จากเหตุการณ์คืนนั้นที่มีลูกค้านิสัยไม่ดีเข้ามาป่วนในร้าน เควินก็ทำงานอย่างระแวดระวังและสังเกตสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ร้านคาเฟ่คนตายยังมีลูกค้าเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ตัวเขาเองก็ยังทำหน้าที่ต้อนรับและบริการลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ ผิดกับอีกคนที่สีหน้าดูจะเคร่งเครียดขึ้นทุกวัน

“ช่วงนี้ลูกค้าเริ่มเข้าร้านเยอะขึ้นแล้วนะครับ ถือเป็นสัญญาณที่ดี”

“น่าปวดหัวสิไม่ว่า”

พนักงานทั้งสองคุยกันอยู่ที่ห้องครัวด้านหลังร้าน เอริคกำลังวุ่นกับการเตรียมมื้ออาหารให้ลูกค้าที่มีมากถึงห้าโต๊ะในคืนนี้ หนุ่มผมดำมองการกระทำทุกอย่างอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการหยิบจับเครื่องครัวต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งลีลาการทำอาหารที่แสนคล่องแคล่ว

“จริงสิ ผมเพิ่งนึกได้ ช่วงนี้มีลูกค้าถามถึงเครื่องดื่มที่คุณน่าจะต้องไปผสมที่บาร์ จะให้ตอบว่ายังไงดีครับ”

“เขาสั่งอะไรมา” เอริคถามทั้งที่ยังก้มหน้าจัดจานอาหาร

“สักครู่นะครับ” เควินหยิบเอารายการเครื่องดื่มขึ้นมาดูแล้วไล่นิ้วหาชื่อ “รู้สึกว่าจะเป็น...Bloody Wine?”

“...”

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากชายวัยเลขสาม เอริคนิ่งเงียบ เลือกตัดบทสนทนาโดยการยัดจานอาหารใส่มือแล้วบอกให้ชายหนุ่มนำมันออกไปเสิร์ฟให้ลูกค้า

เมื่อภายในห้องครัวเหลือเพียงเขาแค่คนเดียว สองเท้าก็ก้าวไปที่กำแพงด้านหนึ่ง เอริคใช้มือลูบหาบางอย่างบนพื้นผิวแล้วกดมันลงไป ทันใดนั้นประตูลับที่มีเพียงไม่กี่คนรวมถึงตัวเขาที่รู้ก็เปิดออก ข้างในปรากฏกล่องมากมายวางเรียงรายซ้อนกันอยู่เต็มช่อง พวกมันถูกเก็บไว้ภายใต้อุณหภูมิสี่องศาเซลเซียส ชายร่างสูงหันมองซ้ายขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าพนักงานอีกคนของร้านจะไม่พรวดพราดเปิดประตูเข้ามาในตอนที่เขาเปิดกล่องพวกนั้นออกดู

“เหลือไม่เยอะแล้วสิ ช่วงนี้พวกนั้นก็เริ่มกลับเข้าเมืองกันมาแล้วด้วย...”

เรื่องเมื่อคราวก่อนเอริคยังไม่มีเวลาที่จะรายงานให้เจ้าของร้านได้ทราบด้วยซ้ำ แต่เห็นทีว่าเขาต้องไปปลุกชายคนนั้นให้ตื่นจากการจำศีลอันยาวนานเสียแล้ว

 

เวลาตีหนึ่งห้าสิบนาที ลูกค้าภายในร้านเหลือเพียงสามโต๊ะเท่านั้น เมื่อปรุงอาหารตามรายการทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วเอริคก็เดินออกมาประจำที่บาร์เพื่อผสมเครื่องดื่มตามที่ลูกค้าต้องการ ถึงแม้ว่าเควินจะทำงานที่นี่มาได้สักพักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะหยิบจับข้าวของอะไรตามใจชอบอยู่ดี โดยเฉพาะพวกเครื่องดื่มต่าง ๆ ในโซนบาร์ที่ดูจากสายตาแล้วแอลกอฮอล์แต่ละขวดคงเป็นของที่มีราคาแพงน่าดู

“นอกจากเป็นเชฟแล้วยังเป็นบาเทนเดอร์อีกนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว

“หรือนายจะมาทำงานตรงนี้แทนฉันล่ะในเมื่อทั้งร้านก็มีแค่เราสองคน”

“ที่จริงให้ผมทำก็ได้นะครับ ผมพอจะรู้สูตรเครื่องดื่มอยู่บ้าง อันไหนที่ไม่รู้คุณก็ค่อยสอนอีกที แบบนี้ผมจะได้มีอะไรทำมากกว่าการที่แค่ต้องคอยต้อนรับลูกค้าที่ก็ไม่ค่อยมี”

