1 ตอน Prologue
โดย Marin
สองเท้าก้าวลงจากรถโดยสาร มือกระชับสายกระเป๋าสะพายใบใหญ่ข้างหลังแน่น บรรยากาศรอบกายมืดครึ้ม สายลมหนาวพัดโชยมาแตะผิวแผ่วเบา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น หวังให้ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าหยิบเอาความเศร้าและความกลัวออกไป สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพ่นมันออกมาช้า ๆ เคลื่อนตัวไปยังป้ายเหล็กที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มองป้ายนั้นด้วยสายตาเหม่อลอย
Welcome to Greeph Town
แสงไฟสาดส่องมา สายตาเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านไปยังเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของเขาในครั้งนี้
กรีฟทาวน์ เมืองเก่าแก่อายุหลายร้อยปีมีบรรยากาศไม่เหมือนกับที่อื่น ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเดินทางมาเยือนมากนักเพราะสภาพบ้านเมืองอันเก่าโทรมและไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยว กลับกันที่นี่มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องสิ่งลี้ลับและเรื่องสยองขวัญ เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ผู้คนจะตั้งใจเดินทางมายังเมืองแห่งนี้คือการมาพิสูจน์อะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อยากมาสัมผัสบรรยากาศน่ากลัวก็เท่านั้น
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขามาที่นี่หรอก
เนื่องจากไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว โรงแรมที่เปิดให้บริการจึงมีอยู่แค่ที่เดียวเท่านั้น เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องตัดสินใจพักที่นี่ ด้วยเงินที่มีติดตัวไม่มากนักคงเพียงพอให้พักหลับนอนอยู่ได้อย่างมากก็สักห้าถึงหกวัน
เควิน ชายหนุ่มอายุสิบเก้าปี เป็นคนไทยแท้แต่กำเนิด เขาจากบ้านและย้ายมาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก เป็นคนที่ได้ติดสอยห้อยตามมาเพราะการแต่งงานของแม่และพ่อใหม่ชาวยุโรป ทั้งคู่พบกันที่ประเทศไทย เขาถูกใจแม่ของเควินมากและบอกว่ามันเป็นรักแรกพบ จนสุดท้ายก็ขอเธอแต่งงานและชวนให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน พ่อเลี้ยงดีกับเขาและภรรยามาก ดูแลรับผิดชอบความเป็นอยู่ทุกอย่างเป็นอย่างดี รวมถึงช่วยออกเงินค่าศึกษาเล่าเรียนให้เด็กชายเรื่อยมาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี แต่ท้ายที่สุด เขากับแม่ก็ไม่เคยเป็นที่ยอมรับของครอบครัวทางฝ่ายชายเลยแม้แต่น้อย
วันเวลาผ่านไปหลายปี ครอบครัวของเควินมีสมาชิกเพิ่มขึ้น วินาทีที่น้องสาวแสนน่ารักลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก หัวใจของเขาราวกับได้รับการอวยพร ใบหน้าและนิ้วมือน้อย ๆ ที่จ้องมองมาทำเอาหัวใจสั่นไหว เด็กชายสัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าจะดูแลน้องสาวคนนี้ให้ดีที่สุด
แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกกับเขาเหลือเกิน…
คืนที่หิมะตก ในบ้านหลังเล็กมีเพียงเขาและน้องสาวนั่งเคียงกันอยู่หน้าเตาผิงไฟ พ่อเลี้ยงและแม่ยังไม่กลับจากการไปเยี่ยมญาติตั้งแต่ช่วงเช้า น้องสาวได้ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังซบไหล่ของเขาอยู่ เควินเองก็เอาแต่มองไปที่ประตู รอคอยคนที่รักกลับมา
เขารออยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โทรมาเพื่อแจ้งข่าวร้ายว่าผู้ปกครองทั้งสองของเขาเสียชีวิตแล้ว จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ พ่อเลี้ยงและแม่ของเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรง รถทั้งคันเสียหลักพุ่งเข้าชนกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนกระโปรงหน้ารถพังยับ มิหนำซ้ำ ในขณะเดียวกันก็ถูกสัตว์ป่าบางชนิดจู่โจมจนร่างกายบาดเจ็บสาหัส มีรอยฉีกกัดของคมเขี้ยวทิ้งไว้ทั่วร่างกาย จนสุดท้ายทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตลง ณ ที่ตรงนั้น
สิ้นประโยคบอกเล่า ร่างกายของเขาก็พลันอ่อนแรง ดวงตาเบิกค้าง ภายในหัวมีแต่คำถามเดิมวนย้ำซ้ำไปซ้ำมา
ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา…ทำไมต้องเป็นพ่อกับแม่ของเขาด้วย…
หยดน้ำสีใสเอ่อคลอกองกันที่หน่วยตา ไหลเป็นสายธารลงอาบแก้มสองข้างแก้ม มือไขว่คว้าหาครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่มากอดไว้แนบอก สองพี่น้องร่ำไห้อยู่อย่างนั้น
มองไม่เห็นหนทางเดินต่อ…ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรดี...
งานศพของสองสามีภรรยาถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างอยากที่จะกล่าวโทษทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด สัมผัสตรงเอวรัดแน่นขึ้น ภาพใบหน้าเล็กร้องไห้ซบอยู่กับลำตัวส่งผลให้ภายในใจเจ็บแปลบ ทว่าไม่มีน้ำตารินไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
เขาร้องไม่ออก และหากว่าเขาอ่อนแอ ใครจะเป็นคนดูแลน้องสาวของเขา
พิธีฝังศพถูกดำเนินไปจนเสร็จสิ้นพร้อมคำบอกลาที่เควินเองไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เอื้อนเอ่ย ความโศกเศร้ายังไม่ทันหายไป การจากลาและความเสียใจก็ตีเข้าแสกหน้า คำพูดและนัยบางอย่างจากสายตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวทางฝั่งพ่อทำเอาจุกจนพูดอะไรไม่ออก
“ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่เราคงรับเธอไปอยู่ด้วยไม่ได้”
เสียงร้องไห้ของน้องสาวดังขึ้นกว่าเดิม เขาจำใจต้องส่งเธอให้กับญาติทางฝั่งพ่อเลี้ยง เพราะลำพังแค่ตัวของเควินเองคงไม่มีความสามารถและกำลังทรัพย์มากพอในการเลี้ยงดูน้องสาวให้มีชีวิตที่ดีเท่ากับการอยู่กับพวกเขาเหล่านั้นได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
…เป็นตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มอายุสิบหกปีตระหนักได้ว่าเขาสูญเสียทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ ภายในใจเจ็บปวดราวกับถูกใครดึงทึ้งออกมาและทุบตีมันอย่างไม่หยุดหย่อน น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงลงมาพร้อมกับมือที่ต้องปล่อยคนสำคัญคนสุดท้ายให้เดินออกไปจากชีวิต
เขาไม่เหลือใครเลย...นอกจากตัวเอง
เควินทนทุกข์อยู่นานแรมปีจนรู้สึกแย่เกินรับไหว เขาตัดสินใจจากบ้านที่ไร้ซึ่งความหมายของมันหลังนั้นมาแล้วออกเดินทางไปเรื่อย ๆ ผ่านเรื่องราวและพบเจอผู้คนมากมายจนมาถึงเมืองกรีฟทาวน์แห่งนี้
บรรยากาศยามฟ้าสว่างของเมืองนี้ค่อนข้างต่างจากช่วงกลางคืนที่เขามาถึงอยู่พอสมควร สิ่งแรกที่เควินทำคือการไปที่สถานีตำรวจเพื่อขอแผ่นพับข้อมูลของเมือง ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าพื้นที่ของกรีฟทาวน์นั้นช่างกว้างขวาง ส่วนมากถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่า บ้านเรือนที่ผู้คนใช้อาศัยอยู่มีเพียงบริเวณใจกลางของพื้นที่เท่านั้น
เขาใช้เวลาทั้งวันในการเดินสำรวจเมืองจนทั่ว ระหว่างทางได้รับคำทักทายและรอยยิ้มมากมายจากชาวเมืองที่เดินสวนกันไปมา ผู้คนที่นี่ให้ความรู้สึกดีมากกว่าที่เขาคิดไว้ จากที่อ่านข้อมูลในแผ่นพับและสำรวจด้วยสายตา จำนวนประชากรส่วนมากมีแต่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เด็กและคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขายังพอมีให้เห็นอยู่บ้างประปราย
ภารกิจหลักในวันนี้นอกจากเดินสำรวจคือการหางานทำ เควินเดินหาร้านที่เปิดรับสมัครพนักงานจนทั่ว ระหว่างเดินทอดน่องไปเรื่อยก็เจอเข้ากับป้ายปิดประกาศของเมืองซึ่งมีใบปลิวรับสมัครงานจำนวนหนึ่งแปะอยู่ เขานึกดีใจ จดจำชื่อร้านไว้และตรงเข้าไปถาม
“อ๋อ นั่นน่ะเอาไปติดไว้นานมากแล้ว ตอนนี้ไม่รับคนเพิ่มแล้วล่ะ”
…แต่ก็ต้องได้รับความผิดหวังกลับมา
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ดวงอาทิตย์แทบจะลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการเดินทางและการเดินหางานทำให้เขาเลือกทิ้งกายลงนั่งพักตรงม้านั่งริมถนน แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง เป็นสัญญาณบอกว่าต้องโบกมือลาเหล่านกน้อยและต้อนรับฝูงค้างคาวกลางคืน
“ไม่ได้สักที่เลยแฮะ”
จังหวะที่กำลังจะตัดสินใจว่าวันนี้ควรพอแค่นี้แล้วกลับไปพักที่โรงแรมดีหรือไม่ กระดาษยับย่นใบหนึ่งก็ถูกลมพัดปลิวมาโดนใบหน้าเขา ชายหนุ่มย่นคิ้ว หยิบมันออกมาดูพร้อมทั้งไล่สายตาอ่านออกเสียงตามข้อความที่อยู่บนนั้น
“We are hiring. Come and be the waiter at Deadly Café” (ร้านคาเฟ่คนตายเปิดรับสมัครพนักงานบริกร)
เควินเงียบไปเมื่ออ่านมันจบ สองมือถือใบปลิวนิ่งค้าง ลมหายใจสะดุดกับชื่อร้านที่ดูแปลกเกินกว่าจะเป็นแค่ร้านอาหารหรือคาเฟ่ทั่ว ๆ ไป ความลังเลเป็นสิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในสมอง เขาสองจิตสองใจว่าจะเอาอย่างไรดี
มีทางเลือกอยู่สองทางระหว่างลองไปสมัครงานกับร้านที่มีชื่อแปลก ๆ หรือกลับโรงแรมไปโดยไม่ได้อะไรเลยและไม่มีเงินกินข้าว
พอเปรียบเทียบแบบนี้แล้วก็เดาไม่ยากเลยว่าควรจะเลือกทางไหน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ แม้ความรู้สึกข้างในจะแอบหวั่น แต่เขาก็เลือกหยิบแผ่นพับที่มีแผนที่ของเมืองขึ้นมากาง จากนั้นพาร่างของตนตรงไปที่ร้านทันที
ขอที ขอให้วันนี้เป็นวันของเขาด้วยเถอะ
TBC
#คาเฟ่คนตาย
Comments (0)