานานพอที่จะมีความไว้เนื้อเชื่อใจให้แก่กันและกัน

คาลอสเล่าให้เอริคฟังถึงเรื่องเมื่อกลางวันที่เขาได้ไปเจอกับพวกนอกรีต ข้อมูลที่ต่างฝ่ายต่างได้รับมาถูกแบ่งปันกันเพื่อช่วยในการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในเมือง ชายทั้งสองทำแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรักษาความสงบของกรีฟทาวน์และเพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครรับรู้ถึงการกระทำเหล่านี้เลย แต่การไม่รับรู้เรื่องราวอะไรสักอย่างก็นับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้ว

“ป่านนี้แล้ว ฉันควรจะกลับบ้านสักที” เอริคลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ถือแก้วเครื่องดื่มของตนไปล้าง เขาเดินกลับมาหาคาลอสที่ยังนั่งละเมียดละไม โคลงแก้วบลัดดี้ไวน์ในมือไปมา “ส่วนที่เหลือทั้งหมดฉันเก็บไว้ให้นาย หลับเป็นตายขนาดนั้นตื่นมาแล้วก็กินเข้าไปเยอะ ๆ ถ้าหิวจนเสียสติแล้วไปทำร้ายเควินขึ้นมาฉันจะฆ่านายทิ้ง”

“โหดร้ายกับฉันได้เสมอต้นเสมอปลายจริงเชียว”

เอริคส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายให้กับชายที่รูปลักษณ์ภายนอกดูหนุ่มกว่าเขามากทั้งที่ความจริงแล้วมีอายุเกือบสามร้อยปี เขาจัดการปิดร้านและเช็คกลอนประตูหน้าต่างอีกรอบ คว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่ ก่อนจะผลักประตูเดินออกจากร้านไปก็ไม่วายพูดทิ้งท้าย

“อยู่กันดี ๆ ล่ะ ฝากดูแลเควินด้วย”

“พูดเหมือนฝากหลานไว้ให้ฉันเลี้ยง”

“เทียบอายุแล้วเขาเป็นเหลนรุ่นที่เท่าไรก็ไม่รู้ของนายด้วยซ้ำ”

“เฮ้! นายหลอกด่าว่าฉันแก่งั้นเหรอ?”

“เปล่าสักหน่อย นายพูดเองทั้งนั้น” แล้วเอริคก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะที่ทิ้งไว้ให้คนฟังเจ็บใจเล่น

ให้ตาย เจ้านั่นมันชักจะกวนประสาทเขามากขึ้นทุกวันแล้ว

 

 

 

คาลอสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวยจ้องมองเครื่องดื่มในมือ โยกโคลงไปมาให้ของเหลวสีแดงในแก้วเคลื่อนไหวไปตามแรง เขายกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ความขมคาวไหลลงเรื่อยไปตามลำคอ ฉับพลันร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาเก็บซ่อนนัยน์ตาสีแดงเอาไว้ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท รอจนการตื่นขึ้นของร่างกายค่อย ๆ สงบลงแล้วถึงลืมตาขึ้นอย่างเดิม

แวมไพร์หนุ่มนึกอยากถามเอริคเหลือเกินว่าทำไมถึงเลือกรับคนที่เป็นมนุษย์เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เสี่ยงและส่งผลด้านลบทั้งสิ้น ในหัวนึกย้อนไปถึงตอนที่เข้าไปหาหนุ่มวัยรุ่นเพื่อถามไถ่อาการเจ็บปวด เขาเห็นถึงความสงสัยที่ปรากฏบนใบหน้าของเควินยามยกกระดาษเปื้อนเครื่องดื่มสีแดงขึ้นมาสูดดม แม้ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่หากต้องใช้วิธีนั้นเพื่อปิดปากชายหนุ่มและรักษาความลับต่อไป เขาคงต้องผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเอริค

สองขายาวก้าวเข้าไปยังโซนด้านหลังร้าน ควานมือบนพื้นผิวผนังฝั่งหนึ่งเพื่อหาประตูลับแล้วเปิดมัน เขาหยิบของที่ถูกเก็บไว้ในกล่องออกมา อุณหภูมิสี่องศาเซลเซียสที่ถูกตั้งไว้ทำหน้าที่เก็บรักษาของในนั้นได้เป็นอย่างดี คาลอสดึงที่ปิดถุงออกแล้วจรดริมฝีปากลงไป มือบีบไล่ให้ของเหลวสีแดงสดค่อย ๆ ไหลตามลำคอเข้าสู่ร่างกาย

ส่วนผสมหลักสามถุงสุดท้ายที่ใช้ทำอาหารให้ลูกค้าของร้านได้กินถูกเขาจัดการดื่มมันลงคอจนหมด คาลอสรู้สึกได้ถึงพละกำลังในร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการได้ดื่มเลือดเป็นครั้งแรกหลังจากจำศีลไปนานกว่าสามปี ทว่าไม่มีแววของความหิวกระหายในดวงตาคู่คมเลยแม้แต่น้อย

แวมไพร์หนุ่มไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนการกระทำของตนเพราะไม่มีทางที่พนักงานคนใหม่ของร้านที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนห้องนอนชั้นสองจะเข้ามาพบ จากตอนแรกที่จะขึ้นไปบนชั้นสาม เขากลับเปลี่ยนทิศทางไปยังลานยกสูงบริเวณหน้าร้านที่มีเปียโนสีดำหลังใหญ่ตั้งอยู่ คาลอสทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ไล่นิ้วมือเรียวยาวไปตามลิ่มโน้ตแต่ไม่ได้ออกแรงกดมันลงไป

บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงของธรรมชาติข้างนอก ภาพความทรงจำเมื่อนานมาแล้วย้อนกลับเข้ามาในหัว

คาลอสเป็นคนที่ชอบเสียงดนตรีมาตั้งแต่จำความได้ ใบหน้าของเขามักประดับด้วยร่องรอยแห่งความปีติเสมอหากได้ใช้เวลาอยู่กับมัน แต่ยามที่แวมไพร์หนุ่มมีความสุขที่สุดเมื่อได้บรรเลงเพลงคือยามที่มีใครคนหนึ่งนั่งฟังเสียงดนตรีของเขาอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของคนคนนั้นยังเด่นชัดในความทรงจำ

คิดถึงเหลือเกิน…

...แม้วันเวลาจะพรากจากไปและไม่สามารถพากลับมาได้แล้วก็ตาม

 

ณ ห้องนอนบนชั้นสองของร้านคาเฟ่คนตาย ชายบนเตียงค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วมาจากข้างนอกประตู ความกลัวและวิตกกังวลเป็นอย่างแรกที่แล่นเข้ามาภายในจิตใจ นาทีต่อมาก็ตระหนักว่าอาจเป็นไปได้ที่เจ้าของร้านคนนั้นจะมาบรรเลงเปียโนเหมือนอย่างคืนแรกที่พบกัน

ทำนองดนตรีที่ดังลอดเข้ามาให้ได้ยินเป็นจังหวะช้า ๆ โน้ตแต่ละตัวถูกเลือกสรรมาอย่างดีจนเกิดเป็นเพลงที่แสนไพเราะ ทว่าเควินกลับสัมผัสได้ถึงความเหงาเบาบางที่ถูกส่งออกมาผ่านทำนองดนตรี ขณะเดียวกันก็ราวกับช่วยปลอบประโลมให้มีราตรีที่สุขสบายเหมือนฝัน

เปลือกตาของชายหนุ่มค่อย ๆ ปรือลง ในท้ายที่สุดเจ้าของเรือนผมสีดำก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งพร้อมเสียงเพลงบรรเลงของคนที่บางครั้งก็ดูน่ากลัวแต่แท้จริงแล้วกลับใจดีจนน่าเหลือเชื่อ…

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย