หลังจากขอตัวออกมาข้างนอก สิ่งที่เควินทำคือการเข้าไปถามทุกคนที่คิดว่าพอจะให้คำตอบกับเขาได้ ทั้งจากโทนี่ แมรี่ จอร์จ สเตฟาน คาร่า และชาวเมืองคนอื่น ๆ แต่กลับไม่มีใครช่วยคลายความสงสัยได้เลย อาจเพราะข้อจำกัดของตัวเขาเองที่ไม่สามารถถามทุกอย่างออกไปได้ตรง ๆ

เมื่อได้รับความผิดหวัง สิ่งที่ยังพอทำได้คือการหาข้อมูลให้มากที่สุด เควินตัดสินใจไปที่หอสมุดของเมืองแล้วใช้เวลาขลุกอยู่ในนั้น เรื่องราวมากมายไหลไปตามตัวอักษรในหน้ากระดาษ หนังสือหลายเล่มถูกอ่านผ่านตา เปิดหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ข้อมูลสำคัญที่เขาตามหานั้นไม่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มไหนเลย

เวลาล่วงเลยไปจนผู้ดูแลเดินมาบอกให้เขาเตรียมตัวออกจากหอสมุดได้แล้ว เควินมองกองหนังสือที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านตรงหน้า เลือกหยิบบางเล่มมาแล้วทำเรื่องขอยืมมัน ในตอนที่ออกจากตรงนั้น สีสันของท้องฟ้าก็ได้เลือนหายไปเรียบร้อยแล้ว

“เราอยู่ในนั้นนานจนฟ้ามืดแล้วเหรอเนี่ย...”

หนังสือสองสามเล่มถูกใส่ไว้ในกระเป๋าสะพาย ชายหนุ่มกระชับสายขึ้นบนไหล่ เดินเรื่อยไปตามเส้นทางหลักของเมือง บรรยากาศยามกลางคืนของกรีฟทาวน์ช่วงวันงานประจำปีเป็นที่น่าตราตรึงใจสำหรับเขามาก ความมีชีวิตชีวาเข้ามาแทนที่ความน่ากลัว ทว่าบางส่วนของเมืองยังคงหลงเหลือความน่าสงสัยและน่าระแวงเอาไว้อยู่เช่นเดิม

เมื่อคำนวณแล้วว่ายังพอมีเวลาให้ได้เดินเล่นก่อนกลับเข้าร้านไปทำงาน เขาจึงพาร่างของตนตรงไปที่ลานกลางเมืองทันที หลอดแสงไฟให้ความสว่างถูกติดตั้งเอาไว้จนทั่ว เควินเดินผ่านร้านค้าและซุ้มขายอาหารจนมาถึงพื้นที่จัดกิจกรรม

เวทีเล็ก ๆ ถูกยกสูงขึ้นจากระดับพื้น พนักงานคนหนึ่งจากคณะทัวร์ของบ้านผีสิงกำลังทำหน้าที่เป็นพิธีกรพูดบรรยายโดยมีนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตานั่งล้อมวงกันโดยรอบ

“ขอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนสู่เมืองกรีฟทาวน์อย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ สำหรับกิจกรรมในค่ำคืนนี้...”

เควินเลือกทิ้งตัวนั่งลงข้างกันกับกลุ่มวัยรุ่นซึ่งกำลังคุยถึงเรื่องที่พิธีกรกำลังบรรยาย เธอเล่าเรื่องราวของบ้านผีสิงหลังนั้นที่เขาได้มีโอกาสไปช่วยจัดสถานที่ด้วยกันกับเอริค ข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดชายหนุ่มพอจะรู้มาบ้างแล้วจากคำบอกเล่าของชาวเมือง ข้อมูลในแผ่นพับ และหนังสือแนะนำสถานที่ของเมืองในหอสมุด

“บางคนที่เข้าร่วมทัวร์อาจจะพอรู้ประวัติความเป็นมาของบ้านหลังนี้แล้วบ้าง แต่ถ้านี่เป็นครั้งแรกและคุณมาเสี่ยงดวงแบบไม่รู้อะไรเลย ฉันจะเล่าให้ฟัง...”

สิ่งที่พิธีกรสาวพูดไม่ได้เข้าหูเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศอันหาได้ยากของเมืองห่างไกล ตั้งแต่ย้ายมายังกรีฟทาวน์และเข้าทำงานที่ร้านคาเฟ่คนตาย ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้มานั่งเล่นผ่อนคลายจิตใจเหมือนอย่างที่ทำอยู่

ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาโหมร่างกายทำงานอย่างหนักไม่เว้นว่างเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ด้วยหวังว่าจะกลายเป็นคนที่มีพร้อมและสามารถกลับไปดูแลน้องสาวผู้เป็นที่รักได้ในสักวัน แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ไคลี่อาจจำเขาไม่ได้...หรือไม่ก็แต่งงานมีครอบครัวของตัวเองไปแล้วและไม่ได้ต้องการให้พี่ชายคนนี้คอยดูแลอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนล้วนน่าเศร้าใจสำหรับเขาทั้งหมด

“พวกนายมาเข้าร่วมทัวร์ในคืนนี้เหมือนกันเหรอ”

เควินหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ตัว ใบหน้าขาวเงยขึ้นไปแต่กลับไม่พบใคร พอหันมองรอบกายก็พบว่าเป็นเสียงของวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่ใกล้กันกับเขา

“ใช่ ฉันเฝ้ารอที่จะมาทัวร์บ้านผีสิงหลังนี้มาตลอดเลยล่ะ!”

“พวกฉันก็เหมือนกัน”

เสียงพูดคุยของกลุ่มวัยรุ่นดังเสียจนใครก็ตามที่นั่งอยู่รอบข้างล้วนได้ยินกันหมด เขาไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทแอบฟังเลยสักนิดหากพวกเขาไม่ได้พูดถึงคลิป ๆ หนึ่งซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุในการตั้งใจมาเยี่ยมชมบ้านผีสิงของพวกเขา

“ได้ดูคลิปนั้นกันมาก่อนหรือเปล่า”

“จะพลาดได้ยังไง มันเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ตซะขนาดนั้น”

“พวกฉันจองโรงแรมล่วงหน้าตั้งหลายเดือนเพื่อมาที่นี่เลยนะรู้หรือเปล่า”

“ฉันเคยดูคลิปนั้นเหมือนกัน ตอนแรกที่เลื่อนไปเจอก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พออ่านคอมเมนต์เท่านั้นแหละ…”

ประโยคท้ายหลุดหายไปเมื่ออยู่ ๆ คนพูดก็เว้นจังหวะราวกับต้องการสร้างบรรยากาศให้น่าติดตาม ทำเอาคนที่กำลังเสียมารยาทแอบฟังอยู่ลุ้นไปด้วย

“มีคนบอกว่าถ้าเปิดเสียงดัง ๆ หรือใส่หูฟังแล้วฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงดังมาจากในบ้าน”

จบประโยค พวกหนุ่มสาวเหมือนไม่ได้ปักใจเชื่อเต็มร้อย แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความตื่นเต้นจากการได้ฟังเรื่องราว เควินจะไม่สะกิดใจและเอาสิ่งที่ได้ยินมาขบคิดเลยถ้ามันไม่ดันไปตรงกับคำบอกเล่าของสเตฟาน

“ความจริงฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก แต่ได้ยินเขาเล่ากันมาว่ามีคนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากในบ้าน”

เควินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เสิร์ชอินเทอร์เน็ตหาคลิปที่ได้ยินชื่อมาจากกลุ่มวัยรุ่น ทว่ายังไม่ทันจะได้พิสูจน์อะไรก็มีสายโทรเข้ามาเสียก่อน

‘Eric’

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่พอสมควร

ติ๊ด

“เควินพูดครับ”

[เควิน ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ]

จากที่คาดว่าจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งของเชฟประจำร้าน มันกลับแทนที่ด้วยเสียงหวานใสของใครบางคนดังมาจากอีกฝั่ง

“ลินดา?”

[ฉันเอง พอดีฉันยืมมือถือเอริคโทรหาเธอน่ะ]

“อ๋อ... คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”

[ฉันแค่จะถามว่าเธออยู่ที่ไหน เห็นฟ้ามืดแล้วแต่เธอไม่อยู่ที่ร้าน]

“พวกคุณเข้าไปที่ร้านกันแล้วเหรอครับ”

[เข้ามาได้สักพักแล้วล่ะ คาลอสบอกว่าเธอขอตัวออกไปทำธุระตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วยังไม่กลับมาสักที ฉันเลยเป็นห่วง]

“…”

จากถ้อยคำและน้ำเสียงของอีกฝ่าย เควินสัมผัสได้ว่าเธอพูดมันออกมาอย่างจริงใจ นั่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นข้างในจนหลุดระบายรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา

“ผมทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ลานกลางเมือง”

[งั้นเหรอ อีกนานหรือเปล่าถึงจะกลับเข้ามา]

“อีกเดี๋ยวก็ว่าจะกลับแล้วครับ ขืนดึกกว่านี้ระหว่างทางคงน่ากลัวน่าดู” เขาตอบลินดากลับไป ในขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหันหลังออกจากพื้นที่จัดกิจกรรม

[จะให้ฉันออกไปรอรับระหว่างทางหรือเปล่า]

“ไม่เป็นไรครับลินดา ผมเดินกลับเองได้”

[ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นรีบโทรศัพท์มาที่เบอร์ของเอริคทันทีเลยเข้าใจไหม]

เควินยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมเมื่อเธอดูเหมือนจะเป็นห่วงเขาเอาเสียมาก ๆ

“ได้ครับ ผมจะรีบกลับไปนะครับ”

 

 

 

ตลอดระยะทางที่เดินกลับร้าน เควินพยายามพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างส่องถึงอยู่เสมอ บนไหล่ซ้ายมีสายกระเป๋าสะพายถูกกระชับเอาไว้แน่น มือกำโทรศัพท์ไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ติดต่อหาเอริคหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที สองข้างทางแม้จะมีบ้านเรือนอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติซึ่งเปิดโล่งจนเหมือนว่ากำลังเดินอยู่ในใจกลางทุ่งหญ้าแสนกว้างใหญ่ ไม่รู้เลยว่าจะมีใครหรืออะไรโผล่มาจากทางไหนหรือไม่ สิ่งที่พอจะทำได้คือปลอบใจตัวเองว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เขาจะปลอดภัย พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าเดินกลับไปที่ร้านให้เร็วที่สุด

ไม่นานก็มาถึงปากทางเข้าตรอกซอยที่ตั้งร้าน ราวกับสัญชาตญาณการระวังภัยเปิดทำงานโดยไม่รู้ตัว เควินหันขวับไปมองเส้นทางด้านหลังที่เดินผ่านมาเมื่อรู้สึกได้สักพักแล้วว่ามีคนกำลังเดินตามเขาอยู่ ชายหนุ่มกำมือแน่น กลั้นใจหันหลังกลับไปทั้งตัวเพื่อมองดูให้แน่ใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง

ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลยนอกจากเขา

“คงระแวงไปเองล่ะมั้ง...”

ทันใดนั้น จังหวะที่เตรียมจะจ้ำอ้าวกลับไปที่ร้านก็ต้องตกใจเมื่อใครบางคนมาปรากฏอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดจนเขาเผลออุทานออกมาเสียงดังลั่น

“Shit!!!”

“…!”

หญิงสาวตกใจกับเสียงอุทาน แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะระคนเอ็นดูชายหนุ่มที่เผลอพูดคำหยาบใส่หน้าเธอเต็ม ๆ

“ลินดา!”

