** Chapter Cover  by Jalal Ajmal on Unsplash

 

.

.

.

 

ว่ากันว่าเวลาโพล้เพล้ที่แดดร่มลมตกเป็นเวลาที่ประตูเมืองผีกับคนเป็นจะเชื่อมต่อกัน ผู้ใหญ่มักเตือนลูกหลานไม่ให้นอนหลับหรือออกไปเล่นพิเรนทร์กันในเวลานั้นด้วยกลัวผีจะมาบังตาหรือลักตัวไปอยู่ด้วย

ความเชื่อแบบนี้แพร่หลายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก อีสาน และอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างตามความสามารถกับความนึกสนุกของคนเล่า ตอนเล็กๆ เด็กที่ไหนได้ยินพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่เล่าเรื่องทำนองนี้ ไม่ว่าใครก็ใครย่อมตาลุก ขนพองสยองเกล้า พอโตมาถึงได้รู้ว่านี่เป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ใช่เรื่องจริงเสียที่ไหน

ที่ว่าจะโดนผีลักไปเวลาหลับ คนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ก็ช่วยอธิบายได้ว่าเพราะร่างกายคนถูกออกแบบมาเป็นสัตว์หากินกลางวัน พอเริ่มมืดค่ำก็จะเชื่องช้าง่วงงุน ยิ่งพอได้นอนไปก่อนผิดเวลาแล้วต้องตื่นมาก็ย่อมต้องมึนเบลอ อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงเพราะร่างกายปรับการทำงานไม่ทัน ไม่เกี่ยวอะไรกับผีสางเทวดา หรือที่บอกว่าให้ระวังผีบังตา นั่นก็เป็นแค่คำพูดกันหลง ก็เวลาแดดร่มลมตก แสงมันน้อย จะมองอะไรชัดเจนเหมือนกลางวันได้อย่างไร เรื่องเดินหลงไปในที่ที่ไม่ควรไปจนคนหาไม่เจอย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

 

“เฮ้ย ไอ้ปู เย็นนี้ว่างไหมวะ”

“ว่าง มีอะไรอะ”

“ไปเล่นอะไรสนุกๆ กัน”

หลายจังหวัดในประเทศไทยยังไม่ได้รับการเอาใจใส่เรื่องการศึกษามากนัก หมายความว่าในหลายพื้นที่ไม่มีโรงเรียนประจำท้องถิ่น เด็กนักเรียนหลายคนต้องจากบ้านในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ใช่ตัวอำเภอเมืองเข้ามาเรียนในเมือง และใช้ชีวิตด้วยกันในฐานะนักเรียนประจำ เช่นเดียวกันกับ ‘ปู’ ที่ปีนี้เรียนอยู่โรงเรียนแห่งนี้มาจนถึงปีสุดท้ายแล้ว

“อะไรสนุกๆ ของมึงนี่อะไรวะ กูยังต้องติวสอบคณิตกับท่องสุนทรพจน์อังกฤษเตรียมไปแข่งอีกนะเว้ย”

“มึงจะซีเรียสทำไมวะ กูเห็นมึงไปแข่งกี่ที่ๆ มึงก็ได้ที่หนึ่งหรือที่สองตลอดอะ”

ปูไม่บอกเหตุผลกับเพื่อน ขี้เกียจย้ำเป็นรอบที่ร้อยว่านอกจากชื่อเสียงที่คุณครูอยากได้ให้โรงเรียน เพื่อที่ตนเองก็จะได้หน้าและมีผลงานพอสำหรับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในฐานะคนสนับสนุนนักเรียน ตัวเขาจะได้เงินรางวัลจากการแข่งในแต่ละรายการด้วย ถึงจะเป็นจำนวนหลักร้อยหรืออย่างมากไม่เกินสองสามพัน แต่เขาก็ใช้วิธีนี้เก็บหอมรอมริบเอาไว้จนได้เงินมาก้อนหนึ่ง

“ครูเม้มเงินมึงไปมั่งไหมวะ”

