** Chapter Cover by Patrick Robinson on Unsplash

 

.

.

.

 

คืนนั้นปูฝันร้าย

เขาฝันว่าตนเองย้อนกลับไปที่โรงเรียนของตนอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีผู้อำนวยการกับลุงภารโรงคนแรกที่ครูนิรมลเล่าให้ฟังเมื่อเย็น แต่ดำยังอยู่กลางลานกว้างของโรงเรียนในสภาพเดียวกับที่ทีมค้นหาพบศพเข้า ยืนยกสองมือปิดหน้าโดยมีอีกร่างที่สูงใหญ่กว่าตัวสีดำๆ แดงๆ มีดวงตาสองข้างแดงก่ำ กับรอยยิ้มแสยะกว้างชนิดที่เห็นฟันขาวยาวโง้งมีน้ำลายไหลย้อยครบทุกซี่ยืนขนาบข้าง

‘คิดถึงเพื่อนมากไหม ถ้าคิดถึงก็มองให้เต็มตา เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เอ็งจะได้เห็นมันแล้ว’

น้ำเสียงแหบแห้งเสียดโสตแต่แฝงไปด้วยอำนาจกดข่มดังออกมาจากทิศที่ร่างดำๆ แดงๆ นั้นยืนอยู่ ปูไม่เห็นตนเองขยับตัว เพราะระยะห่างของเขากับอดีตเพื่อนสนิทยังเท่าเดิม เขาคงแค่ยืนมองเพื่อนอยู่ในระยะปลอดภัย มองจนกระทั่งดำเลิกร้องไห้ ทิ้งสองแขนลงมาข้างตัว เพื่อนเปลี่ยนมามองเขานิ่งๆ มองด้วยดวงตาว่างเปล่าจนกระทั่งร่างนั้นค่อยๆ เลือนหายไปเองต่อหน้าต่อตา ขณะที่ร่างดำๆ แดงๆ ที่เหลืออยู่ก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ

ช้าของมัน แต่เร็วมากสำหรับเขา เพราะเพียงแค่พริบตามันก็เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาราวกับหายตัวมา

‘ต่อไปเอ็งจะเป็นเพื่อนสนิทของข้า ดีใจเถอะ’

 

เฮือก!

ปูลืมตาโพลง พรวดพราดลุกขึ้นมานั่งหอบฮั่ก สายยางเกะกะกับอาการเจ็บตึงตรงจุดที่เข็มน้ำเกลือปักคาไร้ความหมายเมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นในหัวตัวเองเมื่อกี้ เด็กหนุ่มยกมือข้างที่ยังดีกุมหน้าอกที่กระเพื่อมรุนแรงราวกับหัวใจอยากแหกซี่โครงเผ่นหนีสิ่งที่สมองถ่ายทอดให้มันรับรู้เมื่อครู่ เขาเจ็บเพราะแรงกระเด้งกระดอนของหัวใจ ต้องนั่งปรับจังหวะการหายใจอยู่อีกนานกว่าจะกล่อมให้ตนเองสงบลงได้

หากว่าความฝันนั้นเป็นเพียงการผลิตซ้ำของสมองที่ยังไม่อาจสลัดความทรงจำถึงเหตุสั่นประสาทได้ก็แล้วไป แต่ไม่รู้เพราะอะไรปูจึงคิดว่าสิ่งที่ตนเองเพิ่งเห็นนั้นไม่ใช่การฟุ้งซ่านไปเอง แต่เป็นความจริง อย่างน้อยก็จริงสำหรับเขา

“...กี่โมงแล้ว”

ถามตัวเองเพื่อใช้เสียงเป็นเพื่อน ถามเสร็จค่อยหันหาอุปกรณ์บอกเวลาได้และพบนาฬิกาใส่ถ่านอันจิ๋ววางบนโต๊ะข้างหัวนอน พอหยิบมาตะแคงดูด้วยการอาศัยแสงจากไฟอาคารกับไฟถนนด้านนอกจึงเห็นว่าเป็นเวลาตีสาม

“...เวลาดีซะด้วย”

