10 ตอน Chapter 9
โดย Marin
ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา ถึงเวลาเปิดทำการของร้านคาเฟ่คนตายแล้ว
บรรยากาศยามมืดมิดของตรอกซอยนี้ยังคงวังเวงและเงียบสงัดเหมือนอย่างเคย สิ่งที่แตกต่างออกไปเห็นจะมีเพียงจำนวนของลูกค้าที่แวะเวียนมาเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมายืนต้อนรับลูกค้าอยู่ข้างหน้าร้าน และยังเป็นครั้งแรกที่เอริคเข้ามาทำงานช้ากว่ากำหนด
“ร้านคาเฟ่คนตายยินดีต้อนรับครับ”
ชายหนุ่มได้แต่เอ่ยประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา น่าแปลกที่ลูกค้าทุกคนดูจะรู้จักกันมาก่อนแล้ว จากการที่พวกเขาทักทายและพูดคุยกันตั้งแต่ที่ก้าวเข้าไปข้างใน เควินเดินบอกลูกค้าทุกโต๊ะด้วยความสุภาพว่าตอนนี้เขาสามารถรับรายการอาหารไว้ได้ แต่เชฟประจำร้านยังไม่เข้ามาทำให้อาจจะต้องรอสักหน่อย พนักงานบริกรเตรียมใจรองรับความโกรธและการโวยวายจากลูกค้าแต่กลับผิดคาด ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...
“ไม่เป็นไร รอเอริคมาก่อนก็ได้”
เวลาล่วงเลยไปได้สักพักแต่เอริคก็ยังไม่เข้ามาที่ร้านเสียที เควินกระวนกระวายใจจนเกือบจะขึ้นไปเคาะห้องนอนบนชั้นสามแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าคาลอสออกไปทำธุระตั้งแต่ช่วงกลางวันและยังไม่กลับเข้ามา
กริ๊ง
เสียงกริ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมบานประตูที่ถูกผลักเข้ามา
“เอริค! ทำไมวันนี้มาช้าจังเลยครับ”
“ขอโทษที มีลูกค้าสั่งอาหารหรือยัง”
“ยังครับ พวกเขาบอกว่ารอคุณมาก่อนก็ได้”
“...”
“แล้วนี่คือ...”
ใครบางคนที่เดินตามหลังเอริคเข้ามาในร้านโผล่หน้าออกมาทักทายเควินด้วยน้ำเสียงสดใส “สวัสดี เธอคงเป็นเควินใช่ไหม”
“รู้จักผมด้วยเหรอครับ”
“เอริคเล่าให้ฉันฟังน่ะ”
การปรากฏตัวของหญิงสาวคนนี้ค่อนข้างน่าแปลกใจ ใบหน้าเลื่อนไปสบกับชายวัยเลขสามพร้อมส่งคำถามออกไปผ่านสายตา
“เธอชื่อลินดา พนักงานที่ฉันเคยบอกว่าจะมาช่วยงานนายช่วงวันงานประจำปี”
“อ๋อ... สวัสดีครับลินดา ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ไม่ต้องเกร็งนะ กับฉันก็ทำตัวสบาย ๆ ได้เหมือนตอนอยู่กับเอริคนั่นแหละ”
เควินพยักหน้ารับ
“เฮ้! ลินดา”
เสียงเรียกดังขึ้นมาจากลูกค้าโต๊ะหนึ่ง คนถูกเรียกหันไปมองและโบกมือทักทายก่อนจะทำเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มผมดำตาโต
จุ๊บ
“ฉันไปทักทายพวกเขาก่อนแล้วจะเข้าไปช่วยข้างหลังร้านนะคะที่รัก”
“...”
เควินนิ่งค้างกับการกระทำที่เห็นจะจะตาตรงนี้ ลินดาวาดแขนเล็กสอดเข้าที่เอวของเอริคก่อนจะเงยหน้าสบตา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ปิดท้ายด้วยการเขย่งเท้าขึ้นจรดริมฝีปากแผ่วเบาที่ข้างแก้ม ก่อนจะผละออกไปหาคนที่ทักทายเธอเมื่อสักครู่นี้ ทิ้งให้เควินอึกอักทำอะไรไม่ถูกอยู่กับเชฟประจำร้าน
“คุณกับเธอ...”
“ลินดาเป็นภรรยาของฉันเอง” ชายร่างสูงว่าไว้เพียงเท่านั้น เอ่ยสั่งหนุ่มวัยรุ่นให้ไปรับรายการอาหารจากลูกค้าแล้วตนเองก็เดินเข้าโซนห้องครัวด้านหลังร้านไป
เควินยังคงยืนงงอยู่ตรงนั้น พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว ถ้าหากว่าเอริคแต่งงานแล้วล่ะก็...ข้อสันนิษฐานข้อนั้นของเขาคงเป็นเรื่องจริง
เอริคเป็นคนติดบ้าน...เพราะที่นั่นมีภรรยาที่เขารักอย่างลินดาอยู่ด้วยยังไงล่ะ
เหมือนกันกับเควินที่เมื่อก่อนเขาเองก็เป็นคนติดบ้าน... สถานที่แสนอบอุ่นที่มีครอบครัวอันเป็นที่รักอยู่กันพร้อมหน้า
ความรู้สึกขุ่นมัวจากการย้อนนึกถึงอดีตและความเจ็บปวดจากเรื่องราวร้าย ๆ ตีกลับเข้ามาในใจ แม้บางเวลาราวกับว่ามันเริ่มจางหายไปและตัวเขาเองก็ดีขึ้นได้แล้ว แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย...
คิดถึงจังเลย
คืนแรกของการเปิดร้านในช่วงวันงานประจำปี พนักงานบริกรคนใหม่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองมากนัก เขาได้รับรายการอาหารจากลูกค้าและนำมันมาเสิร์ฟในช่วงแรก จากนั้นลูกค้าก็จะเรียกหาแต่ลินดา ลูกค้าบางคนมองไปทั่วร้านเหมือนต้องการจะสั่งอะไรเพิ่ม แต่เมื่อเควินตั้งท่าจะเดินเข้าไปหาพวกเขาก็เอ่ยเรียกชื่อลินดาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาชายหนุ่มหยุดชะงัก จำเป็นต้องเบนเข็มเปลี่ยนทิศทางไปเรียกคนที่ลูกค้าต้องการมาแทน
“เป็นอะไรไป ไม่พอใจที่โดนแย่งงานเหรอ” เอริคที่ทำอาหารเสร็จครบทุกรายการแล้วและเปลี่ยนมาประจำอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มถามขึ้น
หนุ่มผมดำหันหน้าไปมอง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ว่ากันตามตรงผมก็แอบรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยน่ะครับ หรือที่ลูกค้าไม่อยากเรียกใช้ผมเพราะผมบริการไม่ดีกันนะ…”
คนโตกว่านึกเอ็นดูสีหน้าหงอย ๆ ของคนที่เป็นเหมือนน้องชาย ถ้าเปรียบเควินในตอนนี้เป็นลูกสุนัขล่ะก็คงเป็นลูกสุนัขที่กำลังทำหูลู่หางตกอยู่เป็นแน่
เขาเองก็พอจะสังเกตได้ว่าวันนี้ลูกค้าเรียกหาแต่ภรรยาของเขา สำหรับเอริคแล้วเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้เพราะลูกค้าเหล่านั้นรู้จักและสนิทกับลินดา จึงไม่แปลกที่จะอยากสนทนากับคนที่รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าพนักงานบริกรคนใหม่ และบางคนอาจไม่สะดวกใจที่จะเรียกใช้คนที่ไม่ได้เหมือนเป็นตนเอง
เหตุผลทั้งหมดก็มีแค่นั้น แต่เด็กหนุ่มกลับคิดไปต่าง ๆ นานา โทษตัวเองว่าทำงานออกมาได้ไม่ดีพอ แค่มองปราดเดียวชายวัยเลขสามก็รู้แล้วว่าเควินไม่สบายใจเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคราวนั้นที่ทำงานผิดพลาด พลอยทำให้กังวลว่าจะไม่มีใครเข้ามาใช้บริการที่ร้านอีก
เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวและไม่เคยเอ่ยออกมาให้ใครได้รู้…เควินเป็นเด็กแบบนั้น
“นายทำงานได้ดีมากแล้ว แต่ว่าลูกค้าบางคนเขาเป็นเพื่อนกับลินดาน่ะ คงอยากจะคุยด้วยเลยเรียกใช้เธอแทนนาย ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
“แบบนี้งานของผมก็น้อยลงเข้าไปอีกสิครับ ผมก็ต้องอยู่เฉย ๆ แบบน่าเบื่อน่ะสิ”
“ขยันทำงานน่าดูเลยนะนายเนี่ย”
“ถ้าอู้งานก็จะโดนเจ้าของร้านดุเอาน่ะสิครับ”
“คาลอสใจดี เขาไม่ว่าอะไรนายหรอก”
“คุณดู…สนิทกับเขาจังเลยนะครับ”
เอริคเลิกคิ้วให้กับสิ่งที่ได้ยิน “ดูเป็นแบบนั้นเหรอ”
“ครับ”
“…” ชายร่างสูงกำยำนิ่งเงียบไป ภายในหัวนึกย้อนไปถึงความหลัง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากับแวมไพร์อายุเกือบสามร้อยปีได้รู้จักและใช้ชีวิตเติบโตด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ “เรารู้จักกันมานานน่ะ”
“อ๋อ…” เควินตอบรับในลำคอ
“ว่าแต่นายเถอะ ฉันว่าคาลอสดูใจดีกับนายนะ”
“ครับ?” คราวนี้เป็นเขาเองที่ต้องเลิกคิ้วให้กับคำพูดนั้นบ้าง คนผมดำชี้นิ้วมือเรียวยาวขึ้นไปด้านบน กล่าวแทนถึงคนเป็นเจ้าของร้าน จากนั้นชี้นิ้วกลับเข้าหาตัว “คาลอส…ใจดีกับผมงั้นเหรอครับ”
“ใช่”
ตรงไหนกันนะที่ทำให้เอริคคิดว่าคาลอสใจดีด้วย เควินคิดตาม
แต่หากย้อนเรื่องราวดูดี ๆ แล้ว นอกจากคืนนั้นที่พบกันเป็นครั้งแรก คาลอสก็ไม่เคยกระทำการที่ดูใจร้ายกับเขาอีกเลย
“จะว่าไปเขาก็ใจดีกับผมขึ้นมากกว่าวันแรกที่เจอกันนะครับ อย่างน้อยก็ไม่พุ่งเข้ามากดผมเข้ากับกำแพงแล้ว”
เอริคหลุดหัวเราะออกมากับคำพูดแกมประชดประชัน
ในคืนนั้น เขางัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ทั้งที่ยังมีลินดาอยู่ในอ้อมแขน พอรู้ว่าปลายสายคือเควินและเจ้าตัวดูเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาก็เริ่มตั้งสติและผุดลุกขึ้นนั่งทันที สุดท้ายเขาก็ต้องขอร้องให้ลินดาช่วยพาเขามาที่ร้านให้เร็วที่สุด
เขากังวลว่าแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลมาเป็นเวลานานอย่างคาลอสจะเกิดความกระหายเลือดจนขาดสติแล้วเข้าไปทำร้ายเควิน แม้จะเชื่อใจความสามารถในการหักห้ามตนเองของอีกคนแต่ก็ไม่อาจวางใจได้เต็มร้อย นับเป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องหยิบอาวุธที่พกติดตัวขึ้นมาทำร้ายเพราะคาลอสควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี
“จริงสิ” เควินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เลือกเอ่ยถามออกเพื่อเน้นย้ำกับความคิด “วันที่ผมเข้ามาสมัครงานคุณเพิ่มเงื่อนไขลงไปว่า ‘ชงช็อกโกแลตร้อนอร่อย’ นั่นหมายถึงชมให้คาลอสดื่มหรือเปล่าครับ”
“ถูกต้อง เขาชอบดื่มช็อกโกแลตร้อนแบบหวานน้อย”
“แต่คุณก็ใส่น้ำตาลพูนช้อนไปแกล้งเขาทุกที” เควินว่าออกมาขำ ๆ
“นายรู้ได้ยังไง”
“คาลอสเป็นคนเล่าให้ผมฟัง”
เอริคมีสีหน้าแปลกใจกับคำบอกเล่านั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป “คาลอสชอบดื่มช็อกโกแลตร้อนตอนเช้า แต่ฉันไม่สะดวกจะเข้ามาชงให้ที่ร้านทุกวัน รับสมัครพนักงานใหม่ทั้งทีก็เลยเพิ่มเงื่อนไขเอาไว้เผื่อน่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วปกติคาลอสมีสูตรเครื่องดื่มที่ชอบไหมครับ”
“นายเคยลองชงให้เขาดื่มหรือยัง”
“เคยแล้วครับ”
“เขาว่ายังไงบ้าง”
“อืม ก็บอกว่าอร่อยดีครับ”
“ถ้างั้นนั่นก็เป็นสูตรที่คาลอสชอบแล้วล่ะ” บาเทนเดอร์ตรงหน้าว่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วหันไปตั้งใจกับการฝึกผสมเครื่องดื่ม
ณ มุมหนึ่งของร้านคาเฟ่คนตาย สายตาหลายคู่ของลูกค้าลอบมองไปยังบาร์เครื่องดื่มที่นักล่าแวมไพร์และพนักงานบริกรคนใหม่กำลังพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มบริกรคนใหม่ที่เข้ามาทำงานในร้านค่อนข้างเป็นหัวข้อสนทนาที่มาแรงสำหรับเหล่าแวมไพร์เลยทีเดียว
“เฮ้ ๆ เลิกเอาแต่มองเควินได้แล้วน่า” ลินดาที่นั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกันท้วงขึ้น
“สามีเธอก็ช่างเลือกรับคนเข้ามาได้ถูกจังเลยนะ อยู่ในดงแวมไพร์ขนาดนี้ไม่กลัวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยหรือไง”
“โธ่ ใครกล้าทำตัวมีปัญหาในร้านของคาลอสก็โง่เกินไปแล้ว! อีกอย่างถึงเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็มีเอริคคอยแก้สถานการณ์อยู่แล้ว”
“เธอก็เหลือเกินนะลินดา ปล่อยให้สามีตัวเองคอยปกป้องคนนู้นคนนี้อยู่เรื่อย”
“เขาทำแบบนั้นก็ถูกต้องแล้วนี่ ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเป็นใคร”
“นักล่าแวมไพร์… ใช่ ฉันลืมไปซะสนิท”
“ตราบใดที่ไม่มาล่วงรู้ความลับหรือทำให้เสียเรื่องก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก จริงไหม” คนที่นั่งอยู่ข้างลินดาชะโงกหน้าเข้ามากลางวงพร้อมทั้งกวักมือเรียกให้ทุกคนโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ “แถมคาลอสยังออกตัวปกป้องด้วยนะ รู้หรือเปล่า”
“เรื่องนั้นฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
ลินดานั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกไป
เรื่องราวถูกเล่าสู่กันฟัง เธอได้รับรู้มันมาหมดแล้วจากปากของเอริคตั้งแต่วันแรกที่เขารับสมัครพนักงานใหม่เข้ามา จากคำบอกเล่าของสามีผู้เป็นที่รัก ลินดาสัมผัสได้ว่าเควินต้องเป็นเด็กที่น่ารักและจิตใจดีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอ็นดูอีกคนเหมือนเป็นน้องชายของตัวเอง
ลินดาอยากจะเจอหน้าและทำความรู้จักกับเควินตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้รับฟังเรื่องราว แต่เพราะธุระและคำไหว้วานให้ไปจัดการเรื่องยุ่ง ๆ จากหนึ่งในพันธมิตรของคาลอสทำให้เธอต้องเก็บความคิดนั้นเอาไว้ก่อน จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงวันงานประจำปี สมาชิกในพันธมิตรเริ่มกลับเข้าเมืองกันมามากขึ้น เธอจึงมีเวลาพอที่จะกลับมาช่วยงานที่ร้านคาเฟ่คนตาย
“ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าในวงสนทนาไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องอยู่ฟังแล้วลินดาก็ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยขอตัว “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็อย่าเรียกหาแค่ฉันคนเดียว เควินเขาจะรู้สึกไม่ดีเอา”
“เดี๋ยวก่อนลินดา บอกเอริคให้ด้วยว่าฉันขอเครื่องดื่มพิ้งค์เลดี้”
“คืนนี้ไม่ดื่มบลัดดี้ไวน์เหรอ”
“ฉันดื่มมาพอแล้ว อยากได้อะไรสดชื่นมากกว่า แต่ถ้าใส่มันมาด้วยสักหนึ่งช็อตก็ดีนะ”
“ได้ ฉันจะบอกเขาให้”
ลินดาเดินผละออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินไปทางบาร์เครื่องดื่ม เควินที่คอยมองสถานการณ์ทั่วทั้งร้านอยู่ก่อนแล้วเห็นว่าเธอกำลังตรงเข้ามาก็ชิงสาวเท้าเข้าไปหาเสียก่อน
“ลูกค้าต้องอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ”
ลินดายิ้มออกมาด้วยเอ็นดูความตั้งใจบริการลูกค้าที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของชายหนุ่ม “ลูกค้าสั่งเครื่องดื่มน่ะ”
“…”
เธอว่าไว้แค่นั้นแล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดไปจากที่เควินนั่งเมื่อสักครู่
“ขอพิ้งค์เลดี้เพิ่มช็อต”
เอริคพยักหน้ารับแล้วลงมือผสมเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว
หนุ่มผมดำกลับมาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมคนทั้งสาม มีบางครั้งที่ต่างคนต่างหันมาและสบตากันจึงต้องส่งยิ้มบางให้อย่างช่วยไม่ได้
แม้ลินดาจะพอรู้เรื่องราวของเควินจากสามีมาบ้างแล้ว แต่เธอก็ตั้งใจเอาไว้เป็นมั่นเหมาะว่าจะต้องทำความรู้จักเด็กหนุ่มเพิ่มมากขึ้นให้ได้ คำถามพื้นฐานที่ผู้คนมักใช้ในการพบกันครั้งแรกถูกนำมาใช้ในการต่อบทสนทนาไปเรื่อย ๆ ตลอดคืน ลินดาพยายามทำตัวให้ดูเป็นมิตรที่สุดเพื่อให้อีกคนไม่เกร็งและสามารถคุยกับเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติ
จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของการจัดงานประจำปี เธอจะต้องสนิทกับเควินมากขึ้นให้ได้
เวลาหกชั่วโมงล่วงเลยไป ร้านคาเฟ่คนตายปิดให้บริการแล้ว ทั้งเอริค ลินดา และเควินต่างช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดร้านจนเสร็จเรียบร้อย ตีสามสิบห้านาที ชายหนุ่มยืนโบกมือลาสองสามีภรรยาอยู่ที่หน้าร้าน คนทั้งสองเดินควงแขนกันไปตามทางที่ค่อนข้างมืดสลัว บรรยากาศยามค่ำคืนของตรอกซอยนี้ดูน่ากลัวเหมือนอย่างเคย แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเอริคไม่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวอีกแล้ว
เควินจัดการตรวจเช็กกลอนประตูหน้าต่างรอบ ๆ ร้านอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นสองของตน สายตาแอบมองเลยขึ้นไปยังบานประตูที่ถูกปิดสนิท
คืนนี้คาลอสไม่กลับมาที่ร้าน
เขาบอกชายหนุ่มไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่ามีธุระที่ต้องไปจัดการ ให้ปิดร้านดี ๆ แล้วขึ้นไปนอนพักผ่อนได้เลย
เควินละสายตาจากบานประตูนั้นแล้วเดินเข้ามาในห้องที่ใช้เป็นสถานที่ปลอดภัยมาตลอดหนึ่งเดือนกว่า ภายในห้องเปลี่ยนไปจากวันแรกที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่เล็กน้อย ห้องสี่เหลี่ยมที่มีแค่เตียง ตู้เสื้อผ้า และตู้เก็บของข้างเตียงที่ดูไร้ชีวิตชีวา บัดนี้มีข้าวของของเขาเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างแล้ว
“เห้อ” เจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกทิ้งตัวเอนหลังลงบนผืนเตียง สายตาจับจ้องไปที่เพดาน “ผ่านมาเดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลย”
เหตุผลแรกและเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาเดินทางมาที่เมืองกรีฟทาวน์แห่งนี้ย้อนกลับเข้ามาย้ำเตือนในหัว
ตามหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่…นั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำ
เควินดันตัวผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่ได้จดบันทึกเรื่องราวลงไปในสมุดไดอารี่มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว มือเอื้อมไปเปิดลิ้นชักของตู้เก็บของข้างเตียงออก หยิบสมุดบันทึกพร้อมปากกามาถือไว้ในมือ ไล่เปิดแผ่นกระดาษบางไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าที่ว่างเปล่า
เขาขยับตัวขึ้นไปนั่งพิงบริเวณหัวเตียง ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ พยายามนึกย้อนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เก็บเศษเสี้ยวทุกอย่างมาตกตะกอนให้ได้มากที่สุด จากนั้นเริ่มจรดปลายปากกาขีดเขียนลงไป
หนึ่งเดือนกับอีกสิบห้าวัน… เป็นเวลาเท่านั้นแล้วนับตั้งแต่ที่รับรู้เรื่องราวบางอย่างและออกเดินทางมายังเมืองเก่าแก่แถมห่างไกลแห่งนี้
ตอนแรกคิดว่าจะมาที่นี่เพียงเพื่อตามหาความจริงให้ความสงสัยที่ติดค้างในใจมาหลายปีได้จางหายไปก็เท่านั้น แต่ทุกอย่างมันกลับผิดคาดเพราะได้พบเจอเรื่องราวและมิตรภาพดี ๆ มากมาย แม้จะเคยย้ายที่อยู่อาศัยไปเรื่อย ๆ ในหลายเมือง ได้พบเจอและทำความรู้สึกกับผู้คนมาก็มาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นจากการได้มาอาศัยอยู่ในเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ เรื่องสยองขวัญ และเรื่องที่น่าสงสัยอีกมากมาย
น่าแปลกใจจริง ๆ
พื้นที่แถบลานกลางเมืองและบริเวณรอบข้างที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ถูกสำรวจครบหมดแล้ว เหลือก็แต่หอสมุดกับสุสานตรงป่าท้ายเมืองที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสำรวจเสียที แม้จะได้รับการบอกเล่าหรือถามเอาจากคนในเมืองมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่ากรีฟทาวน์นั้นเต็มไปด้วยปริศนาและความน่าสงสัย
การจัดงานประจำปีได้เริ่มขึ้นแล้ว นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก ช่วงเวลานี้แหละที่เหมาะสมแล้วสำหรับการสืบหาความจริง
TBC
#คาเฟ่คนตาย
Comments (0)