“ฉันเอง ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แน่สิครับ อยู่ ๆ ก็เล่นโผล่มาตรงหน้าแบบนี้”

เควินเผลอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์น่าหวาดระแวงมาและยังต้องเจอกับการเข้าใกล้ในระยะประชิดเหมือนอย่างที่ชายเจ้าของร้านชอบทำ สองมือยกขึ้นลูบอกตัวเองป้อย ๆ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นเอ่ยขอโทษผู้ใหญ่ตรงหน้า

“ขอโทษด้วยนะครับที่เผลอขึ้นเสียงใส่”

“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าเธอตกใจ ขอโทษเหมือนกันนะที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาแบบนี้”

เมื่อปรับลมหายใจให้คงที่ได้ชายหนุ่มจึงถามออกมา

“แล้วคุณออกมาทำอะไรตรงนี้เหรอครับ”

“ฉันมารอเธอนั่นแหละ”

“รอผม?”

“อืม กลัวว่าเธอจะเหงาฉันก็เลยออกมารับ จะได้เดินกลับเข้าไปพร้อมกันไง”

ลินดาก้าวเข้ามาดันแผ่นหลังของเควินให้เดินนำไปในตรอกซอย ก่อนเดินตามเข้าไปเธอไม่วายหันไปมองด้านหลังอีกครั้ง จากสถานการณ์เมื่อสักครู่ ชายหนุ่มคงรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเดินตามมา นับว่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วที่เธอเลือกออกมารอรับเขาให้เดินกลับเข้าไปพร้อมกัน...ทั้งหมดนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของเควิน

แสงไฟส่องสว่างตามเส้นทางในตรอกซอยมีไม่นัก ยังดีที่ได้แสงจากดวงจันทร์คอยช่วยให้ความสว่างอยู่บ้าง สองร่างชายและหญิงเดินเคียงกันไป เสียงหวานใสคอยเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบอยู่ไม่ขาด

“ไปเที่ยวในเมืองมาสนุกไหม”

“ก็ดีครับ ครึกครื้นกว่าช่วงแรกที่ผมมาถึงเยอะเลย”

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้นานหรือยัง”

“ถ้านับดูแล้วก็...ประมาณเดือนกว่าได้แล้วมั้งครับ”

ลินดาตั้งใจว่าจะต้องทำความรู้จักกับเควินเพิ่มมากขึ้นให้ได้ ทว่าพออยู่กันสองคนแบบนี้ เหมือนเด็กหนุ่มยังมีกำแพงบาง ๆ คั่นกลางระหว่างกัน อาจเพราะเควินไม่ได้รู้จักเธอมานานเท่าเอริค ต่างกับหญิงสาวที่รู้เรื่องราวของเขาตั้งแต่วันแรกที่สมัครเข้ามาทำงานในร้านคาเฟ่คนตาย

ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาของคนที่เขาให้ความเคารพ ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ว่าเธอพยายามทำความรู้จักและสนิทสนมกับเขาให้มากขึ้นอยู่จริง ๆ เนื่องจากต้องทำงานด้วยกัน อย่างน้อยก็ตลอดระยะเวลาการจัดงานประจำปี แน่นอนว่าการรู้จักเพื่อนร่วมงานเอาไว้เป็นเรื่องที่ดีกว่า

“อยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ตอนทำงานเอริคเขาโหดกับเธอหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ ความจริงเขาใจดีกับผมมากเลยต่างหาก”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว ถ้าเขาดุเธอเกินเหตุมาบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะจัดการเขาให้เอง”

เควินหัวเราะออกมาแผ่วเบา เอ่ยขอบคุณหญิงสาวที่นึกเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้

“แล้ว...เธอมาอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ ครอบครัวล่ะ”

“…”

คำถามสะกิดใจทำให้เควินชะงักเท้าหยุดเดินไปชั่วครู่ ลินดาที่คอยมองดูอยู่ตลอดจับสังเกตได้ก็รู้แล้วว่าเธอทำพลาดไปจริง ๆ จังหวะที่กำลังจะบอกชายหนุ่มว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเธอก็ได้ เขากลับพูดขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น