ปูแทบทำนาฬิการ่วง ดีที่เกร็งนิ้วทันไม่อย่างนั้นคงทำทรัพย์สินโรงพยาบาลเสียหายแล้ว เขาประคองนาฬิกาไปวางเข้าที่เดิมและเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่ตั้งถัดไปจากนาฬิกาไม่ไกล เมื่อไฟติดห้องที่มืดทึมจึงค่อยสว่างขึ้นบ้าง

อาการขนลุกเพราะตกใจฝันแล่นผ่านไปตามเนื้อตัวเขาเหมือนลูกคลื่นที่เริ่มต้นกลางทะเลแล้วซัดเข้าหาฝั่ง

เมื่ออาการเหล่านั้นคลายลงเขาจึงค่อยคืบลงจากเตียง เดินพาเสาน้ำเกลือเลื่อนแกร๊กๆ ไปเข้าห้องน้ำ จัดการปลดเบาแล้วกลับมาเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ปูรองน้ำสาดหน้าตัวเองไปหลายทีจนรู้สึกได้ว่าเสื้อด้านหน้าเปียกชุ่มค่อยเงยหน้าขึ้นมาผงะกับภาพในกระจกตรงหน้าอย่างจัง

“เฮ้ย!!!!”

ปูร้องเสียงหลงก่อนลื่นเสียหลักล้มดังโครมคราม แล้วภาพเจ้ากรรมในกระจกก็ดันหัวเราะหึๆ ซ้ำเติมออกมาอีก เด็กหนุ่มมั่นใจว่าตนไม่ได้ฝัน ความเปียกชื้นขนาดนี้ ความเจ็บร้าวจากก้นกบขึ้นมาถึงเอวที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ตอนนี้ นี่ไม่ใช่ความฝัน นั่นก็หมายความว่าไอ้ตัวประหลาดดำๆ แดงๆ นั่นมันเป็นความจริง แถมยังตามเขาออกมาจากฝันได้ด้วยอย่างนั้นหรือ

“เอ็งจะกลัวอะไรนักหนา”

เสียงแหบแห้งเสียดโสตแต่แฝงด้วยความกดดันแบบในฝันดังมาจากกระจก ไม่เพียงเท่านั้น ภาพที่ควรเป็นเพียงภาพสะท้อนกลับเริ่มยืดยาวออกมา

ร่างนั้นโผล่ทะลุกระจกออกมาด้านนอก เริ่มจากมือที่มีนิ้วยาวหงิกงอที่ตรงปลายเป็นเล็บแหลมโง้ง แขนลีบเรียวไม่ต่างจากกิ่งไม้แห้ง ใบหน้ากับลำตัวที่ซูบเซียวสีดำสนิทสลับแดงของเนื้อที่ไร้หนังหุ้มเป็นหย่อมๆ

ปูตะเกียกตะกายถอยหลังไปพลางจับตาดูร่างนั้นเคลื่อนไหวในท้วงท่าประหลาดไม่วางตา เขาลนลานหนีไปจนหลังศีรษะกระแทกกับขอบโลหะของเตียงดังกึง! เจ็บจนหยีตาเองโดยอัตโนมัติ ครั้งนี้เมื่อลืมตาขึ้นกลับเห็นใบหน้าน่าขยะแขยงปนสยดสยองจ่อเข้าหาจนแทบชิดกัน

“ไป! ออกไป! มึงออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้นะไอ้ผีเวร!!!”

“แหม่ ปากกล้า”

ดวงตาที่ไร้หนังเปลือกตาหุ้มสีแดงก่ำพองโปนขึ้นเพราะเจ้าของมันถลึงตาใส่เขา ปลายเล็บแหลมทั้งห้าตวัดมาประคองขืนจับใบหน้าเด็กหนุ่มตรึงให้มองค้าง ไม่อนุญาตให้เขาเบือนหน้าหนีเพราะมันต้องการสานต่อบทสนทนา

“เอ็งจะกลัวอะไรข้านักหนา ใช่ว่าไม่เคยเจอหน้าค่าตากันสักหน่อย”

“ออกไป!!!”

