นับเป็นโชคดีที่ร้านนี้ยังเปิดให้บริการและยังรับสมัครพนักงานอยู่ เควินโห่ร้องในใจ ไม่ว่างานนี้จะหนักแค่ไหนเขาจะตกลงทำมันอย่างแน่นอน แต่พอเห็นคุณสมบัติและเงื่อนไขการรับเข้าทำงานที่มีอยู่เพียงไม่กี่ข้อก็ต้องเงยหน้าขึ้นไปถามด้วยความสงสัย

“เงื่อนไขการทำงานมีแค่นี้เหรอครับ”

“อืม เท่าที่เห็นนั่นแหละ งานตำแหน่งนี้คือคอยเสิร์ฟอาหาร บริการลูกค้า แล้วก็ทำความสะอาดร้าน ถ้าสะดวกฉันอาจจะขอให้ช่วยเช็กและไปซื้อวัตถุดิบมาเติมสต๊อกในบางครั้ง”

“อ้อ…” ชายหนุ่มตอบรับในลำคอ

“จริงสิ เกือบลืมไป”

ชายร่างสูงชาวยุโรปที่สวมชุดเชฟยื่นมือมาขอใบรายละเอียดการรับสมัครงานจากเขา ขีดเขียนบางอย่างเพิ่มลงไปแล้วส่งคืนมา

ชงช็อกโกแลตร้อนอร่อย

“ข้อนี้สำคัญมาก ว่าแต่นายชงอร่อยหรือเปล่า”

“ก็...พอได้มั้งครับ”

ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความมั่นใจ หากบอกว่าไม่รู้หรือไม่อร่อยก็เกรงว่าจะต้องเสียงานอันล้ำค่าที่แสนจะหายากในเมืองห่างไกลแบบนี้ไป

Deadly Café หรือร้านคาเฟ่คนตาย ตั้งอยู่ในตรอกซอยซึ่งห่างไกลจากลานกลางเมืองค่อนข้างมาก เป็นอาคารที่มีทั้งหมดสามชั้น ภายนอกดูเก่าจนไม่น่าเข้าแต่ผิดคาดที่ภายในกลับตกแต่งได้ลงตัวและเข้ากับบรรยากาศของชานเมืองเป็นอย่างดี แม้จะแปะป้ายว่าเป็นร้านคาเฟ่ แต่เควินคิดว่ามันเหมือนร้านอาหารดินเนอร์เสียมากกว่า ตอนที่เขาเข้ามามีลูกค้าอยู่เพียงโต๊ะเดียวเท่านั้น ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นานเพราะไม่เจอใครที่พอจะถามถึงเรื่องสมัครงานได้เลย จนกระทั่งชายคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังร้านซึ่งน่าจะเป็นห้องครัวเอ่ยทักเขา

“นายชื่ออะไร แนะนำตัวหน่อยสิ”

“เรียกผมว่าเควินก็ได้ครับ อายุสิบเก้าปี เพิ่งย้ายมาจากเมืองอื่นเมื่อวันก่อน” ชายหนุ่มตอบอย่างคล่องแคล่วด้วยถ้อยคำและสำเนียงราวกับเจ้าของภาษา

“ย้ายมา? อะไรทำให้นายมาที่นี่ล่ะ”

“...”

เจ้าของนัยน์ตาสีดำคู่สวยนิ่งเงียบ ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี… เรื่องราวที่ผ่านมายังแผดเผาจิตใจให้ทรมานจนไม่อยากเอ่ยเล่า และเขาไม่สามารถบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาที่นี่ให้อีกคนได้รู้ในตอนนี้

คนอายุมากกว่าเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรสะกิดใจเข้าให้แล้ว

“ไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันขอโทษที่ถาม”

“ไม่เป็นไรครับ” ปากบอกไป แต่ใบหน้ายังหม่นหมองเช่นเดิม

เด็กหนุ่มอายุสิบเก้า ย้ายเข้ามาที่กรีฟทาวน์ เมืองห่างไกลและไร้สีสันเพียงตัวคนเดียว การเข้ามาถามเรื่องสมัครงานในเวลาที่ฟ้าใกล้จะมืดแบบนี้ แสดงว่าไม่มีที่ไหนในเมืองเปิดรับพนักงานอยู่เป็นแน่

“เริ่มงานพรุ่งนี้สะดวกไหม”

“ครับ?” ได้ยินแบบนั้นเควินก็ตาโต พยักหน้าตอบรับจนหัวสั่น เรียกเสียงหัวเราะจากชายร่างสูง “ทำครับ! ขอบคุณมากเลยครับ”

“กรอกเอกสารนี่แล้วเอามาให้ฉันข้างหลังร้าน ถ้าจะพักที่นี่ ห้องของนายอยู่บนชั้นสอง”

“...”

“อ้อ อีกอย่าง ถ้าไม่มีธุระอะไรห้ามขึ้นไปบนชั้นสามเด็ดขาด ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”

เควินละทิ้งประเด็นที่ว่าเหตุใดจึงต้องเอ่ยห้ามอย่างเด็ดขาดไปเพราะมัวแต่ดีใจกับงานที่ได้รับ มือจรดปากกาเขียนข้อมูลลงไปจนครบทั้งหน้าแล้วเดินนำไปให้ชายอีกคนข้างหลังร้าน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวที่ถูกยื่นมา เขาเลือกที่จะคว้ามันไว้ทั้งหมด

“เควินใช่ไหม นายเริ่มงานได้พรุ่งนี้ ไม่ต้องรีบเข้ามาแต่เช้าล่ะ ร้านเราเปิดแค่ช่วงกลางคืน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เอาไว้ฉันจะบอกอีกที”

“ได้ครับ”

“โชคดีล่ะ แล้วเจอกัน”

 

 

 

เควินเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมในช่วงสายของวันถัดมา สัมภาระทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกระเป๋าเป้สะพายหลังใบใหญ่ สภาพอากาศวันนี้ราวกับท้องฟ้าและป่าไพรเป็นใจ สายลมพัดเอื่อยเย็นสบายจนต้องสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปไว้เต็มปอด

เอริค ชายคนเมื่อวานจากร้านคาเฟ่คนตายส่งข้อความมาบอกว่าให้เข้าไปที่ร้านได้ในช่วงบ่าย ทว่าตอนนี้พระอาทิตย์เพิ่งตั้งฉากกับพื้นดินได้ไม่นาน เควินเดินเตร็ดเตร่เรื่อยไปตามเส้นทางหลักของเมืองเพื่อรอเวลาย้ายของเข้าห้องพัก เสียงพูดคุยจอแจและเสียงร้องทักทายของสัตว์เลี้ยงขนปุยของชาวเมืองที่นำพวกมันออกมาเดินเล่นช่วยคลายความเหงาให้เขาได้เป็นอย่างดี

เวลาของอาหารมื้อเที่ยงวนมาถึงแล้ว ชายหนุ่มเลือกฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารโฮมคุกกิ้งเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านแนะนำบนแผนที่ มีที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากลานกลางเมืองนัก เขาเลือกนั่งโต๊ะด้านนอกร้าน หวังดื่มด่ำรสชาติอาหารและความสวยงามของธรรมชาติไปพร้อมกัน ไม่นานหญิงสูงวัยคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับ

“เมนูแนะนำวันนี้เป็นสปาเกตตี้พอร์คบอล เธออยากลองชิมดูไหม สูตรของครอบครัวฉันน่ะอร่อยจนต้องยกนิ้วให้เลยเชียว” เธอเอ่ยแนะนำเมนูอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เขาไม่ได้ตอบรับในทันที บรรจงไล่สายตาดูเมนูอาหารทั้งหมดแต่ปรากฏว่าไม่มีอย่างไหนที่อยากจะกินเลยจึงตัดปัญหาด้วยการสั่งอย่างที่หญิงคนนี้แนะนำ