เอริคหัวเราะร่วนกับคำพูดนั้น

“อย่าเพิ่งเบื่อไป หน้าที่จริง ๆ ของนายน่ะเป็นอะไรที่หนักพอสมควรเลย”

“หมายความว่ายังไงครับ”

ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววสงสัย แต่คนที่พูดประโยคแสนน่าข้องใจนั้นออกมากลับทำเพียงส่งยิ้มบาง ๆ ให้ แอบนึกเห็นใจพนักงานใหม่ที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสมัครตำแหน่งที่ต้องทำหน้าที่อะไรเข้ามา

“เอริค ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากถามมาสักพักแล้ว”

“ถามมาสิ”

“ทำไมถึงเลือกตั้งชื่อร้านแบบนี้เหรอครับ พวกชื่อเมนูก็เหมือนกัน” ในที่สุดเควินก็ได้ถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปเสียที “ทั้งเดดลี่คาเฟ่ เดดลี่เลดี้ ล่าสุดก็บลัดดี้ไวน์”

“นายไม่คิดว่ามันเข้ากับบรรยากาศของร้านเราเหรอ”

“มันก็...เป็นอะไรที่ดูมีเอกลักษณ์ดีนะครับ แต่บางครั้งฟังแล้วก็แอบขนลุกอยู่เหมือนกัน”

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เควินรู้สึกว่าทุกอย่างในเมืองนี้มันช่างมีแต่ความลับเยอะแยะเต็มไปหมด

“อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวนายก็รู้ หรือถ้าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้อีก หนึ่งปีหลังจากนี้ฉันจะเป็นคนบอกนายเอง”

 

 

 

ช่วงที่ผ่านมาบรรยากาศของกรีฟทาวน์เริ่มคึกคักขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้คนพากันออกมาเดินเล่นที่ลานกลางเมืองกันมากขึ้น อันที่จริงต้องบอกว่าเหมือนออกมาช่วยกันจัดงานอะไรสักอย่างน่าจะถูกต้องกว่า

วันนี้เควินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อมาวิ่งออกกำลังกาย เขาเริ่มชินกับความเงียบสงัดและความน่ากลัวของเมืองได้มากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังให้ความรู้สึกเสียวสันหลังอยู่วันยังค่ำ

ชายหนุ่มกลับเข้าร้านไปชำระล้างความเหนื่อยล้าออกจากร่างกาย แต่งตัวด้วยชุดสบาย ๆ แล้วออกมาเดินเล่นภายในเมือง สถานที่แรกที่ตั้งใจจะแวะเวียนไปคือร้านบาร์ของสเตฟาน

“ไม่ ขึ้นไปอีก ซ้ายหน่อย ซ้าย...”

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เควินเอ่ยทักทายเจ้าของร้านบาร์แห่งเดียวในเมืองที่เขามาทำความรู้จักไว้เมื่อครั้งก่อน

“ไง เควิน”

“ตกแต่งร้านใหม่เหรอครับ”

“ใกล้จะถึงวันงานประจำปีแล้วก็เลยอยากสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ สักหน่อยน่ะ นี่ นายเข้าใจคำว่าตรงกลางไหม ติดเลยไปไหนแล้ว” ประโยคหลังเขาหันไปดุพนักงานที่ปีนบันไดขึ้นไปแขวนป้ายชื่อร้านอันใหม่

ชายหนุ่มแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “กรีฟทาวน์มีงานประจำปีด้วยเหรอครับ”

“มีสิ เธอจะให้พวกเราอยู่แบบน่าเบื่อกันทั้งปีเลยหรือไง”

เป็นคาร่าที่เดินเข้ามาสมทบ เควินหันไปยิ้มให้หญิงสาวเจ้าของร้านดอกไม้ที่วันนี้อยู่ในชุดเดรสสีขาวลายดอกเดซี่สุดน่ารัก

“ไงครับคาร่า วันนี้แต่งตัวสวยจังเลยนะครับ”

“แหม ปากหวานจังเลยนะเควิน” หญิงสาวชมอย่างจริงใจ

เหตุผลที่ทำให้เควินเข้ากันได้ดีและเป็นที่ต้อนรับจากคนในเมืองก็เพราะนิสัยของเจ้าตัว หนุ่มวัยรุ่นอายุสิบเก้าปีที่สเตฟานและคาร่าเคยเจอส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเด็กที่จิตใจดีแบบนี้หรอก

การย้ายตามแม่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังเล็กไม่ได้ทำให้เควินใช้ชีวิตสุดโต่งเหมือนเด็กที่เกิดที่นี่สักเท่าไร จะว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาก็ได้ เขาชอบที่จะอยู่บ้าน เลี้ยงน้องสาว พยายามทำตัวเป็นเด็กที่ใจดีและเป็นที่รักของคนอื่นเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวทางฝั่งจอห์นก็ไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านั้นเลย เควินคิดว่ามันอาจเป็นเพราะความอคติที่บังตาด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นลูกติดจากผู้หญิงที่ทำให้จอห์นต้องทะเลาะกับครอบครัว

“โอเค เรียบร้อยแล้ว นายลงมาเถอะ” พวกเขาทั้งสามคนยืนมองหน้าร้านที่จัดใหม่ของสเตฟาน “เป็นไง แบบนี้พอจะเรียกลูกค้าได้ไหม”

“...”