ปูตวาดเต็มเสียงพร้อมสารพัดน้ำ ทั้งน้ำมูกน้ำตาที่ทะลักออกมาแทนการประกาศว่าตัวเขาขวัญกระเจิงขนาดไหน น้ำลายที่พ่นออกไปเป็นฝอยพร้อมเสียงร้อง และเหงื่อที่ผุดซึมออกมาเป็นสายราวกับใครมาเปิดก๊อกบนรูขุมขน

“เอ็งตะโกนให้คอแตกข้าก็ไม่ไป”

มันหรี่ตาแคบลงโดยยังไม่ละสายตาจากใบหน้าที่ซีดเซียวแทบไร้สีเลือดของเด็กหนุ่มที่แทบครองสติไม่อยู่

สำหรับมันแล้วปูเป็นคนที่น่าสนใจ ทั้งมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน และกตัญญู เรียกว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติดีน่าอยู่ด้วยแบบที่สิบปีจะหาเจอสักคนในสถานที่ห่างไกลความเจริญแบบที่นี่

“กูบอกให้ไปไง!!”

“แหน่ะ ยังไม่หยุด หรือให้ข้าเย็บปากเอ็งก่อนดีไหม ถึงจะยอมอยู่เฉยๆ หืม?”

ปูหุบปากเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ท่าทางไอ้ตัวประหลาดนี่ดูไม่เดือดไม่ร้อน มันพูดเรียบๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายทั้งที่เมื่อกี้คือการข่มขู่กันชัดๆ แถมสัญชาตญานส่วนตัวก็ร้องเตือนอย่างดังด้วยว่ามันเอาจริง

“ดี ทีนี้ก็ขึ้นไปนอนพักซะ เกิดเอ็งไม่พักผ่อน สุขภาพทรุดลงอีกจะยิ่งแย่ ข้าจะลำบากไปด้วย”

“มึงพูดอะไร ไอ้ตัวประหลาด”

“ข้ามีชื่อ”

มันสวนกลับมาคำหนึ่ง ปลายเล็บที่ประคองรอบกรอบหน้ากดเข้ามาหานิ้วหนึ่งจนจมเข้ามาในเนื้อ เรียกเลือดแดงอุ่นๆ ให้ฝุดซึมสวนขึ้นมาไหลเป็นทาง ปูลอบกลืนน้ำลาย เห็นดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นหลุบลง ตามด้วยเรียวลิ้นแดงที่แลบผ่านริมฝีปากที่ปริออกมาตวัดละเลียดเลียเลือดขึ้นกลืนกิน

“เลือดเอ็งนี่รสชาติดี”

ไอ้เหี้ย เด็กหนุ่มขนลุก ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่เป็นความขยะแขยง น่าแปลกที่มันกลับหัวเราะ

“จะด่าในใจหรือออกเสียงข้าก็ได้ยินทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเก็บคำพูดก็ได้”

“...มึงเป็นใคร” ความกลัวยังอยู่ แต่ความอยากรู้กลับเพิ่มขึ้นสวนทางในพริบตาจนปูต้องถาม

“ข้าชื่อเหวก ข้ามน้ำมาจากอีกฝั่งโขง เดิมตามอีสาวที่มันโดนรถชนไปเมื่อเย็นมาอยู่ที่โรงเรียนเอ็งได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว”

“ใครวะที่โดนรถชนไปเมื่อเย็น”

“ก็อีสาวที่มานั่งคุยกับเอ็งตอนตื่นมาครั้งแรกนั่นน่ะ”

ปูคิดตามแล้วนึกออกทันที “ครูนิรมลเหรอ?!”

“ข้าไม่รู้ชื่อจริงมันหรอก เรียกแต่อีสาวตามบ้านมัน”

“หมายความว่าไงที่ครูถูกรถชน”

“มันถึงที่ตาย ข้าบอกมันแล้วว่ามันจะตายในอีกสามปีข้างหน้า วันนี้พอดี”

“มึงรู้วันตายคนอื่นด้วยเหรอ เป็นผีหรือตัวอะไรกันแน่” ปูฟังแล้วยิ่งสงสัย

“เอ็งไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าข้าเป็นอะไร รู้แค่ข้าเป็นคนช่วยเอ็งและเอ็งติดหนี้บุญคุณข้า ก็ต้องชดใช้ให้ข้า”

“กูไม่ได้ขอให้มึงช่วย มึงเสือกมาช่วยกูเองแล้วจะเอาอะไร” ปูเถียงกลับ

“ไม่เอาอะไรหรอก ให้ข้าออกไปจากที่นี่ก็พอ ข้าเบื่อ” มันตอบ

เด็กหนุ่มงง ยิ่งฟังยิ่งงง ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

บุกรุกเข้ามาในฝัน โผล่มาจ๊ะเอ๋แบบกะให้หัวใจจะวายตายในกระจก ออกมาจากกระจกจับเขากดกับขอบเตียง กรีดเลือดเขามาเลียกิน แล้วมาบอกว่าจะไม่เอาอะไรเนี่ยนะ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว?!

“เอ็งไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่พรุ่งนี้ตอนแม่เอ็งมาหาก็ลองบอกให้แม่ไปซื้อหวยที่หน้าโรงหมอสิ เลือกชุดรางวัลที่หนึ่งที่ลงท้ายด้วยเลขตองดู”

“ทำไมต้องให้แม่กูไปเสียเงินกับเรื่องไร้สาระวะ”

“เอ็งจะได้ไม่ด่าทีหลังว่าข้ามาเกาะเอ็งเฉยๆ” มันตอบ

“เกาะ? หมายความว่าไง”

“ต่อไปเอ็งจะเป็นพาหนะของข้า”

มันเฉลย ครั้งนี้พร้อมกับหักริมฝีปากขึ้นเป็นยิ้มที่กระตุกให้ขนท้ายทอยลุกพรึ่บ

“เอ็งจะต้องพาข้าออกไปจากที่นี่”

“มึงมาโรงพยาบาลเองได้ก็ออกไปเองสิวะ มายุ่งอะไรกับกู!”

ปูตะโกนกลับ พยายามดิ้นอีกครั้ง และต้องหยุดภายในเสี้ยววินาทีเพราะเล็บนิ้วที่สองทิ่มแทงเข้ามาในแก้มเพิ่มอีกรู และมันก็แลบลิ้นเลียกินเลือดเขาอีกรอบ

“ข้าไม่ได้หมายถึงโรงพยาบาล แต่หมายถึงอาณาจักรนี้”

“มึงอายุเท่าไรกันแน่เนี่ย อาณาจักรที่ว่าคงหมายถึงจังหวัดนี้ใช่ไหม”

มันพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วทำไมต้องเป็นกู เด็กนักเรียนมีตั้งเยอะแยะ เลือกกูเพราะอะไร”

“กูถูกใจมึง” ตอบสั้นๆ “ไม่ต้องมีเหตุผลหรอก”

“ต้องมี!”

เด็กหนุ่มยืนกราน ยิ่งคิดยิ่งสะอิดสะเอียนกับคำพูดเหมือนบทละครจากปากตัวน่าสยดสยอง

“มึงมันทะเยอทะยาน คิดแต่จะก้าวไปข้างหน้า กูดูมึงมาเป็นสิบปี ยิ่งโตก็ยิ่งขยันตั้งใจ ไม่เหมือนไอ้พวกเดนเหลือขอ ดีแต่เล่นทโมนไปวันๆ ที่เหลือในโรงเรียน”

เด็กหนุ่มฟังแล้วกลืนน้ำลายดังเอือก การถูกเฝ้ามองมาเป็นสิบปีหมายความความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของเขาอยู่ภายในสายตาของไอ้ตัวนี้มาตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในโรงเรียนเลยหรือนี่

“ข้าอยู่ที่โรงเรียนนี้มานานแล้ว ตั้งแต่อีสาวมันพาเข้ามาครั้งแรกตอนยังเป็นนักเรียนเหมือนเอ็ง จากนั้นข้าก็มาๆ ไปๆ ระหว่างมันกับสถานที่ที่มันไป แต่ไม่มีที่ไหนอยู่แล้วสนุกเหมือนโรงเรียนเอ็ง ได้เห็นพวกวิญญาณกระจอกกรูกันไปมาเหมือนพวกสัตว์แตกฝูง ซ้ายทีขวาที น่าเวทนา”

“พูดอย่างกับตัวเองไม่ใช่วิญญาณ” ปูอดแซะไม่ได้

“ก็ไม่ใช่แบบพวกนั้น” มันแย้ง “ไม่ใช่ผีกระจอกๆ ที่ทำได้แค่กรูมามุงดูเอ็งนอนพะงาบๆ เป็นปลาขาดน้ำสำลักเลือดตัวเองค่อยๆ ตายไปต่อหน้า แล้วข้าก็กระทืบไอ้ผีเด็กที่ตามเอ็งให้ด้วย”

“มึงเป็นคนฆ่าเพื่อนกูเหรอ”

“นั่นเพื่อนเอ็งเหรอ” มันย้อน “มิน่า มันถึงตามมึงเอาเป็นเอาตาย ที่แท้ก็อยากได้มึงมาอยู่ด้วย ดีแล้วที่มึงใจแข็ง โง่ๆ อย่างมันก็ให้อยู่กับพวกติดที่พวกนั้นเถอะ”

“มึงรู้อะไรหรือไง” ปูฟังมาสักพักจนเริ่มปะติดปะต่อหลายอย่างได้

“เพื่อนมึงโดนผีหลอก แล้วมันก็เป็นผีมาหลอกมึงอีกที” มันตอบ

“กฎที่อีสาวมันเขียนไม่ได้จริงทุกข้อ แต่ก็มีมูล เพื่อนเอ็งมันดีแต่เที่ยวเล่นคึกคะนอง กล้าขึ้นอาคารหลังเลิกเรียน ตอนนั้นมันเป็นเวลาของพวกผี มันจะบันดาลใจให้เห็นอะไรยังไงก็ได้ ยิ่งกับพวกไม่มีสติดีแต่ฟุ้งซ่านไปวันๆ โดนผีหลอกเอาไปอยู่เป็นเพื่อนจะแปลกอะไร”

ปูฟังแล้วพูดต่อไม่ออก สรุปคือเหตุการณ์ที่เขาเจอก็เหมือนการผลิตซ้ำของสิ่งที่อดีตเพื่อนสนิทเคยเจอ เพราะมันก็ถูกสิ่งลี้ลับในโรงเรียนหลอกหลอนจนขาดสติเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นมันก็ตามมารังควานเพื่อนจะลากเขาลงไปในบ่วงทุกข์แบบเดียวกัน

“เพื่อนโง่ๆ แบบนั้นเอ็งทิ้งไปก็ดีแล้ว อยู่ด้วยก็มีแต่ฉุดให้เจอเรื่องฉิบหาย”

“มึงพูดอย่างกับตัวเองดีนัก”

ปูว่าสวน ส่วนเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ทำแค่หัวเราะลงลูกคอด้วยเสียงที่เขย่าสติสัมปชัญญะคนฟังให้สั่นสะท้าน

“ข้าไม่อาศัยเอ็งเปล่าๆ หรอก ต่อไปเอ็งอยากได้อะไร ข้าก็จะช่วยให้ได้มาแบบสบายๆ จะเป็นทรัพย์สิน คนรัก โชคลาภ ขอแค่เอ็งยอมเป็นพาหนะให้ข้า และให้ข้ายืมร่างบ้างบางครั้งก็พอ”

“ยืมร่าง? มึงทำอะไรได้เองขนาดนี้จะมายืมร่างกูทำไมวะ?!”

“หลายอย่างข้าก็ทำด้วยกายนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ไปเที่ยวสัมผัสใครต่อใครเหมือนที่ทำกับเอ็งไม่ได้ จะทำแบบนี้ได้ก็ต้องให้คนๆ นั้นมีของเก่าติดมาและเคยเปิดสัมผัสตัวเองจากเหตุการณ์อื่นมาแล้ว”

“แต่มึงยังทำทุกอย่างกับกูได้เลยนี่”

“เอ็งตกใจจนตาในมันเปิดโดยไม่รู้ตัว ยิ่งพอผ่านประสบการณ์เฉียดตายได้สัมผัสที่หกก็รุนแรงขึ้นข้าถึงเชื่อมต่อกับเอ็งได้ง่ายกว่าคนอื่น ทีนี้ถึงมีแต่เอ็งกับกายเนื้อของเอ็งนี่แหละที่ข้าจะใช้การได้”

“ขืนให้ยืมร่างกูไม่ตายก่อนมึงเหรอ”

“ข้าไม่เอาถึงร่างเอ็งตายหรอก ไอ้หนู ไม่อยากหมดสนุก”

“แล้วตกลงมึงอยากได้ร่างกูไปทำไม”

“ก็เหมือนพวกเอ็งนั่นแหละ นานๆ ทีข้าก็อยากลิ้มรสชาติอาหารแบบมนุษย์ เสพสังวาสแบบมนุษย์ดูบ้าง”

“ลามก”

“ไว้สักวันเดี๋ยวเอ็งก็จะอยากเหมือนข้า คอยดูไปเถอะ”

“เก็บความอยากไว้คนเดียวเหอะ กูไม่เอาด้วย”

เด็กหนุ่มเบนสายตาหลบ พอไม่ต้องจ้องหน้าที่ไม่ชวนมองนั่นต่อเขาค่อยหายใจสะดวกขึ้น จึงรีบสูดเอาอากาศเข้าปอดไว้ให้เต็มที่

“ถ้าเอ็งอยากให้แม่สบาย มีเงินส่งน้องไปจนเรียบจบและพอเหลือใช้ต่อเป็นทุน พรุ่งนี้ก็ให้แม่ไปซื้อหวยตามที่บอก รีบไปด้วยถ้าไม่อยากให้มันถูกสอยไปก่อน”

“อะไรของมึงวะ มาหลอกให้กูกลัว ตามตื๊อกูเอง แล้วยังจะมาใบ้หวยให้อีกเนี่ยนะ คิดเหรอว่าเรื่องแค่นี้จะซื้อกูได้”

“เอ็งให้แม่ซื้อหวยก่อนเถอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าข้าซื้อเอ็งได้หรือไม่ได้”

มันกระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มเย้ยหยัน

“มนุษย์รุ่นเอ็งพูดกันปาวๆ นี่ว่าขอแค่มีเงินอะไรก็ซื้อได้ เหมือนไอ้คำที่คนชอบจำๆ กันมาว่า อะไรนะ เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่ซื้อสิ่งที่ให้ความสุขได้ ใช่หรือเปล่า”

ปูขึงตามองอีกฝ่ายใช้อีกมือลูบปลายคาง ดวงตาแดงก่ำนั้นกลิ้งกลอกไปมาราวกับมันกำลังใช้ความคิดระหว่างกระซิบล้อเลียนด้วยถ้อยคำที่คนรุ่นเขาพูดกันติดปากไปทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ

“เอาเถอะ ข้าตั้งใจจะมาบอกเอ็งแค่นี้ หมดเรื่องข้าก็จะไปแล้ว เอ็งจะได้ไม่ต้องสติหลุดเวลาเห็นหน้าข้าอีก”

“เดี๋ยว” น่าแปลกที่ครั้งนี้ปูกลับเรียกอีกฝ่ายไว้เอง

“มึงว่ามึงชื่ออะไรนะ”

“เหวก”

“กูเรียกมึงไอ้เหวก”

“ตามใจเอ็ง”

“แล้วกูจะมั่นใจได้ไงวะ ไอ้เหวก ว่ามึงจะไม่นึกจะโผล่ก็โผล่มาแบบครั้งนี้อีก”

“อย่ามองกระจกหลังเที่ยงคืน” มันตอบพร้อมรอยยิ้มชวนให้อวัยวะภายในพร้อมใจกันเคลื่อน

“เอ็งเกิดวันจันทร์ กระจกเป็นของต้องห้าม หลังจากเห็นข้ากับไอ้พวกน่าสมเพชในโรงเรียนไปขนาดนั้นแล้ว ต่อไปถ้าเที่ยวมองกระจก โดยเฉพาะเศษกระจกแตกสุ่มสี่สุ่มห้า อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ปูฟังคำไอ้เหวกแล้วตวัดสายตาไปที่กระจกบานหนึ่งที่ติดเอาไว้ตรงข้ามเยื้องๆ กับปลายเตียงทันที และปลายเล็บที่เกือบคลายออกจากกรอบหน้าแล้วก็เกี่ยวกดกลับมาจนหน้าเขาเป็นแผลรอยที่สามทันทีเช่นกัน

“ไม่ได้ยินที่ข้าบอกเหรอ” เหวกกระซิบเสียงเหี้ยม ละเลียดกินเลือดจากปากแผลใหม่เป็นครั้งที่สาม

“กูไม่ได้ตั้งใจมองนะโว้ย มันไปของมันเอง!”

ปูตะโกนสวน ครั้งนี้ขืนใบหน้าออกมาจากการกักขังและการกระทำอุดจาดนี้จนได้

“แล้วมึงเก่งขนาดจัดการไอ้ดำได้ ไอ้ตัวอื่นที่กูอาจจะเผลอเห็นนี่ก็ควรจะจัดการได้ด้วยไม่ใช่หรือไงวะ บอกว่าจะมาเกาะกูแล้วจะปล่อยกูไม่ดูดำดูดีหรือไง ไอ้ผีเนรคุณ!?”

“หึหึ” เหวกหัวเราะลงลูกคอ “เอ็งนี่ปากเก่งเหลือเกิน เออ ถ้ามันจวนตัวจริงๆ ข้าจะจัดการให้”

“แต่จำเอาไว้ กันไว้ดีกว่าแก้ พ่อกรกฎ”

ปูมุ่นคิ้วกับคำพูดทิ้งท้าย และเพียงกะพริบตาร่างดำๆ แดงๆ กับสรีระอันน่าขนพองสยองเกล้าก็อันตรธานหายไปเป็นส่วนหนึ่งของอากาศภายในห้องโดยไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย ยกเว้นรอยพาดเล็กเป็นรูสามรูบนแก้มเขา

 

เด็กหนุ่มหลับไปเมื่อไรเขาก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าพอตื่นมาครั้งนี้เป็นเวลาสายที่แดดแรง ลำแสงสีเหลืองทองส่องทะลุม่านผ้าที่ปิดไว้จนเปลี่ยนห้องทั้งห้องให้สว่างกลายเป็นสีทองอร่ามโดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยี ทั้งสว่างและอุ่นจนร้อน แยงตาจนทนนอนต่อไปไม่ไหว

ปูงัวเงียพลิกตัวมาด้านข้าง คราวนี้เมื่อลืมขึ้นจึงได้เห็นใบหน้าอบอุ่นของมารดากับดวงหน้าเล็กไร้เดียงสาของน้องชายที่อายุห่างจากเขาถึงแปดปี เจ้าตัวเล็กพอเห็นพี่ได้สติก็ผุดลุกจากโซฟาโผมาเกาะราวเหล็กกั้นขอบเตียง ถามใหญ่ว่าพี่เจ็บตรงไหนไหม อยากได้อะไรหรือเปล่า เสนอตัวจะซื้อโน่นนี่ให้ยกใหญ่

“ตุลย์ พี่ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”

“พี่ปูมีเข็มจิ้มแขนด้วย ไม่เจ็บแน่เหรอ”

“อื้อ ชินแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”

“ปูหิวหรือเปล่าลูก” คราวนี้แม่ลุกมาลูบผมเขาพลางถาม สายตาเธอที่ทอดมานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“เอ่อ ผม คอแห้งอะครับ อยากกิน ชาไข่มุก ไม่รู้หน้าโรงพยาบาลมีไหม”

“มีๆ ตุลย์เห็น ตุลย์ก็อยากกินครับแม่ เราลงไปซื้อกันเถอะฮะจะได้ซื้อมาให้พี่ปูด้วย เดี๋ยวตุลย์บอกคนขายให้ใส่ไข่มุกพิเศษแบบที่พี่ปูชอบด้วย ดีไหมฮะ”

“อื้อ” ปูยิ้มมองน้องชาย พยักหน้าไม่ขัดเจตนาดีของเจ้าตัวเล็ก

“เออ แม่ครับ”

“จ๋าลูก”

“พอดีปูฝัน ถ้าจะฝากแม่ซื้อหวยด้วยได้ไหมครับ”

“หวยเหรอลูก”

แม่ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นลูกชายคนโตสนใจเรื่องพวกนี้ ที่ผ่านมาเดินผ่านแผงขายหวยทีไรก็ด่าตามหลังตลอดว่าเป็นการพนันชวนเชื่อที่ไร้แก่นสาร

“ครับ ปูฝากซื้อหวยชุดเลย แบบที่มีสิบสองใบ เอาชุดที่สามตัวท้ายมันเป็นเลขตองนะครับ”

“ชุดนึงเป็นพันเลยนะ”

“ครับ แม่กดเงินจากตู้เอทีเอ็มไปซื้อให้ปูทีนะครับ เอาบัตรกับรหัสกดของปูไป กระเป๋าตังค์ทางโรงพยาบาลน่าจะเก็บเอาไว้ให้นะครับ”

“พยาบาลเขาเอากระเป๋าตังค์เรามาฝากไว้ที่แม่แล้วล่ะ เห็นว่าคุณครูที่ชื่อนิรมลฝากไว้ให้อีกที”

ปูยกยิ้มให้แม่เพื่อไม่ให้เธอผิดสังเกตมากไปกว่านี้ ขณะที่รู้สึกใจสั่นเมื่อได้ยินชื่ออีกฝ่ายที่เขาเพิ่งเจอหน้าเมื่อวานและรู้เมื่อตอนเช้ามืดว่าหญิงสาวตายไปแล้ว

“โอเคครับ”

“นอนรอแปบนึงนะ เดี๋ยวแม่กับน้องรีบไปรีบมา”

“ข้ามถนนระวังรถด้วยนะครับ”

“จ้า”

เด็กหนุ่มรอจนเสียงฝีเท้าของสองแม่ลูกค่อยๆ จางไปจนเงียบสนิทค่อยตลบผ้าห่มคืบลงจากเตียง เดินลากเสาน้ำเกลือเข้าไปประชิดติดริมหน้าต่าง แหวกม่านออกมองไปยังประตูหน้าโรงพยาบาลข้างล่าง รอจนเห็นร่างหญิงสาวกับเด็กชายอีกคนที่สูงเสมอไหล่เดินออกไปถึงริมถนน

ทั้งสองรอจังหวะที่ถนนว่างรีบจูงมือกันข้ามไปฝั่งตรงข้ามและแยกกันไปทำภารกิจ เด็กชายแวะที่รถพ่วงข้างติดป้ายชานมสิบห้าบาทแถมไข่มุกฟรี ขณะที่มารดาเขาเดินต่อไปยังคนพิการที่นั่งเก้าอี้กางแผงพับขายลอตเตอรี่อยู่ตรงหน้าร้านสะดวกซื้อที่เปิดทั้งวันทั้งคืน

ภารกิจตามหาของที่ต้องการสองอย่างเสร็จภายในเวลาสิบนาที ทั้งสองกลับมารวมตัวกัน จับจูงมือกันข้ามถนนกลับเข้ามาในเขตโรงพยาบาล พอร่างทั้งคู่ลับหายเข้ามาในเงื้อมเงาชายคา ปูก็ผละจากหน้าต่างเดินลากเสาน้ำเกลือมาเข้าที่ ปีนขึ้นไปนอนจ้องมองเพดานว่างเปล่าเหนือหัวรอแม่กับน้อง

ระหว่างรอเขาก็นึกขึ้นได้จึงพลิกมาหยิบรีโมททีวีกดปุ่มเปิดอุปกรณ์ให้ความบันเทิงที่แขวนอยู่เหนือศีรษะขึ้น รายงานข่าวช่วงสายของช่องหนึ่งปรากฏขึ้น ภาพค่อนข้างแตกพร่าและสีซีดมองไม่ชัด เขาลองกดเปลี่ยนช่อง แต่เปลี่ยนไม่ได้จึงต้องทนดูผู้ประกาศข่าวหน้าเบี้ยวๆ แต่พูดเสียงดังฟังชัดอ่านข้อความจากเอกสารออกอากาศไปจนหมดเวลา ผ่านไปอีกสิบนาทีกับหกโฆษณารายการต่อไปถึงเริ่ม พิธีกรกล่าวสวัสดีผู้ชมพร้อมกับทวนวันที่และชื่อรายการออกอากาศอีกครั้ง คราวนี้ปูถึงรู้ว่าวันนี้คือวันที่สิบหก

วันหวยออกพอดี