** Chapter Cover by Miti on Unsplash 

 

 

.

.

.

 

กว่าปูจะรู้ตัวว่านี่เลยห้าโมงแล้วก็ตอนตัวเองอยู่ใต้ตึกห้า

บรรยากาศด้านนอกเหมือนมีใครเอาแปรงชุบสีน้ำเงินเกือบดำมาทาปาด เพราะแทบมองอะไรไม่ชัดแล้ว เห็นแค่เค้าโครง พอแหงนหน้าสูงขึ้นไปบนเมฆมองเห็นแสงสุดท้ายกลายเป็นริ้วสีแดงๆ ส้มๆ ดูก่ำเหมือนช้ำเลือดช้ำหนอง ขณะที่ด้านหน้าที่ตั้งประจันกันคือช่องบันไดปูนขาวที่ตอนนี้ดูซูบซีดทอดตรงขึ้นไปหาความมืดของตัวอาคาร

ตึกห้าคือตึกท้ายสุดติดหลังโรงเรียน เชื่อมกับกำแพงที่กั้นเขตปักปันเขตสถานศึกษา ด้านหลังมีแต่ป่าหญ้าคากับดอกธูปฤาษีสูงเลยหัวไปหลายเมตร

อากาศหน้าหนาวมืดเร็วทั้งยังเย็นจนเยือกไปถึงกระดูก ลมพัดมาทีแทบอยากปล่อยตัวให้ล้มลงไป ไม่อยากยืนเผชิญหน้ากับสิ่งที่อาจจะเกิดตามมาแล้ว

“ไอ้เหี้ยปู มึงปอดแหกจังวะ ขึ้นมา!”

ปูกลืนน้ำลายยกสองมือกอดอก ใช้เล็บจิกต้นแขนเพื่อสะกดอาการขวัญสะเทือนไม่ให้หลุดออกมาสู่สายตาเพื่อนสนิท ดำหันมาตะโกนเร่งแล้วก้าวฉับๆ ไม่กี่ครั้งก็หายเข้าไปในความมืดของบันได

ข้อปฏิบัติที่ว่ากันว่าถูกเขียนในเศษขยะยัดไว้ในเก๊ะของโต๊ะในห้องเก็บของมันว่ายังไงแล้วล่ะ

ใช่บอกว่าหลังห้าโมงไปแล้วหลายอย่างในตึกนี้จะไม่เหมือนเดิมหรือเปล่านะ

 

บนอาคารเงียบมาก ก็แหงสิ มันหลังเลิกเรียนแล้วนี่

ปูคิดพลางก้าวเท้าอย่างระมัดระวังที่สุด เขาเดินเร็วแต่ลงน้ำหนักเบา เป็นความสามารถที่ติดตัวมาของเด็กหอที่ต้องนอนรวมกัน ทุกคนต้องหัดไว้เผื่อไปเข้าห้องน้ำระหว่างที่เพื่อนกำลังนอนหลับฝันหวาน ไม่อย่างนั้นเพื่อนบางคนที่หูไวอาจตื่นมาด่าหรือปาอะไรใกล้มือมาเผ่นกบาล

ดำหายไปแล้ว ตอนนี้ปูอยู่กลางทางเดินระเบียงชั้นสองซึ่งเป็นที่เรียนของพวกมัธยมห้า ห้องเรียนของเขาที่อยู่ชั้นมัธยมหกนั้นอยู่เหนือไปหนึ่งชั้น ในตำแหน่งที่อยู่เหนือหัวพอดี

เด็กหนุ่มอยากเรียกเพื่อน แต่ไม่รู้ทำไมถึงส่งเสียงไม่ออก ทางเดินมืดแต่เพราะสายตาค่อยๆ ปรับระดับให้ชินกับปริมาณที่แสงน้อยมาตลอดทางจึงมองเห็นทุกอย่างได้ ยิ่งอยู่กับมันมาค่อนชีวิต ร่างกายก็คล้ายจดจำได้เองว่าอะไรอยู่ตรงไหน ปูพยายามอดทนทำใจดีสู้ความมืด ไม่หันมองสุ่มสี่สุ่มห้า ตั้งหน้าตั้งเดินด้วยความเชื่อมั่นว่าเพื่อนคงไม่ทิ้งตัวเองไว้ดื้อๆ

“ไอ้ดำ...”