“พ่อแม่ผมเสียชีวิตแล้วครับ”

เพียงคำตอบเดียวและสายตาที่ถ้ามองลึกลงไปจะสัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองที่เจือปนอยู่ทำให้ลินดาก้มหน้ามองพื้น เธอรู้สึกแย่และรู้สึกผิดที่ไปแตะเรื่องต้องห้ามของชายหนุ่มเข้าให้แล้ว ลินดาเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบา ๆ พร้อมเอ่ยขอโทษ

“ฉันเสียใจด้วย...ขอโทษที่ถามแบบนั้นออกไปนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงยังไงเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว อีกอย่างผมยังมีน้องสาวอยู่ทั้งคน...ถึงจะไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้นก็เถอะ”

“…”

ทั้งสองเดินข้างกันเรื่อยไปตามทาง เสียงธรรมชาติรอบข้างช่วยให้บทสนทนาคลายความน่าอึดอัดลงไปแม้จะไม่มากนัก เควินไม่นึกโกรธลินดาเพราะเธอไม่รู้ว่าแผลใจของเขาคือเรื่องนี้ เขาเองก็ทำใจยอมรับความจริงมาได้ตั้งนานแล้ว ซ้ำยังไม่อยากให้เส้นแบ่งระหว่างกันมีมากขึ้นไปอีก เขาจึงแสร้งยิ้มให้ทำเหมือนไม่มีความขุ่นมัวใด ๆ เกิดขึ้นภายในจิตใจ

“ว่าแต่คุณกับเอริคคบกันมานานแค่ไหนแล้วเหรอครับ”

คราวนี้เป็นเควินที่เปิดบทสนทนาบ้าง แม้จะดูเป็นคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเอามาก ๆ แต่หญิงสาวก็ยินดีตอบ

“เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลแล้วล่ะ รายนั้นน่ะเป็นหนุ่มฮอต ส่วนฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร แปลกใจอยู่เหมือนกันที่สุดท้ายฉันดันได้เขามาเป็นแฟน”

ลินดายิ้มออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงและสายตาเวลาพูดถึงคนรักของเธอช่างดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ถ้านับตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตเป็นคู่สามีภรรยากันก็เกือบสิบปีได้แล้ว”

“เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจังเลยนะครับ น่าอิจฉาจัง”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก”

ระยะทางจากปากทางเข้าตรอกซอยจนถึงร้านคาเฟ่คนตายไม่ได้ไกลกันมากนักแต่ก็พอมีเวลาให้ทั้งสองได้พูดคุยทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้น ไม่นานเขาและเธอก็เดินมาถึงหน้าร้าน บรรยากาศรอบข้างยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม ทว่าสิ่งหนึ่งที่แปลกไปคือรูปลักษณ์ภายนอกของบริเวณหน้าร้าน

“นี่มัน…”

“ฉันเป็นคนตกแต่งเอง เป็นไง สวยไหม”

ต้นไม้ข้างหน้าถูกนำสิ่งของมาประดับตกแต่งกิ่งก้าน ไฟสีเหลืองนวลถูกติดเอาไว้โดยรอบทำให้บริเวณนั้นดูน่ารักขึ้นถนัดตา ตุ๊กตาปูนปั้นและของตกแต่งอื่น ๆ มากมายถูกนำมาวางไว้เพื่อช่วยเพิ่มสีสัน เควินนึกในใจว่าถึงตกแต่งไปอย่างไรก็ไม่มีคนเดินผ่านมาเห็นอยู่ดี

“ฉันรู้ว่าลูกค้าร้านเราไม่ได้มีเยอะมาก แต่พอตกแต่งแบบนี้แล้วก็ช่วยเพิ่มสีสันในการทำงานขึ้นเยอะเลยเนอะ”

“น่ารักมากเลยครับ”

