3 ตอน สาระในกระดาษ
โดย อะซะกะโอะ
** Chapter Cover by Casey Horner on Unsplash
.
.
.
‘ปู แม่ขอโทษนะที่ส่งเราไปโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ได้ แล้วก็ต้องให้อยู่ประจำด้วย’
‘ปูตั้งใจเรียนนะลูกนะ ไม่ต้องห่วงแม่ น้องเราก็ได้ป้าช่วยค่าเล่าเรียนแล้ว น้องยังประถมอยู่ เรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านนี่เทอมนึงก็ไม่แพงมาก เดี๋ยวพอปูขึ้นมหาวิทยาลัย แม่น่าจะขยับขยายกิจการบ้านเราได้ ตอนนั้นส่งเสียน้องคนเดียวกับทยอยใช้หนี้ป้าเขาแล้วก็น่าจะดีขึ้น’
‘แม่ขอโทษที่ต้องบอกให้หนูหารายได้ส่งตัวเองเรียนนะลูกนะ เพราะว่าค่ากินอยู่กับค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพแม่ไม่น่าส่งไหว นอกจากสอบชิงทุนให้ได้ หนูคงต้องหางานพิเศษทำไปด้วย แต่ว่าถ้าแม่มีรายได้เหลือพอ แม่ก็จะส่งไปให้อีกทางนะลูก’
‘แม่รักปูนะลูก แม่รักหนูมากจริงๆ ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากตั้งแต่เล็กๆ ขอโทษที่แม่ไม่มีอะไรพร้อมให้หนูเหมือนคนอื่นเขา อย่าน้อยใจแม่ หรือโทษโชคชะตาตัวเองนะลูกนะ’
“...ม่”
หนัก ความรู้สึกแรกที่เด็กหนุ่มรับรู้ได้คือความหนัก หนักเหมือนตนเองถูกกดด้วยแรงกดบางอย่างหรือถูกถ่วงด้วยน้ำหนักเกินกว่าจะแบกรับ ตามด้วยการรู้สึกได้ถึงพื้นผิวแข็งแน่น เย็น และหยาบสากด้วยวัตถุเล็กๆ กับความขรุขระทั้งหลาย ตามด้วยรสชาติเค็ม ฝาด เฝื่อน ขมที่ผสมคลุกเคล้ากันในปาก
เขาพยายามหายใจ แต่แค่สูดลมเข้าก็ไอโขลกจนตัวสะเทือน หน้าอกกับช่วงคอเด้งขึ้นโดยอัตโนมัติก่อนฟาดกลับมาให้เจ็บร้าวท้ายทอย เมื่อหลังหัวกระแทกอีกรอบ สติจึงกลับมาทำให้ปูรู้ว่าตอนนี้ตนบินข้ามราวระเบียงชั้นสามลงมานอนกองอยู่ที่พื้นลาน
ความสูงตั้งเท่าไรล่ะนั่น ปูคิด เจ็ดหรือแปดเมตรหรือเปล่านะ ปาฏิหาริย์มากที่ตกลงมาแล้วยังไม่ตาย
ทันทีที่สมองประมวลสถานการณ์ปัจจุบันได้ สารพัดอาการบาดเจ็บก็ถาโถมเข้ามา ไม่มีตรงไหนในตัวที่ไม่เจ็บปวด ไม่เคล็ดยอก หรือขยับได้สะดวก กระนั้นปูยังกัดฟันข่มกลั้นเสียงร้องพลางขยับพลิกตัว เมื่อแน่ใจว่าตนไม่เป็นอัมพาต เขาจึงพยายามจนลุกขึ้นมายืนโซเซได้ แม้จะลงน้ำหนักบนขาได้แค่ข้างเดียวก็ตาม