“ขอสปาเกตตี้พอร์คบอลหนึ่งที่ครับ”

ชายหนุ่มสั่งอาหารเพียงอย่างเดียวแล้วยื่นเมนูกลับคืนไป อีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดิม มองมาที่เขาราวกับอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา

“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”

หญิงสูงวัยมีสีหน้าลังเล ถามออกมาอย่างกริ่งเกรง “ขอโทษที่เสียมารยาท แต่เธอไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย จริงสิ ลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อแมรี่

“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเควิน เพิ่งย้ายมาเมื่อวันก่อนครับ”

…แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้รับคำถามแบบนี้

“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ เมืองนี้ทั้งห่างไกลทั้งน่าเบื่อ คนในเมืองก็มีแต่คนแก่ ไม่มีอะไรให้คนหนุ่มอย่างเธอได้บันเทิงใจได้หรอก”

“ผมอยากหาที่สงบ ๆ พักผ่อนจิตใจน่ะครับ” เควินเลือกตอบความจริงไปเพียงส่วนเดียว

“แบบนั้นก็เยี่ยมเลย ถึงจะดูน่าเบื่อไปบ้างแต่คนที่นี่ใจดีนะ”

แมรี่ทิ้งถ้อยคำยินดีต้อนรับสู่เมืองและรอยยิ้มอบอุ่นเอาไว้ก่อนเดินหายเข้าไปในร้าน รอไม่นานจานอาหารกลิ่นหอมฉุยก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เส้นสปาเกตตี้สัมผัสนุ่มลิ้น เนื้อหมูปรุงรสปั้นเป็นก้อนบวกกับซอสมะเขือเทศรสชาติดี จานอาหารตกแต่งได้อย่างสวยงาม อีกทั้งรสชาติยังอร่อยจนต้องยกนิ้วให้อย่างที่เธอพูดไว้จริง ๆ

 

 

 

เควินย้ายของเข้าห้องพักและเรียนรู้งานแบบคร่าว ๆ จากเอริคเสร็จไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว เขาตื่นเต้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นการทำงานในร้านอาหารที่เปิดแค่ช่วงกลางคืนเป็นครั้งแรก

เวลาเปิดปิดของร้านคาเฟ่คนตายทำให้เขาฉงน ช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีสามของทุกวันในเมืองที่ไม่ค่อยมีใครออกมาใช้ชีวิตในเวลากลางคืนแบบนี้มันจะมีลูกค้าเข้ามามากพอให้ร้านสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ยังไง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามข้อสงสัยนี้ออกไปเพราะยังไงเขาก็ยังเป็นแค่พนักงานใหม่ของร้านเท่านั้น

ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิและความตั้งใจบริการลูกค้าออกมาแปลงเป็นรอยยิ้มสวยบนใบหน้าอย่างเต็มที่ เขาถึงขนาดออกไปยืนรอต้อนรับลูกค้าอยู่ที่หน้าร้านเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนกร่อยอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงจนเอริคต้องเดินมาเรียกให้กลับเข้าไปนั่งพักเพราะกลัวจะเมื่อยขาเอาเสียก่อน

จนแล้วจนรอดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามดึก ภายในร้านมีเพียงเควิน เอริค และเสียงเพลงจากแผ่นเสียงที่เปิดคลอไว้ไม่ให้บรรยากาศเงียบสงัดจนเกินไป พนักงานใหม่ของร้านนั่งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่อย่างนั้น ใบหน้าฉายแววเบื่อหน่ายและง่วงซึม คนทั้งสองหันมาสบตากันหลายต่อหลายครั้ง เห็นทีคงมีแต่เควินที่รู้สึกแปลกประหลาดจากสถานการณ์นี้จนอดไม่ได้ที่จะเปรยออกไป