ไร้ซึ่งคำตอบจากหนุ่มวัยรุ่นและหญิงสาว

ตอนที่เควินมาที่นี่เป็นครั้งแรก สิ่งที่เขาเห็นคือร้านที่ดูเหมือนบาร์ทั่วไป มีป้ายหน้าร้านที่ประดับด้วยไฟสีต่าง ๆ แต่ตอนนี้มันกลับถูกแทนที่ด้วยอะไรที่น่ากลัว ทั้งไฟรอบตัวหนังสือที่เปลี่ยนเป็นสีแดง รวมทั้งของตกแต่งบนป้ายที่เป็นเหมือนเลือดและรูปค้างคาว

“นายจะแต่งร้านเป็นธีมวันฮาโลวีนหรือไง”

“ยังไงกรีฟทาวน์ก็มีจุดขายเป็นเรื่องพวกนี้อยู่แล้วนี่ เธอจำเมื่อปีนั้นไม่ได้เหรอที่เราจัดงานกันแบบสดใสแล้วไม่มีใครมาเที่ยวเลยน่ะ แหงสิ ตกแต่งให้มันขัดกับบรรยากาศแบบนั้น ถ้านักท่องเที่ยวต้องการความสนุกสนานพวกเขาก็ไปเที่ยวที่เมืองอื่นไม่ดีกว่าหรือไง”

“ก็จริงของนาย แต่แบบนี้มันไม่ดูน่ากลัวไปหน่อยเหรอ”

“โธ่ คาร่า”

ทั้งสองถกเถียงกันไปมา เควินที่เพิ่งย้ายมาใหม่ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรมากจึงเลือกยืนดูอยู่เฉย ๆ เขาเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าเมืองห่างไกลแบบนี้ก็มีการจัดงานประจำปีด้วย

“เควิน”

คนถูกเรียนหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น

“ว้าว อะไรทำให้นายออกจากบ้านในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ได้ล่ะเอริค” สเตฟานเอ่ยกับคนมาใหม่

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เควินคิดไว้จะเป็นเรื่องจริง

เอริคเป็นคนติดบ้าน

ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นชายวัยเลขสามปรากฏตัวอยู่ในเมืองในช่วงเวลากลางวัน นับว่าน่าแปลกใจอยู่พอสมควร

“มีคนขอให้ฉันไปช่วยจัดสถานที่ที่บ้านผีสิงน่ะ เห็นว่าจะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะ”

“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย มีคนไปติดประกาศที่ป้ายแล้วเหรอ”

ที่หญิงสาวเจ้าของร้านดอกไม้พูดถึงคือป้ายปิดประกาศของเมือง เนื่องจากกรีฟทาวน์เป็นเมืองที่มีผู้สูงอายุอยู่ค่อนข้างมาก การใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารกันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยแพร่หลาย ชาวเมืองจึงตกลงกันว่าถ้ามีข่าวสารอะไรที่สำคัญให้นำไปติดไว้ที่ป้ายปิดประกาศของเมืองเพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบ ซึ่งป้ายนั่นก็เป็นอันเดียวกันกับที่เควินไปดูใบประกาศรับสมัครงานในวันแรกที่มาถึง

“ฉันกำลังจะเอาไปติดอยู่พอดี” เอริคชูกระดาษในมือขึ้น “เควิน อยากไปกับฉันไหม”

เควินตอบรับรัวเร็ว “ไปครับ!”

 

 

 

เควินยังยืนยันคำเดิมว่าช่วงเวลาที่พระจันทร์ขึ้นสู่ฟ้า บรรยากาศของเมืองนี้ยังน่ากลัวชวนให้ขนหัวลุกอยู่เสมอ ค่ำคืนนี้เป็นอีกคืนที่มีลูกค้าเข้าร้านมากกว่าปกติ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

จากเมื่อกลางวันที่เควินได้ติดสอยห้อยตามเอริคไปปิดประกาศที่ป้ายและไปจัดสถานที่ที่บ้านผีสิง เขาได้เปิดหูเปิดตาและรับรู้เรื่องราวของกรีฟทาวน์เพิ่มมากขึ้น เขาทั้งแปลกใจและนึกชื่นชมอยู่ในใจเพราะบ้านผีสิงหลังนั้นสวยมาก ทั้งภายนอกและภายในได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างดี ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในบ้านแม้จะมีสภาพเก่าฝุ่นเขรอะแต่ก็เป็นของหรูหราทั้งนั้น จนเควินแปลกใจว่าทำไมไม่นำมารีโนเวทเป็นโรงแรมแทนที่จะนำมาทำเป็นบ้านผีสิงแบบนี้