ในที่สุดเด็กหัวกะทิที่ปกติชอบอยู่คนเดียวก็ทนไม่ไหว เขากระซิบเรียกชื่อเพื่อนตอนเหนือหัวคือป้ายห้องห้าทับสาม หลังเรียกเสร็จก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ปูหันมาทางซ้าย บริเวณที่ติดเชื่อมกับป้ายบอกเลขห้องคือประตูห้อง ปกติมันเป็นบานไม้แบบสบเข้าหากันสองบาน ตอนนี้มันปิดอยู่ มองดูเป็นสีสว่างซีดๆ ตัดกับความมืด แต่ที่ทำให้ปูถึงกับเบิกตาขาแข็ง คือที่กลางบานไม้นั้นมีสิ่งที่ดูเหมือนหน้ากากสีดำแปะอยู่ เสียแต่ว่ามันคงไม่ใช่หน้ากาก เพราะจู่ๆ ตรงกลางนั้นกลับมีรอยแยกปริออกมา ก่อนจะเปิดกว้างขึ้นเป็นดวงตาที่มีลูกตากลมโตกลิ้งกลอกได้หมุนมาจ้องเขม็งใส่ปูด้วย

‘ไอ้เหี้ย?!’

เป็นใครมาเห็นแบบนี้ก็ต้องร้อง ปูเองก็ไม่รอด เขาได้ยินเสียงตัวเองกรี๊ดด้วยลมในปอดทั้งหมดเต็มหู

แต่แทนที่เสียงจะดังก้องไปทั่วทางเดิน กลับมีแค่เสียงอื้ออึงอู้อี้คล้ายคนขาดหายใจอากาศผสมพูดไม่ออกดังขึ้นเบาๆ เพราะมีมือดีกับแขนแข็งๆ ของบางคนวาดมาอุดปาก ล็อกตัวเขาไม่ให้เตลิดหนีไปก่อน ปูทำได้แค่ดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนนั้นจนกระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนหน้ากากแต่ไม่ใช่นั่นผลุบหายไปในบานไม้ต่อหน้าต่อตา

“แต๋วแตกเลยเหรอวะมึง แค่นี้เอง”

ปูทั้งดิ้นทั้งขยับปาก เขากลอกตาจนแทบถลนออกจากเบ้า เหลียวมองอย่างยากลำบากมายังคนต้นเสียงที่หายใจรดต้นคอ ที่แท้ก็คือเพื่อนสนิทที่จู่ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงจากไหนไม่รู้

“กูจะปล่อยมือแล้ว มึงอย่ากรี๊ดอีกล่ะ ไอ้ที่มึงเจอเนี่ย จิ๊บๆ”

ปูหอบฮั่ก ด่าเจ้าดำในใจไปแล้วร้อยแปดจบ จิ๊บพ่อมึงสิไอ้ห่า ใครที่ไหนเจอหน้าพร้อมลูกกะตายักษ์โผล่มาแล้วจะยิ้มร่าเริงได้วะ มึงเป็นคนปกติหรือเปล่าเนี่ย

“มา พวกพี่เขาไปรออยู่ข้างบนแล้ว”

ดำกระซิบบอกแล้วผละไป แต่ครั้งนี้ไม่เดินไปลำพัง เพราะยังหันกลับมาคว้าข้อมือลากปูที่ร่างกายยังทำงานแต่สติคล้ายไม่อยากรับรู้ให้เดินตามไปขึ้นบันไดอาคารอีกฝั่ง

เสียงพื้นยางของรองเท้านักเรียนยี่ห้อยอดนิยมดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน

แป๊ะ...

แป๊ะ...

ดังแล้วค่อยๆ เบาลงยามเมื่อเจ้าของรองเท้าทั้งสองคู่เคลื่อนตัวสูงขึ้นไป ห่างออกจากไปจากหน้าห้องห้าทับสาม ก่อนที่เสียงหัวเราะจางๆ จะค่อยๆ ดังตามมากับสายลมที่พัดผ่านทางเดินของชั้นสองไปวูบหนึ่ง

 

ห้องที่ดำพาปูมาคือห้องหกทับสาม ห้องของปูเอง

เด็กหนุ่มถูกเพื่อนสนิทรุนหลังให้เข้ามาในห้องก่อน ขณะที่เจ้าตัวดึงประตูปิดตาม สติของปูเริ่มกลับมาทำให้เขารับรู้ว่าประตูถูกปิดและลงกลอนขัดด้านล่างไว้อย่างแน่นหนา ปูเริ่มหายใจคล่องขึ้น และเริ่มรับรู้สภาพตัวเอง อย่างแรกเลยคือความเปียกแฉะโชกแผ่นหลังจากเหงื่อที่ไหลโทรม อย่างต่อมาคือความอบอ้าวในห้องปิดทึบซึ่งเหลืออากาศอยู่ไม่มาก กับการมีอยู่ของพวกพี่ๆ ที่ดำพูดถึงซึ่งกำลังนั่งล้อมกันเป็นวงครบห้าคน และเว้นที่ว่างเอาไว้ให้พอกับพวกเขาอีกสองคนที่มาสมทบ

ตรงกลางวงที่พวกพี่เขานั่งล้อมคือกระดานไม้ เขียนอักษรกับสระไทยเอาไว้ครบ มีจุดตรงมุมแทนสัญลักษณ์การเป็นบ้าน มีเทียนจุดปักไว้ด้านหน้าพี่ๆ เขาคนละเล่ม กับมีเทียนถูกปักเป็นวงล้อมบริเวณที่ทุกคนนั่งกันอยู่อีกทีในระยะห่างออกไปประมาณสองเมตร คือเว้นที่เอาไว้ให้คนเข้าไปนั่งได้พอดีโดยไม่แตะถูกเทียนจนเกิดอันตรายนั่นเอง

“ผมพาเพื่อนมาแล้วพี่”

ปูมองเพื่อนสนิทเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิเป็นคนที่หก พี่ๆ พวกนั้นกลอกตามองดำโดยไม่ขยับส่วนใดของร่างกายเลย ดูแล้วผิดปกติ แถมหน้าตาบางคนในนั้นก็...เหมือนเคยเห็นที่ไหน

“สวัสดีครับ”

ปูไม่มีทางเลือกจึงตามไปนั่งหมอบข้างเพื่อน มองหน้าพี่ๆ แต่ละคนพอผ่านๆ แล้วกลับมานั่งจ้องกระดานไม้แทน

“เพื่อนมึงมาแล้วก็เล่นกันเลย”

พี่สักคนเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้ปูขนท้ายทอยลุกวาบ เด็กหนุ่มยังนึกตำหนิตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ว่าไม่ควรตามเพื่อนสนิทมา ไม่ควรเลยจริงๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงมีแค่ที่นี่ที่อยู่แล้วอุ่นใจที่สุด

ตอนนั้นเองที่ดำหันมากระชากมือปูข้างหนึ่งไปแตะบนก้นถ้วยเป๊กที่เลอะคราบเกรอะกรัง

ไม่ใช่แค่เลอะธรรมดา แต่ดูเหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาเลย ปูรู้สึกได้จากจุดที่นิ้วแตะโดนว่ามีฝุ่นหนาเป็นนิ้วเกาะอยู่ เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เหลียวมาหวังถามเพื่อน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าตาดำของไอ้ดำมันโตยิ่งกว่าตอนอยู่กลางแจ้งด้วยกันเมื่อกี้อีก

ปูอยากถามจริงๆ ว่าดำเป็นอะไรหรือเปล่า ติดที่ยังไม่ทันได้ทำก็ต้องหันไปสนใจความเคลื่อนไหวรอบวง

จู่ๆ แก้วที่นิ้วแตะก็เคลื่อนไปโดยที่เขายังไม่ได้ยินเสียงใครถาม

“เอ่อ เดี๋ยวครับ เมื่อกี้ใครถามอะไรไปแล้วเหรอ”

ปากขยับไปไว้เท่าความคิดเมื่อพบความผิดปกติ ไม่ใช่แค่ยังไม่ได้ยินคำถาม แต่ปูจำได้ว่าตั้งแต่เข้ามานั่งเหมือนทุกคนจะข้ามขั้นตอนไปหลายอย่าง ไม่มีการจุดธูปเป็นสื่อเพื่อนำวิญญาณเข้าแก้วไปพร้อมควัน ไม่มีการแนะนำตัว หรือทักทายด้วย

“พวกกูเชิญวิญญาณเข้าถ้วยรอมึงไว้แล้ว คำถามก็ถามไปแล้วก่อนมึงมา”

พี่คนที่นั่งตรงข้ามพูด แต่ถ้าปูมองไม่ผิดเหมือนพี่เขาไม่ขยับปากเลยนี่หว่า แล้วเสียงมาจากไหน

แต่เสียงมาจากไหนยังไม่สำคัญเท่าตอนนี้แก้ววิ่งหมุนไปมาเกือบรอบทิศ ปูมองตามแทบไม่ทัน แต่ยังพอจับใจความได้เป็นคำว่า ‘พง’

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว หรือผีจะเรียนไม่สูง ถ้าพงที่ว่าคือส่วนหนึ่งของชื่อ อย่างน้อยน่าจะมีตัวการันต์ด้วยสิ

คิดไปได้แปบเดียวแก้วก็วิ่งพล่านไปทั่วกระดาน ครั้งนี้ปูจับความเร็วทันแล้วอ่านได้เป็นคำว่า ‘หญ้า’

ชักจะยังไงๆ แล้วนะ เด็กหนุ่มลืมความกลัวบรรยากาศไปชั่วขณะ เพราะเมื่อเอาสองคำนี้มารวมกันจะได้เป็นชื่อสถานที่มากกว่าชื่อคน ซึ่ง ‘พงหญ้า’ นี่มันเกี่ยวกับวิญญาณตนนี้อย่างไร

“ที่ตายเหรอครับ”

“ใช่” น่าแปลกที่คราวนี้ดำกลับเป็นคนตอบคำถาม

“มึงถามเหรอ จะเสือกอยากรู้ทำไมวะว่าเขาตายที่ -?!”