“ไม่” ปูส่ายหน้า “ครูให้กูหมดเลย กูก็เอาไปฝาก สมุดบัญชีอยู่กับแม่จะได้ให้เขาเอาไปเช็คได้”

“ลูกกตัญญูฉิบหาย”

“ดำ แล้วตกลงมึงจะชวนกูไปทำอะไร”

“เล่นผีถ้วยแก้ว”

ไอ้สัส ปูนึกในใจ ตอนนี้เป็นหน้าดอกจานบาน ยิ่งกับจังหวัดในภาคอีสานตอนบนแบบนี้ อากาศฤดูหนาวเย็นเร็ว ลมแรง เวลาลมพัดมาแต่ละทีจะมาพร้อมความเย็นเสียดกระดูก แถมยังมืดเร็วจนน่าตกใจ

“เวลาโพล้เพล้แบบเนี้ยนะมึง จะดีเหรอวะ”

“มึงป๊อดเหรอ” สหายร่วมรุ่นที่สอบตกซ้ำชั้นมาแล้วรอบหนึ่งหันมายักคิ้วท้าทาย เล่นเอาเลือดวัยรุ่นเดือดพล่าน

“ถ้าป๊อดมึงก็กลับหอไปก่อน เดี๋ยวกูไปคนเดียวก็ได้”

“มึงจะไปเล่นที่ไหน”

“ตึกห้า” ดำพูดสั้นๆ แล้วหันไปสับเท้าฉับๆ มุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที

เวลาของภาคการเรียนที่สองเหลืออีกไม่มาก จริงๆ ไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว ตัวเขาจะเรียนจบภายในเดือนมีนาคมปีหน้า ขณะที่ไอ้เพื่อนซี้ที่โตมาด้วยกันในโรงเรียนกินนอนแห่งนี้คงต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่อีกปีเพราะสอบไม่ผ่าน

แทนที่จะใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปทบทวนตำราเพิ่มโอกาสในการสอบได้เกรดดีๆ เจ้าดำก็ยังเอาแต่เล่นสนุกคึกคะนอง อะไรที่คนเขาห้ามกันมันก็ทำ อะไรที่คนเข้าไม่หาทำ มันก็ยิ่งทำ เหมือนที่มาชวนเด็กเรียนระดับหัวกะทิแบบเขาไปเล่นผีถ้วยแก้วเวลาครึ่งมืดครึ่งสว่างแบบนี้นี่แหละ

“มึงไม่คิดถึงที่เขาเตือนๆ กันมั่งเหรอวะ”

“เตือนเรื่องอะไร” ดำพลิกกลับมาหันหน้าถามพลางเดินถอยหลังมุ่งหน้าไปตามทิศที่หมาย ส่วนปูทำหน้าเครียด

“ไอ้กระดาษเยินๆ ที่พวกไอ้พวงมันไปเจอซุกอยู่ในเก๊ะหลังห้องเก็บของอะนะ ไร้สาระจะตายห่า เด็กเรียนแบบมึงเชื่อเรื่องหลอกเด็กแบบนี้ด้วยหรือไง”

มึงก็เด็กเหมือนกันล่ะวะ ปูเถียงดำในใจไปเงียบๆ

“แต่กูว่า มึงน่าจะเอาเวลาหลังเลิกเรียนไปทบทวนวิชาเรียนดีกว่าไหม อีกสองอาทิตย์ก็สอบกลางภาคแล้วนะ”

“มีมึงอยู่ทั้งคน เดี๋ยวกูลอกมึงในห้องสอบก็ได้”

“อาจารย์รู้หมดแล้วนะว่าทั้งห้องรอลอกกูอะ ขืนโดนจับได้เป็นถูกปรับตกยกห้องนะมึง”

“กลัว?”

“เออ” ปูพยักหน้า หยุดเดินกลางทาง เขากลัวจริงๆ และเขาจะยอมให้ตัวเองสอบตกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพลาดการสอบชิงทุนการศึกษาไปเรียนต่อในกรุงเทพ เท่ากับจะเป็นการตัดโอกาสในการหางานดีๆ ที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำมาจุนเจือครอบครัวที่เหลือเพียงแม่กับน้องเล็กๆ อีกคน

“กูสอบตกไม่ได้”

“แต่มึงปล่อยให้กูตกได้?” ดำถามสวนมา หยุดเดินและปักหลักขวางหน้า

“ถ้าต้องเลือก มึงก็เลือกตัวเองมากกว่ากูใช่ปะ”

“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีทางอื่น กูยังต้องคิดถึงแม่กับน้องอีกนะ”

“กูรู้” ดำขบฟัดดังกรอด พอเงยหน้ามาก็ง้างเท้าเตะก้อนหินตรงนั้นเต็มแรงจนลอยหวือเฉียดผ่านใบหูปูไป

“กูขออีกครั้งเดียว มาเล่นเป็นเพื่อนกูหน่อย ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”

ดำยอมข่มความไม่พอใจที่ตีขึ้นมาในอกลงไป ครั้งนี้เมื่อหันมาสบตากับปูจึงดูจริงจังกว่าเดิม เขากำหมัดชี้นิ้วกลับไปด้านหลังแทนการกระตุ้นเชิญชวน จากนั้นจึงกลับหลังหันรีบก้าวต่อโดยมีปูที่ถอนหายใจเสร็จแล้วเดินตาม

 

โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งที่สอง ที่ตั้งของมันไม่ได้อยู่บริเวณใจกลางเมืองแต่ตั้งออกมาบริเวณขอบรอบนอกของเขตเมืองซึ่งยังไม่มีเสาไฟฟ้าเพียงพอ และสายไฟฟ้าที่เดินมาให้มักเกิดปัญหาชำรุดขัดข้องจนไฟฟ้าในโรงเรียนติดๆ ดับๆ บ่อยๆ เดิมทีเคยมีการคัดค้านอย่างหนักจากชาวบ้านในพื้นที่เดิมไม่ให้สร้างโรงเรียนที่นี่ เพราะพื้นที่กว่าครึ่งที่ถูกเกรดหน้าดินให้เรียบแปรสภาพเป็นลานกว้างของโรงเรียนเคยเป็นป่าช้าของศพไม่มีญาติมาก่อน หากจำไม่ผิด จุดที่เคยพบโครงกระดูกฝังกองรวมกันไว้เยอะที่สุด น่าจะเป็นจุดกึ่งกลางสนามบาสตรงจุดที่ผู้เล่นมักมายืนประจันหน้าเพื่อแย่งปัดลูกเริ่มเกมซึ่งเขาเพิ่งเหยียบผ่านมาเมื่อกี้

ปูดึงสายตาที่เผลอก้มลงมองพื้นขึ้นมามองตรงไปยังแผ่นหลังของดำที่เดินนำหน้า ภายใต้แสงที่เริ่มลดลงจนเหลือเพียงน้อยนิดทำให้เขาเห็นเหมือนเสื้อนักเรียนสีขาวของเพื่อนเรืองแสงได้ ตัดกันกับผิวกายดำเป็นเมื่อมอย่างหนุ่มลูกทุ่งที่มองดูกลืนไปเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่ความมืดโรยตัวลงมามากขึ้น

ครูหลายท่านรวมถึงผู้อำนวยการโรงเรียนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องเล่าที่เด็กๆ ชอบเอามาพูดซ้ำนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่ข่าวป้ายสีเพื่อสร้างชื่อเสียให้โรงเรียน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ปูกลับไม่เคยเห็นผู้ใหญ่หน้าไหนอยู่ที่โรงเรียนเกินห้าโมงเย็นสักคน

มีคนไม่เกินสิบคนเท่านั้นที่ได้อยู่ค้างที่โรงเรียนหลังเวลาเลิกเรียนนั่นคือบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำเรือนนอนฝั่งตะวันออก ที่อยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของโรงเรียน แยกออกไปเป็นเอกเทศจากพื้นที่ทำกิจกรรมการเรียนการสอนและสันทนาการ หากต้องการไปที่นั่นด้วยการเดินต้องใช้เวลาประมาณสามถึงสี่สิบนาที แต่บรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะไม่เฉียดเข้ามาภายในบริเวณโรงเรียนเลยหากไม่จำเป็น ซึ่งปูจำได้ว่าตั้งแต่ย้ายมาเรียนและกินนอนที่นี่ตั้งแต่ขึ้นประถมปลาย เขาก็ไม่เคยเห็นใครมีความจำเป็นต้องมาสักที

ขนาดผู้ใหญ่ยังไม่มา ก็อย่าหวังเลยว่าเด็กจะมา มืดค่ำแบบนี้ โรงเรียนก็ดูคล้ายเป็นสถานที่อีกแห่ง มันไม่มีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในนี้เอาตอนนี้ ยิ่งมาเดินตัดผ่านลานที่คนลือว่าเป็นพื้นที่ป่าช้าเพื่อไปเล่นผีถ้วยแก้วด้วยแล้ว ยิ่งไม่จำเป็น เพราะมันคือการหาทำแบบไม่ฉลาดชัดๆ

“ดำ”

“มึงเลิกเรียกกูทุกสามก้าวสักที ถ้าปอดแหกมากก็วิ่งกลับเรือนนอนไปเลยไป”

ปูกัดฟันกำหมัดแน่นอยู่ข้างหลัง อยากด่าพอกับที่อยากก้าวไปถีบตูดให้หน้าคะมำสักที ถ้าไม่เพราะเห็นดำเป็นเพื่อน ให้ตายอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่มา

“กูว่ามึงกลับเรือนนอนกับกูเหอะว่ะ ไม่ต้องเล่นหรอก”

“พี่ๆ เขาอุตส่าห์มาชวนกูทั้งที จะไม่เล่นได้ไงวะ” ดำโบกมือปฏิเสธ

“เออ แล้วเผื่อมึงจะสนใจ เขามีท้ากันนะเว้ย ว่าใครนั่งเล่นจนจบครบเวลาได้ ได้เงินจากทุกคนรอบวง”

“ตกลงมึงเล่นกันกี่คนเนี่ย”

“เจ็ดคน รวมกูกับมึง”

“เล่นแค่ผีถ้วยแก้ว คนไม่เยอะเกินไปเหรอวะ”

“ใครว่าเล่นแต่ผีถ้วยแก้ว”

“เอ้า ไอ้ห่านี่ แล้วตกลงมึงชวนกูไปเล่นอะไร” ปูเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

“ไปพิสูจน์ความกล้าไง เล่นตอนนี้น่าสนุกนะเว้ย”

ปูสั่นศีรษะอย่างแรง เขาพอแล้วกับข้อมูลที่ได้รับ เด็กหนุ่มคิดแล้วหันกลับแต่กลับถูกเพื่อนสนิทพุ่งมากระชากแขนหยุดเอาไว้ที่เดิม ดำดึงแขนปูที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปจนแทบล้มไปหา จากนั้นยื่นหน้ามากระซิบเสียงเย็นว่า

“มึงรับปากกูแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะเล่นกับกูครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

ปูเหลือบตามองเพื่อน ไม่รู้เป็นเพราะความมืดที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศหรือเพราะความผิดปกติอะไร ลูกตาดำที่โตอยู่แล้วของเพื่อนจึงยิ่งดูกลมโตขยายมากขึ้นกว่าเดิมจนเกือบกลืนตาขาวไปหมด

เด็กชายไม่ตอบ เพียงลอบกลืนน้ำลายลงคอขณะที่ต้นแขนเริ่มปวดหนึบจากแรงบีบเค้นของอุ้งมือ ดำยังจ้องกดดันเขาต่อไปอีกชั่วอึดใจก่อนสะบัดมือทิ้ง หันกลับไปเดินนำ ปล่อยให้ปูที่ไม่มีทางเลือกเดินลูบต้นแขนตามไป