“บ้านหลังนี้น่ะก่อตั้งมานานที่สุดในบรรดาบ้านเรือนทั้งหมดของเมืองแล้ว”

“ไม่มีเจ้าของเหรอครับ”

“มีสิ แต่เขาจากที่นี่ไปหลายปีแล้ว ญาติ ๆ บอกว่าให้นำไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับเมืองได้เลย พวกเราเลยเอามาทำเป็นบ้านผีสิงเนี่ยล่ะ เพราะอะไรรู้ไหม ประวัติของบ้านหลังนี้น่ะน่ากลัวจนนายนึกไม่ถึงเลย”

พนักงานเพียงสองคนของร้านยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากคืนนี้มีลูกค้าและรายการอาหารที่ต้องทำค่อนข้างมาก เอริคจึงมัวแต่ง่วนอยู่ในครัว เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงออกมาที่บาร์เครื่องดื่มเพื่อสังเกตสถานการณ์

“เควิน นี่ของลูกค้าโต๊ะนู้น”

“ทำไมออกมาล่ะครับ ไม่มีอาหารที่ต้องทำแล้วเหรอ”

“ไม่มีแล้ว นายรีบเอานี่ไปเสิร์ฟเถอะ”

“ครับ” คนผมดำรับจานอาหารแล้วเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วยความคล่องแคล่ว

จุดประสงค์ที่แท้จริงของเอริคคือเขาอยากสำรวจว่าในเวลานี้มีคนพวกนั้นจำนวนเยอะแค่ไหนแล้วที่กลับเข้าเมืองมา ดวงตาคู่คมมองไปทั่วบริเวณชั้นหนึ่งของร้าน ลูกค้าหกโต๊ะทั้งชายและหญิงนั่งเว้นห่างกัน ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใด ๆ

จากความสามารถเฉพาะตัวและทักษะอาชีพที่เคยทำมาทำให้เอริคสามารถแยกแยะได้แทบจะในทันทีว่าใครเป็นใคร

ไม่สิ ใครเป็น...อะไร

“เห้อ ปวดหัวแน่เลย” เขาพึมพำกับตัวเอง เควินที่เดินกลับมาพอดีได้ยินเข้าจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ปวดหัว? ไม่สบายเหรอครับ”

เอริคเลี่ยงตอบ “เปล่า ฉันแค่คิดว่าถ้ามีลูกค้าเยอะขึ้นกว่านี้คงต้องทำอาหารจนปวดหัวแน่เลย”

“อ้อ... ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ อีกอย่างจากที่ผมสังเกตมาไม่ค่อยมีลูกค้าคนไหนที่เร่งจะเอาอาหารเลยนะครับ”

จะไปมีใครกล้าเร่งได้ยังไงล่ะ เอริคคิด

“จริงสิ ฉันลืมบอกไป ช่วงวันงานประจำปีจะมีพนักงานอีกคนมาช่วยนายนะ”

“ใครเหรอครับ”

“พนักงานเก่าน่ะ เขาลาพักร้อนก็เลยยังไม่ได้มาให้เจอ แต่จะกลับมาช่วงงานประจำปีนี่แหละ ไว้ฉันจะแนะนำให้รู้จัก”

เควินพยักหน้ารับ ระบายยิ้มออกมา คิดในใจว่าดีเหมือนกันที่จะมีคนมาช่วยงานเพิ่มและคุยเล่นเป็นเพื่อนเขา

“นายอยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปจัดการอะไรหลังร้านหน่อย”

“ได้ครับ”

เอริคตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ แล้วเดินแยกตัวไปทางหลังร้าน

เมื่อพ้นประตูมาความตึงเครียดและความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากข้อมูลที่เขาได้รวบรวมมาตลอดช่วงสองสามวันนี้ มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องรายงานให้คนคนนั้นได้ทราบ เมื่อแน่ใจว่าเควินจะประจำอยู่ที่หน้าร้านตามที่บอก เขาก็ก้าวขึ้นบันไดตรงไปที่ชั้นสาม สองเท้าหยุดลงหน้าประตูบานนั้น

ก๊อก ๆ ๆ

“ฉันเอง”

“...”

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว”

“...”

เอริคยืนรออยู่นานก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขานำปากกาที่ถือติดมือมาด้วยจรดเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษแล้วสอดมันเข้าไปในช่องใต้ประตู ปรายตามองเพียงแวบเดียวแล้วจึงเดินลงมาประจำอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มดังเดิม

หวังว่านายจะตื่นมาเห็นข้อความของฉันเร็ว ๆ นะ คาลอส

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย