ยามค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงัด บนเตียงหลังเล็กภายในห้องนอนชั้นสองของร้านคาเฟ่คนตายมีร่างของชายคนหนึ่งกำลังนอนสั่นเทิ้ม เม็ดเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้า ดวงตาหลับลงแน่น พ่นลมหายใจออกมาถี่แรงอย่างไม่รู้ตัว

ภายใต้ฝันยามนิทราปรากฏสถานที่อันคุ้นเคย เควินยืนอยู่กลางบ้านหลังเดิมที่เขาจากมา ทุกอย่างยังชัดเจนเสมอ ทั้งภาพครอบครัวที่แสนอบอุ่นชวนให้คิดถึงและความทรงจำอันแสนเจ็บปวด...

“พี่เควิน พ่อกับแม่จะกลับมาเมื่อไรเหรอคะ”

เขาชะงัก ภายในใจพลันอุ่นวาบเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กดังแว่วมาจากห้องนั่งเล่น สองเท้าค่อย ๆ ก้าวเดินไปตามที่มาของเสียงนั้น

“เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว พ่อบอกว่าจะซื้อของอร่อย ๆ มาฝากพวกเราด้วยนะ ดีใจไหม”

“อื้อ หนูชอบกินของอร่อย ๆ ที่สุดเลย”

เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีและเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดอิงกันอยู่หน้าเตาผิงไฟ สิ่งที่ได้เห็นทำเอาหัวใจของเควินไหวสั่น

อยู่ตรงนั้น...น้องสาวที่น่ารักของเขา

เขายืนมองด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ข้างนอกหน้าต่างมีเม็ดฝนสีขาวร่วงโรยลงมาสู่ผิวดิน เกิดเป็นชั้นหิมะขาวเนียนน่าสัมผัสแต่กลับหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจสำหรับเควิน

มันเป็นคืนนั้น...คืนที่เขาสูญเสียทุกอย่างไป

แสงไฟจ้าสาดส่องเข้ามาจนต้องหลับตาหยี เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่เบาะหลังภายในรถยนต์คันหนึ่ง ที่นั่งฝั่งคนขับมีพ่อเลี้ยงของเขาอยู่ตรงนั้น ข้างกันเป็นแม่ที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจ เควินส่งเสียงร้องเรียกแต่กลับไม่มีใครได้ยิน ราวกับว่าเขาเป็นธาตุอากาศ

“แม่ ได้ยินผมไหม แม่!”

ชั่ววินาทีก็มีเสียงแหลมแทงทะลุเสียดแก้วหูจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิด การพูดคุยแปรเปลี่ยนเป็นการทะเลาะวิวาทที่รุนแรงขึ้น เขาเห็นทั้งสองคนขยับปากแต่ไร้ซึ่งเสียงใดเปล่งออกมา

“พ่อ แม่ อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ”

ความรู้สึกข้างในเอ่อล้นออกมาเป็นหยาดน้ำตาสีใส เขาพยายามห้ามทั้งสองคนแต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเลย ตัวรถเริ่มส่ายไปมาสูญเสียการควบคุม

“ไม่นะ... ไม่ ไม่!”

รถทั้งคันชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างทางแล้วทุกอย่างก็มืดดับลง

เอี๊ยดดด

ปึง!

 

 

 

เฮือก!

ดวงตาคู่สวยเบิกโพลง สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา เควินเท้าแขนดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มองออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้วยสายตาเหม่อลอย

เขาจำเรื่องราวในเช้าวันต่อมาได้ดี เควินในวัยสิบหกปีทำอะไรไม่ถูก มือถือโทรศัพท์นิ่งค้าง น้ำตาไหลอาบแก้มไม่รู้ตัว เขาดึงตัวน้องสาวเข้ามากอดแนบอก สาวน้อยรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างไม่นานก็ร้องออกมาตามกัน เขาคิดอยู่นานว่าจะบอกยังไงเธอถึงจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจน้อยที่สุด

ไคลี่ อยู่กับพี่นะ”

“ฮึก...หนูจะอยู่...ฮือ...กับพี่”

เขากอดน้องแน่นขึ้น พยายามกักเก็บเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้สถานการณ์มันแย่ลงกว่าที่เป็น

“แล้วพ่อกับแม่ จะ ฮึก...จะไม่กลับมา...เหรอ ฮือออ”

เควินดึงตัวเองกลับมาจากห้วงความทรงจำ น้องสาวของเขาตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะยังขี้แยเหมือนเดิมอยู่ไหม อยู่กับครอบครัวนั้นโดยที่ไม่มีเขาจะมีความสุขดีหรือเปล่า...ไม่รู้เลย

เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับน้องสาวตั้งแต่วันนั้น

เควินเอี้ยวตัวไปเปิดลิ้นชักตรงโต๊ะข้างเตียง หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดออกดู ในนั้นมีเรื่องราวของตัวเขาเองถูกบันทึกไว้เป็นไดอารี่ เขาเปิดอ่านมันไปเรื่อยเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน มือขาวเปิดพลิกกระดาษมาจนถึงหน้าที่มีคำสองคำเขียนอยู่ คำถามที่เคยได้รับตอนย้ายมาที่กรีฟทาวน์แรก ๆ ผุดขึ้นในหัว

“ย้ายมา? โอ้ อะไรทำให้นายมาที่นี่ล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ เมืองนี้น่ะทั้งห่างไกลทั้งน่าเบื่อ คนในเมืองก็มีแต่คนแก่ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้คนหนุ่มอย่างคุณเที่ยวหรอก”

แท้จริงแล้วจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อตามหาความจริงเกี่ยวกับการจากไปของคนสำคัญ แต่เขาก็เลี่ยงที่จะตอบความจริงมาโดยตลอด

ทันใดนั้นเควินได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างนอกประตู เขาควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา

เวลานี้...เอริคเข้ามาที่ร้านงั้นเหรอ

ภายในห้องยังคงมืดสลัว แสงแดดส่องผ่านม่านเข้ามารำไร เควินเริ่มเกิดความสงสัยเพราะชายคนนั้นไม่เคยเข้ามาที่ร้านในช่วงเวลาแบบนี้เลย

เสียงดนตรียังดังลอดประตูเข้ามาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ แม้จะคิดว่าคงไม่มีใครกล้างัดร้านเข้ามาขโมยของแต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้ หนุ่มวัยรุ่นตบแก้มตัวเองเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก ยันตัวลุกขึ้นจากเตียงและไม่ลืมที่จะคว้าโทรศัพท์มือถือติดมาด้วยเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

เขาหมุนลูกบิดเปิดประตูออกไป ทำทุกอย่างด้วยความเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงบันไดทางเดินชั้นสองและชั้นสามไม่มีอะไรผิดปกติ เขาลงบันไดไปอย่างช้า ๆ เสียงที่ได้ยินเริ่มชัดเจนขึ้น พอเข้าไปใกล้อีกนิดถึงได้รู้ว่านั่นเป็นเสียงเปียโน เขาแอบมองผ่านช่องประตูกระจกใสไปยังลานยกสูงของร้านที่มีเปียโนหลังใหญ่ตั้งอยู่

ใครบางคนกำลังนั่งบรรเลงเปียโนอยู่ตรงนั้น

มือค่อย ๆ ดันเปิดประตูออกไป เควินเห็นเพียงด้านหลังของผู้บุกรุก เพลงยังคงบรรเลงไปด้วยทำนองดนตรีตามแบบฉบับของบีโทเฟ่น บรรยากาศในร้านที่ปิดไฟมืดอีกทั้งประตูหน้าต่างยังถูกล็อกอยู่ทุกบานทำให้เขาขนหัวลุก คนคนนั้นขยับนิ้วมือไปตามลิ่มโน้ตอย่างพลิ้วไหว

เมื่อแน่ใจแล้วว่านั่นไม่ใช่พนักงานอีกคนของร้าน เควินก็ต่อสายหาเอริคทันที แม้อาจจะเป็นการรบกวนแต่เขาคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องที่ควรแจ้งให้ทราบ

เควินยืนหลบอยู่ตรงกำแพงด้านหนึ่งที่เป็นจุดอับสายตา เสียงเปียโนยังแว่วดังดำเนินไปกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี รอไม่นานเอริคก็รับสาย

[อืม...เอริคพูดครับ]

“ขอโทษที่รบกวนนะครับเอริค ผมเอง”

[...เควิน? มีอะไรหรือเปล่า]

“มีใครบางคนอยู่ในร้าน คุณช่วยมาที่นี่ได้ไหม”

[อะไรนะ]

“ผมมองไม่เห็นหน้าแต่ว่าตอนนี้เขากำลังเล่นเปียโนอยู่”

[เล่นเปียโนงั้นเหรอ หรือว่าจะเป็น...]

ยังไม่ทันที่ปลายสายจะได้พูดจนจบประโยค เควินก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ ๆ คนที่เคยนั่งเล่นเปียโนตรงลานยกสูงกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในระยะประชิด

ฟึ่บ ปึก!

“อ๊า!”

[เฮ้ เกิดอะไรขึ้น เควิน...!]

อุปกรณ์สื่อสารในมือถูกปัดทิ้ง ทั้งตัวของเควินถูกกดเข้ากับกำแพง แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงร่างกายกำยำที่แนบชิดอยู่ แขนแกร่งกักขังเขาไว้ไม่ให้ขยับตัว

“นายเป็นใคร”

“อึก ปล่อย! คุณนั่นแหละเป็นใคร จะเข้ามาขโมย...”

“ฉันถามก็ตอบ”

“...!” เสียงทุ้มต่ำแฝงความไม่พอใจทำให้เควินหยุดการกระทำทุกอย่าง ก่อนจะตอบออกไปอย่างยากลำบากเพราะบริเวณลำคอถูกแขนอีกข้างของผู้บุกรุกล็อกเอาไว้

“ผมเป็นพนักงานของที่นี่” ชายหนุ่มพยายามดิ้นให้หลุดจากปราการร่างกายแกร่งแต่ก็ไม่เป็นผล ชายคนนี้แข็งแรงมาก เขาพยายามส่งแรงดันกลับไปเท่าไรอีกคนก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

“หืม? พนักงาน...”

“ปล่อยผมนะ!”

“นายคือ…เควิน?”

“รู้ชื่อผมได้ยังไง”

“เป็นเจ้าของร้านก็ต้องรู้จักชื่อพนักงานสิ”

“โกหก! เจ้าของร้านนี้คือเอริคต่างหาก”

ผู้ได้เปรียบในสถานการณ์นี้หัวเราะในลำคอให้กับประโยคที่ได้ยิน “อย่างเจ้านั่นน่ะเหรอจะมีเงินมากมายมาเปิดร้านแบบนี้ได้ เธอไปฟังเรื่องบ้า ๆ นั่นมาจากไหนกัน”

“คุณพูดเรื่องอะไร เฮ้ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!”

ปัง!

เสียงประตูทางเข้าด้านหลังร้านถูกกระแทกให้เปิดออกอย่างแรงพร้อมกับร่างของเอริคที่ยืนอยู่ตรงนั้นในลักษณะเหนื่อยหอบ

“โอ้ มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ”

ชายปริศนาปล่อยตัวเควินและขยับถอยออกไป เมื่อร่างกายเป็นอิสระ ขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มก็อ่อนแรงจนเกือบจะล้มพับลงตรงนั้นหากไม่ได้เอริคเดินมาช่วยพยุงตัวขึ้นเสียก่อน

“เป็นอะไรไหม”

“ไม่...ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร” เควินพยายามควบคุมสติ ฝืนตัวเองให้ทรงตัวยืนตรง สายตาจ้องเขม็งไปยังชายที่กระทำการรุนแรงกับเขาเมื่อสักครู่

“ไม่เจอกันนานเลยนะ เอริค”

เจ้าของชื่อสำรวจตามร่างกายของชายหนุ่มให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายก่อนจะหันไปส่งสายตาคาดโทษให้อีกคน เควินมองชายทั้งสองสลับกันไปมา สมองมึนตื้อ ยังปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่มากนัก สัมผัสรุนแรงบริเวณลำคอที่ยังหลงเหลืออยู่ส่งผลให้เขาไอออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ถามออกไป

“พวกคุณ...รู้จักกันเหรอครับ”

“รู้จักดีเลยล่ะ” ชายคนนั้นพูดตอบ

“เงียบไปซะคาลอส”

“คาลอส?”

ท่าทางของเอริคเหมือนกำลังระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งสูงขึ้น เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดแนะนำชายอีกคน “เควิน นี่คาลอส...เป็นเจ้าของร้านนี้”

 

เวลานี้พระอาทิตย์ขึ้นสู่ฟ้าแล้ว ภายในร้านคาเฟ่คนตายมีเพียงพวกเขาสามคนนั่งอยู่ในครัว เสียงที่ดังกลบความเงียบมีเพียงเสียงการทำอาหารที่มาจากคนเป็นเชฟ เควินกับคนที่เอริคบอกว่าเป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ข้างกัน เขาไม่กล้าหันไปสบตาอีกคนเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาทางเขาอยู่ตลอดเวลา เป็นการจ้องที่จ้องให้เขารู้ตัว เควินกลั้นใจค่อย ๆ หันหน้าไปสบตา เจ้าของร้านที่ชายหนุ่มรู้จักในชื่อคาลอสไม่เพียงแต่จะยังจ้องมองอยู่แบบนั้น แต่ยังส่งยิ้มมาให้เขาอีกต่างหาก

เอริควางจานอาหารลงตรงหน้าเควิน กลิ่นหอมฉุยทำให้เขาเบนความสนใจไปที่อาหารแทนที่จะเป็นใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ชายผมดำหิวจนไส้กิ่ว เพราะฝันร้ายเมื่อคืนและความตกใจในการกระทำของคาลอสเมื่อตอนเช้ามืดทำให้เขารู้สึกเหมือนใช้พลังงานไปทั้งวัน

“มาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการดีกว่า คาลอส นี่พนักงานใหม่ที่ฉันรับเข้ามา ชื่อ...”

“เควิน”

“...” คาลอสเรียกชื่อออกมาทั้งยังจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา

“ฉันรู้จักแล้ว”

“ยังไงก็เถอะ เควิน นี่คาลอส เป็นเจ้าของร้าน แต่นายไม่ต้องไปให้ความเคารพกับคนแบบนี้ก็ได้นะ”

เควินยิ้มแหยเป็นคำตอบส่งไป ถึงเอริคจะว่าแบบนั้นก็เถอะ ยังไงเขาก็เป็นเพียงลูกจ้างที่ยังต้องรักษาหน้าที่การงานของตัวเองไว้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เควินกลับมาสนใจอาหารเช้าของตนเอง ปล่อยให้ผู้ใหญ่สองคนคุยกันไป

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อคืนนี้เอง”

“เห็นข้อความที่ฉันทิ้งไว้ให้หรือเปล่า”

“พูดเรื่องนี้ก็ดี นายชักจะกวนฉันขึ้นทุกวันแล้วนะเอริค”

“ฮ่า ๆ แบบนั้นน่ะสมควรแล้ว”

คาลอสชักสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเอาความให้มากเรื่อง “แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

เควินตักอาหารเข้าปาก สายตาจดจ้องอยู่กับจานอาหารตรงหน้าแต่หูก็คอยเงี่ยฟังสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันตลอด แต่เขาไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่ประโยคเดียว

“ก็ตามที่บอกไป เริ่มน่าปวดหัวแล้ว ฉันคิดว่างานประจำปีครั้งนี้คงกลับมากันเยอะกว่าเดิม ได้ข่าวว่าพวกอลิซไปได้สมาชิกมาเพิ่มด้วย”

“งั้นเหรอ”

หนุ่มวัยรุ่นจัดการกับอาหารตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินนำจานไปล้างและเก็บเข้าที่ เขาคิดว่าตนเองไม่ควรนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะอาจเป็นการเสียมารยาทและรบกวนบุคคลทั้งสอง แต่ก่อนที่เท้าจะก้าวแตะบันไดขั้นแรก เสียงของเอริคก็ดังทักขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนเควิน วันนี้นายมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ”

“อีกสองสามวันก็จะถึงวันงานประจำปีแล้วน่ะ ฉันวานให้นายไปซื้อวัตถุดิบมาตุนเพิ่มหน่อยได้หรือเปล่า”

“อ๋อ...ได้ครับ”

“ไปวันนี้เลยนะ จะให้ฉันไปด้วยไหม”

“ไม่เป็นไร...”

“ฉันไปด้วย” เควินยังพูดไม่ทันจบประโยค คาลอสก็พูดแทรกขึ้นมา

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ เผื่อว่าคุณจะไม่สะดวก”

“ฉันสะดวก จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้นด้วยไง ไม่ดีเหรอ” คำถามถูกส่งมาพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เควินไม่กล้าที่จะปฏิเสธ

“ก็ได้ครับ”

เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปจ่ายตลาดในวันนี้ คล้อยหลังเควิน ชายทั้งสองหันมามองกันด้วยสีหน้าที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว คนหนึ่งเคร่งเครียด ส่วนอีกคนสดใสร่าเริง

“ถ้านายทำอะไรเควินฉันจะฆ่านาย”

“เห็นฉันเป็นคนยังไง”

“ถ้าเมื่อเช้าฉันมาที่ร้านไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากนะคาลอส แล้วเควินเองก็เป็นคนนิสัยดี”

“ว้าว ถึงขนาดที่นายเป็นคนออกปากชมเลยเหรอเนี่ย”

“สัญญามาว่านายจะไม่ทำอะไรเขา”

“ฉันต้องฟังคำสั่งนายตั้งแต่เมื่อไร”

“คาลอส” เอริคเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาจดจ้องไปยังชายอีกคนโดยไม่แสดงถึงความหวาดกลัวใด ๆ

“ก็ได้ ฉันสัญญา”

“ฉันเชื่อใจนายได้ใช่ไหม”

คาลอสส่งเสียง ‘หึ’ ในลำคอ "ไม่เอาน่า นายทิ้งอาชีพนั้นไปนานจนลืมเรื่องราวของพวกเราแล้วงั้นเหรอ"

ชายเจ้าของร้านใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เคลื่อนย้ายตัวเองจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เอริค ก้มกระซิบชิดใบหู

“Vampires never break a promise”

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย