7 ตอน ท้ายที่สุดแล้ว
โดย อะซะกะโอะ
** Chapter Cover by Lefty Kasdaglis on Unsplash
.
.
.
หน้าหนาวเวียนมาอีกปี คนพื้นที่จะรู้ได้ด้วยการเริ่มเห็นต้นจานผลิดอกสีส้มสดราวเปลวเพลิงที่กลืนกินแนวต้นไม้ในทุ่งไกลลิบ เวลาผ่านไปอีกหลายปีจนหลายท้องที่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง เรือกนากลายเป็นอาคารพาณิชย์ ถนนลูกรังดินแดงกลายเป็นถนนลาดยาง บ้างก็เป็นถนนคอนกรีต เช่นเดียวกันกับโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชายชอบของอำเภอเมืองที่มีอาคารเรียนหลังใหม่สูงหกชั้นเพิ่มขึ้นมาจากการบริจาคของศิษย์เก่าดีเด่นคนหนึ่ง
นักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจบการศึกษาออกไปแสวงหาเส้นทางในการเติบโตของตนต่อ มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ก้าวหน้าขนาดได้เดินทางไปใช้ชีวิตยังเมืองหลวง กลายเป็นคนเมืองกรุงแบบไม่เหลือกลิ่นคนบ้านนอกเหมือนก่อน ขณะที่นักเรียนมัธยมหกรุ่นปัจจุบันกำลังจะจบการศึกษาในอีกไม่เกินสามเดือนข้างหน้า โดยยังคงมีส่วนน้อยที่เลือกมุ่งมั่นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแทนที่จะออกไปทำเกษตรหรือรับจ้าง ทำงานจักรสานเหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ป้ายชื่อโรงเรียนเก่าโทรมปรากฏขึ้นมาในคลองสายตาคนที่กำลังหมุนพวงมาลัยรถให้เลี้ยวเข้าประตูหน้า
คนขับรถเลิกคิ้วขึ้น คิดประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับเปลี่ยนป้ายใหม่ให้เข้ากับบริเวณโดยรวมที่ดูทันสมัยขึ้นมาก หลังจอดรถเสร็จแล้วยังไม่ลืมเปิดฝากระโปรงหลัง หยิบถุงกระดาษหลายใบที่ใส่สินค้าราคาแพงจากเมืองหลวงมาด้วย
“อ้าว คุณกรกฎ มาถึงแล้วเหรอคะ”
เสียงทักอย่างเป็นกันเองดังนำมาก่อนเจ้าของเสียงปรากฏตัว หญิงสาววัยประมาณสี่สิบนี้คือผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบันซึ่งคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี
“ขอโทษที่มารบกวนคุณครูอีกแล้วนะครับ นี่ของฝากครับ”
ปูพูดพลางส่งของในมือให้เธอถุงหนึ่ง ผู้อำนวยการรับไปแล้วยิ้มไม่หุบ
“แหม รูปหล่อแถมยังใจดีอีก มากี่ครั้งก็เอาของฝากมาให้พวกเราเยอะแยะเลย”
“แค่ของเล็กน้อยเท่านั้นครับ ผมอยากขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าตุลย์น่ะครับ”
“หนูตุลย์เป็นเด็กดีนะคะ มีแต่ครูรัก ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลยค่ะ”
“ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจครับ” ปูยิ้มรับคำ “เออ จริงสิครับ ป้ายหน้าโรงเรียนนั่นน่ะ สนใจจะเปลี่ยนไหมครับ”
“อ๋อ ป้ายมันเก่าสินะคะ” ผู้อำนวยการเสมองไปยังทิศที่สิ่งของตั้งอยู่ก่อนเอ่ย
“ตอนนี้ทางเรารวบรวมเงินได้ส่วนหนึ่งแล้วจากกิจกรรมออกร้านชุมชน คิดว่าถ้ารวมได้ครบตามเป้าเมื่อไรก็จะสั่งทำใหม่ จะได้เข้ากับบรรยากาศโดยรวมของโรงเรียนค่ะ”
“ขาดอยู่อีกเท่าไรครับ”
“สองแสนสี่ค่ะ” ผู้อำนวยการตอบ
ปูพยักหน้ารับ กลับไปหยิบสมุดเช็คที่เก็บไว้ในเก๊ะหน้ารถมากรอกตัวเลขจำนวนที่ได้ยินลงไปและฉีกส่งให้เธอ
“จัดการได้เลยนะครับ ผมขอร่วมบุญด้วยคน”
ผู้อำนวยการตาลุกขึ้นแวบหนึ่ง แต่เธอเก็บอาการทันแล้วเปลี่ยนมากระพุ่มมือไหว้ก่อนยื่นมือมารับเช็ค หญิงวัยกลางคนปรายตามาหาชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวขาว เจ้าของกระดาษแผ่นน้อยที่มูลค่าไม่น้อยตาม เธอวาดมือมารับของโดยไม่ลืมรูดมือขาวๆ นั้นไปด้วยในโอกาสเดียวกัน
ปูเลิกคิ้วมองอากัปกิริยาของเธอ มองมือแล้วไล่ไปมองถึงใบหน้าจนได้สบตากับเจ้าของมือ ผู้อำนวยการแม้อายุมากกว่าเขาแต่นับว่าเป็นคนที่ดูแลตัวเอง ถึงเธอไม่ได้ตัวเล็กบอบบางเหมือนสาวในวัยไล่เลี่ยกับเขา แต่รูปร่างก็อวบอัดสมส่วนดูเต็มไม่เต็มมือดี
ชายหนุ่มแลบปลายลิ้นแตะริมฝีปาก ไม่ต่างจากผู้ที่รับไมตรีซึ่งขบเม้มริมฝีปากตนให้เขาเห็น ในบรรยากาศขณะนี้คล้ายมีม่านหมอกอารมณ์บางอย่างปรากฏขึ้นครอบงำพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาที่มีเพียงเขาได้ยินคนเดียว
‘ข้าว่านางนี่สนใจเอ็งนะ แล้วข้าก็สนใจมันด้วย’
ปูตระหนักว่าน้ำเสียงนั้นคือต้นเหตุของการรู้สึกถึงม่านหมอกที่คลี่คลุมบรรยากาศ ต่อหน้าจึงเพียงเปลี่ยนมายิ้มให้หญิงตรงหน้าและผายมือเชิญให้เธอเดินนำกลับไปด้านในก่อน ส่วนตนเอง หรือควรพูดให้ถูกคือสิ่งที่แฝงอยู่ในร่างตนเองพุ่งความสนใจไปที่บั้นท้ายกลมกลึงเต็มตึงไปกับเนื้อผ้าของกระโปรงชุดสีกากี
“เอ่อ ผอ.ครับ”
“เรียกนุชก็ได้ค่ะ ไหนๆ คุณกรกฎก็มาบ่อยจนเราคุ้นหน้ากันแล้ว”
“อ๋อ ครับ ครูนุช”
“ว่าไงคะ”
“ผมมีเรื่องอยากปรึกษาต่อ ไม่ทราบว่าจะขอเข้าไปหารือระหว่างรอน้องชายได้ไหมครับ”
“เชิญที่ห้องนุชดีไหมคะ นี่ก็สี่โมงกว่าแล้วแถมวันศุกร์ด้วย ไม่ค่อยมีคนมา น่าจะคุยกันสงบๆ ได้ค่ะ”
หกโมงสิบห้าแล้ว โรงเรียนทั้งหลังเงียบมากเพราะพื้นลานทั้งหมดปราศจากผู้คน เพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่กลางลานคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับกระเป๋านักเรียนอีกใบ
ตุลย์กระชับเสื้อกันหนาวลายมังกรที่พี่ชายสั่งซื้อมาให้จากต่างประเทศเข้ากับไหล่ ลมหน้าหนาวยามเย็นไม่เคยปราณีใครทั้งสิ้น ยิ่งกับเด็กนักเรียนชายที่ต้องสวมกางเกงขาสั้นมาเรียนด้วยแล้ว ความทรมานที่ว่ายิ่งทวีเป็นเท่าตัว
“อืม พี่ปูช้าจังเลยน้า มัวแต่เอาของไปฝากพวกครูอีกหรือเปล่าเนี่ย”
เด็กหนุ่มบ่นอุบระหว่างหันมากวาดตามองรอบบริเวณลานกว้างของโรงเรียนอีกรอบ กวาดไปรอบแรกไม่เจออะไร แต่พอกวาดกลับมารอบสองกลับเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ลิบๆ เขาหรี่ตาพยายามเพ่งมอง ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเหมือนจะเป็นครู แต่ดูอีกแวบก็เหมือนไม่ใช่ เพราะเครื่องแบบที่คนนั้นสวมสีกากี คนเดียวในโรงเรียนที่มักใส่เครื่องแบบสีนี้คือผู้อำนวยการ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้อำนวยการคนปัจจุบันเป็นผู้หญิงชื่ออรนุช
“ใครวะ”
บ่นด้วยความสงสัยแต่ไม่ใส่ใจนัก เมื่อแน่ใจว่านั่นไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก ตุลย์ก็ก้มลงล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ามาโทรหาพี่ชาย ระหว่างรอเขามองไปยังจุดที่พบร่างต้องสงสัยนั้นอีกครั้งแต่กลับไม่เห็นร่องรอยแล้ว
“หายไปไวจังวะ แค่ก้มเอามือถือเอง”
สัญญานโทรศัพท์ยังว่าง ดังติดต่อกันมาห้าครั้งแล้วโดยที่พี่ชายไม่รับ
“แปลก ปกติสองตื้ดก็รับแล้วนี่นา”
ตุลย์บ่นด้วยความประหลาดใจ เขาตัดสาย รออีกสามวิแล้วสองโทรใหม่ ครั้งนี้เมื่อเงยหน้ามองไปรอบๆ กลับเห็นร่างปริศนาที่ใส่ชุดกากีปรากฏอยู่ทางซ้ายในระยะที่คล้ายจะร่นเข้ามาใกล้กว่าครั้งแรก
โอเค คราวนี้แปลกจริงๆ แล้ว คนปกติไม่น่าเปลี่ยนทิศที่อยู่ไวขนาดนั้น หมอนี่น่าสงสัยจริงๆ ไม่รู้เป็นโจรปลอมตัวมาหรือเปล่า
“ตุลย์”
“ฮัลโหล พี่ปู อยู่ไหนแล้วครับ”
“ห้องผอ.นุชน่ะ คุยธุระใกล้เสร็จแล้ว”
“อ๋อ โอเค ตุลย์รอที่กลางลานโรงเรียนนะ”
เด็กหนุ่มสนทนากับพี่ชายอย่างรวบรัดแล้วตัดสายทันที ไม่ทันที่คนอีกปลายสายจะได้บอกข้อมูลที่ต้องการ
“ตุลย์!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง รีบหันควับไปเห็นร่างสูงโปร่งของพี่ชายในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคสีดำทั้งตัวกำลังวิ่งตรงมา
“พี่ปู!” พอเห็นเป็นคนที่ตัวเองรออยู่เขาก็เบาใจรีบหันมายกมือโบกทักทาย
“ขอโทษที ให้รอนานเลย”