“วันนี้ลูกค้าน้อยจังเลยนะครับ”

เอริคที่กำลังง่วนกับการผสมเครื่องดื่มเงยหน้าขึ้นมองพร้อมส่งเสียงหัวเราะ

“นายกำลังคิดว่า ‘เปิดร้านช่วงกลางคืนแบบนี้มันจะไปมีลูกค้าได้ยังไง’ ใช่ไหมล่ะ” รอยยิ้มแหยถูกส่งกลับไปเป็นคำตอบ “ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า”

หนุ่มวัยรุ่นไม่ได้เข้าใจความหมายของประโยคนั้นสักเท่าไรแต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไป สุดท้ายในคืนแรกของการทำงานก็มีลูกค้าเข้ามาเพียงสองคนเท่านั้น คนแรกคือตอนตีหนึ่ง อีกคนคือตอนตีสองสิบห้านาที

“วันนี้ทำได้ดีมาก”

ถ้อยคำเอ่ยชมจากผู้ใหญ่ทำให้เควินยิ้มกว้างออกมา ถึงจะรู้ว่ามันอาจเป็นแค่คำที่พูดตามมารยาท แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจ

 

เวลาตีสาม ร้านคาเฟ่คนตายปิดให้บริการแล้ว ทั้งสองคนช่วยกันทำความสะอาดร้านไปได้สักพักเควินก็ถูกบอกให้ขึ้นห้องไปนอนพักผ่อน ส่วนที่เหลือเอาไว้ค่อยมาจัดการตอนเช้าก็ยังทัน

เอริคออกจากร้านไปตอนตีสามครึ่ง เควินนึกนับถือในจิตใจอันกล้าแกร่งของอีกคนที่สามารถเดินกลับบ้านในเวลานี้ได้ เพราะบรรยากาศข้างนอกนั่นมันชวนให้ขนหัวลุกเสียเหลือเกิน

เควินเดินตรวจตราความเรียบร้อยในร้านอีกรอบ ดูให้แน่ใจว่าทั้งประตูและหน้าต่างถูกลงกลอนล็อกครบทุกบานแล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง จังหวะที่กำลังจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู อะไรบางอย่างทำให้เขาเบนสายตาขึ้นไปมองที่ชั้นสาม บนนั้นมีประตูบานหนึ่งถูกปิดอยู่ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายที่เขาย้ายของเข้ามา ใจกระหวัดนึกถึงถ้อยคำที่เอริคเคยบอกไว้

“ถ้าไม่มีธุระอะไรห้ามขึ้นไปที่ชั้นสามเด็ดขาด ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”

ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีใครหรืออะไรอยู่หลังประตูบานนั้น แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่าถ้าอยากทำงานที่นี่ต่อไปก็ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัว และอย่าสงสัยใคร่รู้อะไรให้มาก

เขาสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว ผลักประตูเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป แม้จะดึกแค่ไหนก็ไม่ลืมที่จะอาบน้ำชำระความเหนื่อยล้าออกจากร่างกาย สายน้ำอุ่นจากฝักบัวช่วยคลายความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี ชุดนอนผ้านิ่มถูกหยิบออกมาสวมใส่ เควินก้าวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียง เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักตรงตู้เก็บของข้างเตียงแล้วหยิบสมุดบันทึกที่มีรูปถ่ายใบหนึ่งสอดไว้ออกมา เขามองดูรูปครอบครัวด้วยดวงตาหม่นแสง นิ้วเรียวแตะเกลี่ยสัมผัสใบหน้าของน้องสาวตัวเล็กในรูปแผ่วเบา

หัวถึงหมอนได้ไม่นานความง่วงซึมก็เริ่มเข้าโจมตี คู่ดวงตาสีดำปรือจะปิด ในคืนนั้น...เควินเข้าสู่ห้วงฝันและนอนหลับไปพร้อมใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา

 

 

 

TBC

#คาเฟ่คนตาย