เด็กหนุ่มหอบฮั่ก ตัวเปียกโชกเหมือนไปวิ่งผ่านน้ำมา ทั้งเหม็นทั้งเมื่อยล้าและเจ็บเสียจนแค่หายใจยังสะเทือน เขาแหงนหน้ามองบนตึก เห็นเพียงราวระเบียงโดยไร้สิ่งใด ขณะที่บรรยากาศรอบตัวก็เงียบสงัดชนิดที่แม้แต่เสียงแมลงกลางคืนขยับตัวยังไม่มี สายลมเองก็สงบนิ่ง นอกจากอากาศเย็นๆ หนักๆ ที่รายล้อมชวนให้วังเวงก็ไม่มีสัญญานของสิ่งมีชีวิตใดให้รับรู้อีกเลย
ปูหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบแล้ว หวังว่าเหตุการณ์ก่อนสติขาดจะเป็นแค่จิตปรุงแต่งของเขาเอง เด็กหนุ่มคิดพลางหมุนตัวกลับหลังหวังบ่ายหน้าไปยังเรือนนอน ความกลัวที่เคยท่วมท้นนั้นยังอยู่ครบถ้วนแค่ไม่เพิ่มจนกลบสติไปจนหมดเหมือนทีแรก และสติก็เป็นสิ่งเดียวที่ปูพยายามเพ่งสมาธินึกถึงเพื่อเอาตัวออกไปจากที่นี่ให้ได้
เด็กหนุ่มเดินลากสังขารออกมาห่างจากใต้เงื้อมตึกห้าได้ไม่นาน สายตาที่ไม่มั่นคงก็จับการเคลื่อนไหวหนึ่งได้จากระยะไกล ทีแรกเขาเห็นเป็นดวงแสงสีส้มๆ ขาวๆ รางๆ ขยับวูบวาบฉวัดเฉวียน เห็นเท่านั้นขนทั่วร่างก็ลุกพรึบจนตัวเกร็ง หยุดยืนนิ่งกับที่โดยอัตโนมัติ แต่พอมองให้ดีๆ จึงเริ่มเห็นว่าแสงนั้นคือไฟฉายในมือคนที่กำลังเดินตรงมาหา
“นั่นใคร”
เสียงทุ้มกังวานดังนำมาก่อน ปูหยีตายกมือข้างที่ยังพอยกไหวป้องตา ชายผู้ฉายไฟมาลดระดับข้อมือลงตอนเข้ามาใกล้ให้ปูเห็นว่าเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
“มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ที่นี่ล่ะเรา”
ปูกำลังจะตอบแล้วตอนนึกได้ว่าผู้อำนวยการคนปัจจุบันผอมกว่านี้ เอาแค่หน้าก็ต่างกันแล้วเพราะผู้อำนวยการวิชัยหน้าจีน ตาเรียว แก้มตอบและค่อนข้างเหี่ยว ผิวออกขาวเหลือง ไม่เหมือนผู้ใหญ่ตรงหน้าที่ผิวเข้มแดด หน้ากลม เนื้อเยอะ ทั้งยังท้วม และที่แปลกอีกอย่างคือดึกขนาดนี้ยังใส่ชุดข้าราชการสีกากี
“ครูถามทำไมไม่ตอบ”
“ผม...” เด็กหนุ่มยันตัวยักแย่ยักยันถอย อีกฝ่ายสืบเท้าก้าวตาม “ผมลืมของไว้บนห้องครับ”
ปูโกหกทั้งที่รู้ว่าไม่เนียน จริงๆ มันก็ไม่เนียนตั้งแต่สารรูปเขาที่เห็นอยู่ทนโท่แต่ตาลุงนี่ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำแล้ว แค่นี้ก็ผิดปกติมากจนเขาแน่ใจว่าสิ่งนี้ก็ไม่ใช่คน ครั้งนี้เองที่ไฟฉายในมือชายตัวอ้วนถูกจ่อมาใส่ตาปูจนต้องรีบหลับตาหันหลบ
“เด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ”
เด็กหนุ่มชาวาบไปทั้งร่าง รีบยกมือป้องตาเพื่อจะลืมมองได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ผลคือชายคนนี้กางแขนออกกว้าง คลี่ยิ้มกว้างชนิดยาวไปจรดติ่งหูทั้งสองด้าน
“มาให้ครูลงโทษซะดีๆ”
ปูไม่มีโอกาสปฏิเสธ ยังนึกคำพูดไม่ออกด้วยซ้ำตอนที่กึ่งกลางลำตัวตรงที่ควรเป็นแนวกระดุมปริ แล้วแยกออกมาให้เห็นก้อนเนื้อแดงๆ เต้นตุบๆ พร้อมกับฟันเขี้ยวขาวยาวโง้งคมกริบเรียงกันตามยาวข้างจะสามแถว มีหยาดน้ำลายเหนียวข้นยืดย้วยหยดลงพื้นดังแหมะๆ อย่างน่าสยดสยอง
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง เรี่ยวแรงที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากปลาสนาการหายไปในพริบตาที่สองแขนนั้นโอบรัดกลับเข้ามา ส่งผลให้เขาทรุดลงมากองกับพื้น รอดจากอ้อมกอดมรณะนั้นได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“เหี้ย?! เหี้ยมาก! เหี้ยสุดๆ! นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย!?! ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย?!”
คำพูดถูกพ่นออกมาจนแทบลืมหายใจขณะเจ้าของมันตะเกียกตะกายหนีจากความตายที่อยู่ตรงหน้า สภาพปูตอนนี้ดูแทบไม่เป็นผู้เป็นคนขึ้นทุกทีจากอาการบาดเจ็บทั่วร่าง ใบหน้าบิดเบี้ยวแหยเกจากความกลัวล้นอกที่ระบายออกมาเป็นน้ำมูก น้ำตา และน้ำลายแตกฟองจากการระบายความตึงเครียดผ่านคำพูด
“ปล่อยกู!!!!”
คลานไปได้ไม่เท่าไรขากลับถูกกระชากอีกครั้ง ปูจิกมือกับพื้นลานเต็มแรงจนเล็บเปิดเพราะความพยายามฝืนแรงดึง ความพยายามนั้นไร้ผลซ้ำทำให้เจ็บตัวเพิ่ม เด็กหนุ่มตะกายไขว่คว้าได้เพียงอากาศก่อนลอยหวือขึ้นจากพื้นเป็นแนวโค้งแล้วกระแทกกลับมาข้างหลังจนรู้สึกเหมือนชิ้นส่วนทั้งหมดกระจายออกจากกัน ชาจนรับรู้ถึงการมีอยู่ของแขนขาหรืออวัยวะอื่นๆ ภายนอกแทบไม่ได้แล้ว
ปูกระอักเอาของเหลวในร่างออกมา จมูกได้กลิ่นคาวไม่ต่างจากที่ในปากท่วมไปด้วยรสเค็มปร่า การโดนจับเหวี่ยงกระแทกพื้นคงกระเทือนไปถึงข้างใน ดีไม่ดีอาจทำให้กระดูกหักทิ่มโดนอวัยวะบางอย่างจนฉีกขาดด้วย เด็กหนุ่มคิดด้วยสติอันน้อยนิด แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขายังพยายามหนี พลิกตัวมานอนตะแคงและตั้งต้นจะคลาน แล้วมือกลับถูกกระทืบขยี้เต็มแรงจนร้องเสียงหลง ปูร้องได้แปบเดียวก็มีแต่ลมแห้งๆ ออกจากปากโดยไร้เสียง ขณะที่ความเจ็บร้าวจากปลายมือไปทั่วทั้งตัว
“มึงจะหนีไปไหน”
เด็กหนุ่มพลิกมาเหลือกตามอง ผีหรือควรเรียกว่าสัตว์ประหลาดที่เคยมีร่างเป็นผู้อำนวยการคำราม มันยืดมือมากระชากหัวปูจากพื้น ดึงจนปอยผมส่วนหนึ่งขาดไปกับร่องนิ้วขณะที่ร่างอ่อนปวกเปียกของเด็กหนุ่มลอยจากพื้นไม่ต่างจากคนแกะสติ๊กเกอร์ออกจากพื้นผิว
ปูไม่มีแรงเหลือให้ดิ้นแล้ว เลือดจากบาดแผนบริเวณหลังหัวที่ตกกระแทกพื้นไหลชโลมมาจนเปื้อนด้านหน้า เข้าไปในตาข้างหนึ่งจนลืมไม่ขึ้น ส่วนอีกข้างเขาก็แทบเหลือกไม่ขึ้นเพราะหมดแรง สิ่งเดียวที่ปูเห็นด้วยสายตาเลือนรางคือปากบนลำตัวที่อ้ากว้างเตรียมกลืนกินเขาเข้าไป
“...แม่”
เด็กหนุ่มกระซิบออกมาได้เพียงคำเดียวก่อนหลับตา จึงไม่ได้เห็นว่ามีขาข้างหนึ่งพุ่งมาถีบเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นจนตัวเอน ปากเบี้ยวไปอีกข้างระหว่างที่มันล้มลงไปด้วยจนพื้นสะเทือน ปูร่วงลงมากระแทกพื้นลานอีกรอบเสียงดังอั่ก! ทั้งเจ็บและหมดแรงจนทำได้เพียงนอนแหมบกับพื้น เขาลืมตาไม่ขึ้น ทำได้แค่เงี่ยหูฟังเสียงที่เริ่มจากการสั่นสะเทือนเบาๆ แล้วทวีความหนักแน่นรุนแรงขึ้นจนเหมือนฟ้าจะถล่ม
เสียงกับแรงสั่นสะเทือนที่รายล้อมรอบตัวเด็กหนุ่มในขณะนี้ เหมือนใครเอาเขาไปโยนไว้กลางทุ่งที่มีฝูงสัตว์ตื่นวิ่งพล่านไปทั่วทุกทิศทาง แรงสะเทือนนั้นหนักแน่นจนทำให้ร่างเหลวแทบเป็นวุ้นนั้นกระเด้งกระดอนพลิกกลับมานอนหงาย ปูหายใจแทบไม่ออก แต่ยังพยายามเหลือกเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ในที่สุดจึงเห็นว่าต้นเหตุของเสียงที่ดังระงมอยู่รอบตัวนี้คือร่างจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังกรูกันเข้ามาหาเขา ดาหน้ากันเข้ามาจนไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ปิดบังทิวทัศน์อย่างอื่นรอบตัวไปจนหมด
พวกมันทุกตัวบิดเบี้ยว ใบหน้าเละเทะเหยแก ร่างกายพิกลพิการแหว่งวิ่น พร้อมกลิ่นที่เหม็นตลบจนจมูกเขาไม่สามารถรับรู้กลิ่นใดได้อีก สมองประมวลผลแยกแยะไม่ทันจนปวดหนึบติดตื้อ เช่นเดียวกับหูที่ดับไปแล้ว ได้ยินเพียงเสียงหวีดวิวยาวแล้วเงียบสนิท
ในสภาวะที่เหมือนตนติดอยู่ในภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเองที่ปูนึกได้
เนื้อหาในกระดาษยับยุ่ยที่พวกเด็กๆ เอามาลือกันสรุปได้ชัดๆ ข้อเดียวว่า โรงเรียนในเวลาหลังห้าโมงเย็นไม่ใช่ที่ที่คนเป็นๆ ควรอยู่
...บางที เขาอาจได้กลายเป็นหนึ่งในพวกที่ได้อยู่ที่นี่หลังโรงเรียนเลิกในไม่ช้านี้แหละ
Comments (0)