“ครูนุชเรียกคุยนานเหรอครับ คราวนี้เขาไถตังค์พี่เท่าไรล่ะ” ตุลย์ซักพี่ชายทันทีที่ปูเข้ามาถึงตัว
“ดูพูดเข้า เป็นเด็กเป็นเล็กอย่านินทาผู้ใหญ่สิ”
“ก็มันจริงนี่นา ตอนนี้ผมมองไปทางไหนก็เห็นแต่พี่เต็มไปหมด ไอ้ความหรูหราหมาเห่าของโรงเรียนเราเนี่ย เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์มันมาจากเงินพี่คนเดียวเลยนะ”
“เอาน่า พี่เป็นศิษย์เก่า เราเป็นศิษย์ปัจจุบัน ช่วยทำนุบำรุงโรงเรียนก็ถูกแล้ว” ปูปลอบไม่ให้น้องคิดมาก
“นี่เย็นมากแล้ว มืดก็มืด ยุงก็เยอะ ทำไมมายืนตรงนี้คนเดียว”
“ผมกลัวพี่หาผมไม่เจอ” ตุลย์ตอบ ส่วนปูดได้ยินคำพูดน้องก็ยิ้มและลูบศีรษะคนที่สูงเลยหัวตนเองไปเล็กน้อย
“งั้นกลับบ้านเถอะ รถจอดตรงมุมลานนั่นน่ะ”
“อือ เห็นแล้วล่ะครับ ไปกัน” เด็กหนุ่มพยักหน้าให้พี่ชาย
ปูยิ้มให้กับน้องพลางยึดกระเป๋าถือของน้องมาถือไว้ให้เอง ขณะโอบไหล่พาน้องเดินตรงไปที่รถ
ตุลย์เริ่มต้นเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังเองระหว่างทางพร้อมทำท่าทางประกอบ ขณะที่ปูฟังน้องไปเงียบๆ เดินหน้าตรงไม่หันซ้ายขวาเลยสักนิด นั่นเพราะรอบข้างพวกเขาตอนนี้มีร่างไม่สมประกอบของบรรดาอมนุษย์เจ้าของพื้นที่โรงเรียนในเวลาโรงเรียนเลิกจับจองกันแน่นขนัด
พวกมันยืนหน้าสลอนกันเต็มพื้นที่ จะแหวกออกสองข้างทางก็ต่อเมื่อพวกเขาก้าวผ่าน โชคดีที่ตุลย์น้องชายเขาไม่เห็นหรือได้ยินสิ่งพวกนี้ ไม่อย่างนั้นน้องอาจครองสติไม่อยู่แล้วกลายเป็นคนเสียสติได้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมปูจึงไม่แสดงท่าทางอะไรออกไปเลยระหว่างเดิน เพราะชายหนุ่มไม่อยากเผยพิรุธให้น้องสงสัย
“อะ ถึงรถแล้ว”
ปูกลั้นใจเดินเก๊กทำหน้านิ่งมาประมาณสี่ร้อยเมตรจึงถึงจุดที่รถจอด พวกเจ้าของที่ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิดยืนล้อมอยู่เต็ม จนเขาต้องกล่าวในใจอย่างเฉียบขาดว่าไม่อนุญาตให้ตัวไหนเกาะติดส่วนใดของรถหรือเกาะพวกเขาไปทั้งนั้น
“พี่ปู เปิดล็อกด้วย”
ตุลย์อ้อมไปยืนรอฝั่งข้างคนขับได้ในชั่วอึดใจแล้ว เด็กหนุ่มเห็นพี่ยืนนิ่งจึงเรียกให้รู้ตัวและได้ยินเสียงคลายล็อกประตูดังขึ้นตามมา เขาอมยิ้ม เปิดประตูขึ้นไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยรอก่อน ส่วนปูกวาดสายตามองรอบบริเวณหนึ่งครั้งแล้วค่อยขึ้นมาประจำที่พลขับ กดล็อกประตูทุกบานให้เรียบร้อย สตาร์ทเครื่องยนต์ เปิดไฟหน้า แล้วบังคับพวงมาลัยเตรียมเลี้ยวรถออก
“เออ จริงสิพี่ปู เมื่อกี้ตุลย์เจอคนแปลกๆ ด้วยนะ”