ลินดาปล่อยเวลาให้เควินได้ชื่นชมบรรยากาศใหม่ ๆ ผ่านไปสักครู่เอริคก็เปิดประตูออกมา ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเปิดทำการของร้านคาเฟ่คนตายแล้ว พนักงานทั้งสามต่างเดินเข้าไปในร้านและเตรียมพร้อมสำหรับการบริการลูกค้าในค่ำคืนนี้

 

 

 

ภารกิจของแวมไพร์สามตนในยามราตรีคือการออกไปเดินสำรวจบริเวณป่าท้ายเมือง พวกเขาได้รับคำสั่งจากดีนให้คอยดูแลสอดส่องพวกแวมไพร์นอกรีตที่อาจหาจังหวะเข้ามาออกล่าภายในเมือง แม้จะรู้กันดีว่ากรีฟทาวน์เป็นเมืองที่มีสมาชิกของพันธมิตรอยู่เยอะที่สุด อีกทั้งยังเป็นอาณาเขตในความดูแลของคาลอส ทว่าพวกแวมไพร์บ้าบิ่นที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวก็มีให้เห็นอยู่มาก

ป่าท้ายเมืองเป็นเสมือนเส้นแบ่งเขตระหว่างกรีฟทาวน์กับเมืองอื่น เป็นสถานที่เดียวของเมืองที่มีการดูแลเข้าถึงน้อยที่สุด หากมีใครหลงเข้าไปก็ยากที่จะหาทางออกไปได้ง่าย ๆ ป่าใหญ่แห่งนี้ทั้งกว้างขวางและลึกเข้าไปจนแทบแยกทิศไม่ออก มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการออกล่า

“ครั้งนี้ต้องสำรวจให้ละเอียด ขืนทำงานพลาดเหมือนพวกนั้นได้โดนดีนบ่นตายแน่”

“ดีนน่ะไม่เท่าไรหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าคาลอสกลับมาแล้ว”

แวมไพร์ทั้งสามเดินสำรวจลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่เร่งรีบ ความสามารถในการมองเห็นในระยะไกลและประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์หลายเท่าทำให้พวกเขารับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี

“ถ้าครั้งที่แล้วพวกอิซาเบลไม่เลือกใช้ทางลัดตัดผ่านป่าก็คงไม่ทันเห็นหรอกว่ามีคนกำลังจะถูกฆ่า ถ้ามันเกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่งแล้ว มีเหรอที่พวกนั้นจะไม่ย่ามใจ ฉวยโอกาสเข้ามาทำร้ายชาวเมืองอีกรอบ”

งานประจำปีครั้งนี้มีสมาชิกของพันธมิตรกลับเข้าเมืองมาไม่มาก หากเทียบกันกับจำนวนประชากรที่เป็นมนุษย์ถือว่าน่าเป็นห่วงถ้าพวกเขารู้ว่ามีแวมไพร์แฝงตัวปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่าจำนวนของพวกเดียวกันเป็นเท่าตัว

บรรยากาศยามมืดมิดภายในป่ายังคงน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปอยู่วันยังค่ำ ทว่ากับพวกเขา สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติมันเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นก็ไม่ปาน ตลอดระยะทางที่ผ่านมา พวกเขาผลัดกันมองสำรวจตรวจตราจนทั่ว เปิดใช้ประสาทสัมผัสอย่างเต็มที่เพื่อฟังเสียงทุกอย่างให้ได้มากที่สุด จนเดินมาถึงใจกลางผืนป่าก็ยังไม่พบบุคคลที่น่าสงสัยอยู่ดี

แวมไพร์ทั้งสามไม่สามารถใช้พละกำลังความเร็วเหนือมนุษย์วิ่งสำรวจป่าในเวลาอันสั้นได้เนื่องจากคำสั่งที่ได้รับมา บทสนทนาที่เล่าสู่กันฟังในหมู่แวมไพร์ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเพื่อช่วยคลายความน่าเบื่อ ในที่สุดเรื่องราวของเด็กหนุ่มพนักงานใหม่ในร้านที่แวมไพร์อย่างคาลอสเป็นเจ้าของก็วนกลับมาอีกครั้ง

“นายว่าเขาเป็นคนยังไง” แวมไพร์สาวตนหนึ่งพูดขึ้นขณะยังมองสำรวจรอบกาย “เรื่องนิสัยไม่รู้นะ แต่ฉันว่าเขาหน้าตาดีมาก”

“เห็นด้วย เขาหล่อเหมือนพระเอกซีรีส์ที่ฉันดูเลยล่ะ”

“นี่เธอยังไม่เลิกเพ้อฝันถึงผู้ชายพวกนั้นอยู่อีกเหรอ”

“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ”

“เฮ้ ไม่เอาน่า ทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันอีกแล้ว”

สองแวมไพร์สะบัดหน้าหนีไปคนละทาง คนที่อยู่ตรงกลางซึ่งคอยทำหน้าที่ห้ามทัพมาตลอดได้แต่ถอนหายใจ

“แต่ฉันเป็นห่วงเด็กคนนั้นจริง ๆ ว่าสักวันจะโดนกัดคอเข้าให้ เล่นทำงานอยู่ในร้านที่มีแวมไพร์เดินเข้าออกเต็มไปหมดทุกคืนแบบนั้น”

“ฉันถามคำเดียวเลยว่าใครจะกล้าในเมื่อมีนักล่าแวมไพร์อย่างสามีของลินดาคอยจับตาดูอยู่ตลอด ถ้าจะมีใครกล้า ฉันว่าไม่ลินดาก็ตัวคาลอสเองนั่นแหละที่จะกัดเด็กคนนั้นเพื่อดื่มเลือด”

“อย่าไปพูดแบบนั้นให้เขาได้ยิน คาลอสไม่ดื่มเลือดจากร่างกายมนุษย์โดยตรงมานานแค่ไหนแล้วนายก็รู้”

“นั่นรวมถึงพวกเราด้วยไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่ แต่ฉันว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่มาเข้าร่วมพันธมิตร ไม่งั้นต้องไปทำงานหาเงินมาซื้อเลือดแพง ๆ จากมิสเตอร์ ฉันได้แห้งตายก่อนพอดี”

แวมไพร์อีกสองตนพยักหน้าเห็นด้วย การพูดคุยจบลงแต่เพียงเท่านั้น พวกเขาเดินสำรวจเรื่อยมาจนเกือบจะถึงส่วนลึกสุดของป่าที่เป็นเส้นแบ่งเขตแล้ว เท่าที่สัมผัสได้ไม่มีส่วนไหนของป่าที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเลย

“ไหน ๆ ก็เหลืออีกไม่ไกลแล้ว เรามาแข่งกันไหม ใครวิ่งไปถึงเส้นแบ่งเขตเป็นคนสุดท้าย...”

สองสาวนิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่ชายหนึ่งเดียวในกลุ่มกำลังจะเอ่ย ต่างคนต่างตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้

“...เลี้ยงสเต๊ก!”

ทันทีที่พูดจบประโยคเขาก็ออกวิ่งไปด้วยความเร็วเต็มกำลัง สองสาวแวมไพร์ซึ่งถูกโกงตั้งแต่เริ่มการแข่งขันตะโกนไล่หลังพร้อมออกวิ่ง ไม่นานก็ไล่ตามทัน

“เฮ้! แบบนี้มันไม่แฟร์นี่นา!”

“โกงกันซึ่ง ๆ หน้าอีกแล้วนะนายเนี่ย!”

ทั้งสามแข่งกันด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองตามทันด้วยตาเปล่า เสียงหัวเราะดังลั่นราวกับต้องการให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินกันจนทั่ว เหล่าแวมไพร์ผู้เพลิดเพลินไปกับการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำของตนจะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา...

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย

 

 

 


Talk

ดีนหลังจากที่รู้ว่ามีคนเลินเล่อตอนทำงาน be like :

sds