ปูแตะคันเร่งแผ่วเบาตอนหมุนพวงมาลัยตีวงตั้งหน้ารถให้ตรงกับทางออก ตอนนั้นเองที่ตุลย์เกริ่นนำขึ้นมาและสายตาเขาก็เลื่อนไปเจอเข้ากับร่างอวบอ้วนในชุดสีกากีที่คุ้นตา
“เป็นผู้ชายอวบๆ ใส่ชุดข้าราชการสีกากี แต่งตัวอย่างกับผอ. แต่ไม่น่าใช่ ตุลย์ยังสงสัยอยู่เลยว่าเป็นโจรหรือเปล่า”
“พี่ว่าไม่ใช่โจรหรอก” ปูเอ่ยขัดน้องที่กำลังเริ่มให้จินตนาการจากการอ่านการ์ตูนแนวสืบสวนทำงาน
“แกน่าจะเป็นผอ.ปฐม”
“ผอ.ปฐม ใครอะพี่”
“ผอ.คนแรกของโรงเรียนเราน่ะ” ปูเฉลย ตอนนี้หันหัวรถให้ตั้งลำตรงได้แล้วจึงกดคันเร่งเพิ่มขึ้น
รถหรูสีน้ำเงินพุ่งทะยานจากจุดจอด ผ่านร่างของผู้อำนวยการคนแรกที่ยังคงออกมาสอดส่องหานักเรียนผู้โชคดีที่อยู่ในโรงเรียนหลังเวลาเลิกเรียน แล้วมุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางที่นำพวกเขาไปยังกรุงเทพมหานคร
“พี่รู้ความเป็นมาของผอ.ปฐมเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิง แต่พี่รู้เรื่องที่มีผอ.ปฐมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องมายาวนานนะ จะว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ลับๆ ในโรงเรียนเราอย่างนึงก็ได้”
“เหย น่าสนใจแฮะ พี่เล่าให้ตุลย์ฟังหน่อยดิ”
ปูอมยิ้มกับคำขอของน้องชายที่ดูตื่นเต้นดี๊ด๊าในพริบตา เขาไม่คิดจะขัดน้องและคิดแล้วว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะเล่าให้น้องฟังว่าในโรงเรียนแห่งนี้มีอะไร
สองพี่น้องเดินทางมาถึงคฤหาสน์ใจกลางเมืองของปูในอีกหลายชั่วโมงต่อมา ความจริงแล้วที่นี่ก็ไม่ใช่คฤหาสน์จริงๆ เพราะพื้นที่สวนที่เป็นพื้นที่เอนกประสงค์นอกตัวบ้านไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนในหนังหรือละคร แต่ขนาดของตัวที่พักอาศัยจริงๆ นั้นก็มากจนไม่น่าเรียกว่าบ้าน เพราะพื้นที่ขนาดสี่ร้อยห้าสิบตารางวาใจกลางรัชดากับจำนวนชั้นสามชั้นนั้นถือว่าใหญ่โตมากสำหรับการอยู่ตามลำพัง
บ้านหรูนี้อยู่ในโครงการระดับเอ็กซคลูซีฟของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าตลาดในเมืองไทยตอนนี้ ราคาของมันสูงมากชนิดที่หากเป็นตนเองในอดีตปูจะไม่แม้แต่ฝันถึง เขารู้ดีว่าตนเองในเวลานั้นไม่อาจเอื้อมกับทรัพย์สินระดับนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์ในยามโพล้เพล้วันหนึ่งตอนมัธยมศึกษาปีที่หกผ่านไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนชีวิตก่อนหน้านั้นกลายเป็นเพียงภาพเลือนลาง
เรื่องเริ่มต้นด้วยหวยชุดสิบสองใบนั้นถูกรางวัลที่หนึ่งทุกใบ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็เจ็ดสิบล้าน ขนาดว่านำไปเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายตอนไปขึ้นเงินแล้วก็ยังเหลือเยอะมากจนแม่เขาทรงตัวแทบไม่อยู่ อาการหน้ามืดเพราะตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ทันเป็นยังไง ปูก็เพิ่งประจักษ์กับตาวันนั้นเอง
ทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลแบบที่ไม่เคยจินตนาการถึงปรากฏตรงหน้าในพริบตา เป็นเงินสุจริตที่ไม่ได้ไปปล้นชิงใครมาด้วย พอแม่เขาตั้งตัวได้ก็พนมมือท่วมหัว กล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายยกใหญ่ ขณะที่ไอ้ตัวน่าสยดสยองที่อาศัยอยู่ในกายเขานั่งทำหน้าสงสารกึ่งสมเพช มันบ่นให้เขาได้ยินคนเดียวว่ามารดาเขาไหว้ผิดตัว
‘ข้าต่างหากที่ทำให้แม่เอ็งได้เงิน’
ปูไม่ตอบคำบ่นแบบไม่จริงจังนั่น แต่นึกขอบคุณมันในใจที่ทำได้ตามปากพูด
‘ทีนี้เชื่อหรือยังว่าข้าซื้อเอ็งได้แล้ว’
ก่อนจะเปลี่ยนใจมาอยากด่าพ่อล่อแม่มันแทนที่ลำเลิกบุญคุณทั้งยังทับถมกันอีก
‘ต่อจากนี้ เอ็งก็ตอบแทนข้าในแบบที่ข้าอยากได้ก็แล้วกัน’
ชายหนุ่มหยุดความคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเอาไว้แค่นั้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมองไปยังน้องชายที่มือหนึ่งถือโทรศัพท์คุยกับแม่ ส่วนอีกมือถือรีโมทเปลี่ยนโหมดของโทรศัพท์จอโค้งติดผนังเตรียมเล่นเกม โดยที่ไม่ไกลจากน้องชายนักมีร่างดำๆ แดงๆ ของไอ้เหวกยืนกอดอก เคาะปลายเล็บยาวโง้งกับหัวไหล่ตัวเองมองอยู่
‘น้องชายเอ็งก็เป็นเด็กน่าเอ็นดูดีนะ’ ปูได้ยินวิญญาณตามติดของตนพูดในหัว จึงพยักหน้ารับคำชม
“ตุลย์ ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนแล้วค่อยลงมาเล่นดีกว่า”
“พี่ปูจะเล่นกับตุลย์ไหมครับ”
“เล่นสิ เดี๋ยวพี่เล่นด้วย แต่แค่สามตาพอนะ ไม่งั้นจะนอนดึกเกินไป”
“ตุลย์ให้ไม่เกินสองตาอะ เราตาใกล้จะปิดกันแล้วเนี่ย” เด็กหนุ่มตอบมาพร้อมรอยยิ้มฉ่ำเยิ้ม หลังหาวไปเมื่อกี้
“แม่ฝากบอกว่าพรุ่งนี้เครื่องจะลงตอนทุ่มห้าสิบ ให้พี่ไปรับด้วยนะครับ”
“โอเค”
ปูรับคำ จากนั้นเดินไปต้อนน้องให้ขึ้นบันไดไปอาบน้ำ โดยมีตนเองเดินประกบตามมาด้านหลัง
ตุลย์แยกไปเข้าห้องนอนตนเองที่อยู่ชั้นสอง ส่วนปูเดินต่อไปยังชั้นสาม ชั้นบนสุดที่มีห้องมาสเตอร์เบดรูมของบ้านตั้งกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งชั้นเอาไว้สำหรับเขาอยู่คนเดียว ไม่ว่าแม่หรือน้องชายล้วนไม่เคยขึ้นมาบนนี้ ทั้งสองเคารพความเป็นส่วนตัวของเขาพอกับที่เกรงใจเพราะบ้านหลังนี้เป็นเขาใช้เงินส่วนตัวซื้อมา
เมื่อได้อยู่กับตนเองตามลำพังจริงๆ ปูก็ผ่อนคลายลงมากขึ้น หลังเปลื้องผ้าเดินเข้ามาในห้องอาบน้ำจึงตั้งใจจ้องกระจกเงาบานใหญ่ในนี้เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มระบายลมหายใจเข้าออกอยู่สักพัก สิ่งที่ตามติดยิ่งกว่าเงาก็ปรากฏกายเป็นภาพสะท้อนในกระจก หรี่ตาเอียงคอมองพร้อมหักมุมปากยิ้มให้
“มึงบอกกูจะอยู่ได้อีกกี่ปีนะ”
“เอ็งจะตายในวันเกิดตัวเอง ตอนอายุสามสิบแปดปีบริบูรณ์”
“เหลืออีกสิบสามปี” ปูทวนคำของสิ่งที่กอดอกคุยกับเขาให้เห็นหน้าผ่านกระจก แล้วก้มลงรองน้ำวักมาสาดหน้า
“เห็นน้องแล้วเป็นห่วงหรือไง ไม่ต้องห่วงหรอก เอ็งตายไปข้าก็ยังดูแลน้องให้เอ็งได้”
“พูดอะไรของมึง” ปูเหลือบตาขึ้นมองสิ่งที่เริ่มยื่นหน้าออกมาจากกระจก
“เอ็งถึงฆาตแต่ข้าไม่” มันกระซิบบอกเขาถึงข้างใบหูพาให้ขนทั่วร่างพากันลุกพรึบโดยไม่ได้นัดหมาย
“ร่างเอ็งยังใช้ได้ ถึงตอนนั้นก็ให้มันเป็นภาชนะของข้าเถอะ”
ชายหนุ่มจ้องประสานสายตากับสิ่งที่กำลังคุกคามเข้าใกล้ตนเองทันที เวลาผ่านไปหลายปีจนสภาพของมันน่ากลัวน้อยลง ใบหน้าที่เคยดูไม่เป็นผู้เป็นคนก็ดูเหมือนคนมากขึ้น แต่นิสัยชอบถลึงตากับยิ้มแบบแยกเขี้ยวขู่ยังแก้ไม่หาย
“เรื่องนั้นกูตัดสินใจเอง มึงไม่ต้องมาบิ๊ว”
“เอ็งเลิกใช้ศัพท์แสงพิลึกแบบคนเดี๋ยวนี้ทีเถอะวะ ฟังแล้วไม่เข้าหู”
“ร่างกู กูมีสิทธิอนุญาตหรือไม่ก็ได้ อย่าหวังจะเอาไปใช้ง่ายๆ เลย ไอ้เหวก”
“หึหึ” มันหัวเราะลงลูกคอแบบที่ชอบทำ เปลี่ยนไปเอียงคอรวบฝ่ามือกับเล็บยาวโง้งไว้ด้วยกัน
“เดี๋ยวเอ็งก็รู้ ว่าข้าจะได้ร่างเอ็งมาเป็นภาชนะจริงหรือเปล่า”
ร่างดำๆ แดงๆ ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนหายกลับเข้าไปในกระจกและหายไปเลย ปูจึงได้แต่ชกแผ่นโลหะจนสะเทือนแทบร้าวไปทั้งแผ่น หงุดหงิดก็หงุดหงิด หวาดกลัวก็หวาดกลัว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาดเมื่อรู้ว่าตนเองเหลือเวลาอีกไม่นานในการอยู่กับคนที่ตนผูกพัน รวมถึงอาจไม่ได้เห็นหน้าไอ้วิญญาณประหลาดตนนี้ที่ผูกติดกับตนเองมาหลายปีอีกแล้ว
แต่เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แล้วอนาคตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองยังมีปัจจุบัน และเขาก็เชื่อว่าปัจจุบันนี่แหละที่จะสามารถพลิกผันอนาคตได้ในที่สุด
Comments (0)