ปูกล้าหันไปสวนเพราะคิดว่าเป็นเพื่อน แต่ครั้งนี้ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีอันจุกคอด้วยคำที่เหลือ เมื่อเห็นของเหลวสีเข้มทะลักล้นออกมาจากปากของเพื่อนสนิทพร้อมเสียงไอโขลกเหมือนคนลำสักอากาศ ขณะที่ดำหันหน้ามาใช้ดวงตาว่างเปล่าดำปิดปี๋จ้องเขา

“...!!!”

ปูพูดไม่ออก จะขยับหนีทันทียังทำไม่ได้แม้เสียงในใจจะกรีดร้องดังลั่น เด็กหนุ่มทำได้แค่นั่งเบิกตาค้างจ้องภาพตรงหน้า เห็นเพื่อนสนิทค่อยๆ ขยับทั้งตัวหันมาหา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นรูโบ๋บริเวณกลางลำตัวที่มีเลือดไหลซึมออกมาพร้อมเศษรุ่งริ่งของอวัยวะภายในบางส่วนที่ปลิ้นออกมา

“มึงกลัวกูเหรอ”

แก้วหูของปูลั่นเปรี๊ยะ จู่ๆ ก็หูดับ เกิดสภาวะตื้อตันในหัวพร้อมเสียงวิ้งที่ดังก้องยาวจนเขาไม่รับรู้สุ่มเสียงใด พลอยให้ประสาทสัมผัสอื่นทื่อลงด้วย แม้แขนกับหัวไหล่เริ่มถูกคว้าจับด้วยมืออีกหลายข้างที่รุมเข้ามาก็ยังแทบไม่รู้ตัว อย่างเดียวที่ปูทำได้คือนั่งส่ายหน้า พูดไม่ออก ร้องไม่ได้ สมองที่เคยปราดเปรื่องขัดข้องกะทันหัน

“พวกมึงอย่าแย่งของกู! ไอ้ปูมันเป็นของกู!”

ทันใดนั้นเองที่สรรพเสียงทุกอย่างกลับมาพร้อมการตวาดก้องจนห้องสะเทือน ดำที่เคยมีสภาพครึ่งคนครึ่งไม่ใช่คนโผนไปทางข้าง เข้าโรมรันกับพวกรุ่นพี่ที่เคยนั่งล้อมวงกันอยู่ซึ่งบัดนี้แปรสภาพไปไม่เหลือเค้าความเป็นคนกันหมด

พี่คนที่ปูเคยเห็นนั่งตรงข้ามมีหัวกับหัวไหล่เสี้ยวเดียว มันเว้าแหว่งหายไปคล้ายถูกตัดเฉือนไม่ก็ทับบี้ ขณะที่สายตาเห็นไวๆ ว่ามีอีกคนเหลือแขนข้างเดียว ส่วนอีกคนมีแผลเหวอะหวะจากของมีคมเต็มร่างไปหมด นอกจากนั้นเขาไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงกรีดร้องสลับแทรกด้วยเสียงขู่คำรามเหมือนสัตว์ร้ายกำลังแย่งเหยื่อ

หนี! ต้องหนี!

ปูหอบหายใจ ยกมือขึ้นลูบหน้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อมากมายที่ทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาข่มตาปิดแล้วกัดฟันกลับหลังหัน พยายามเพ่งสติมาที่มือกับจังหวะการหายใจขณะเริ่มคลานสี่ขาให้ไวที่สุดออกไปจากวงล้อม

เด็กหนุ่มไม่กล้าลืมตาในสภาพที่ทั่วตัวมีแต่เสียงร้องกับเสียงโครมครามจากสิ่งของที่ถูกปะทะหรือทุบทำลาย พยายามใช้ประสาทสัมผัสเดาว่าทิศทางที่ถูกต้องคือทางไหนแล้วคลานให้ไว

ในที่สุดมือขวาเขาก็เหยียดไปเจอกับขอบบานไม้ที่น่าจะเป็นประตู ปูกลั้นใจลืมตาขึ้นหวังโหนตัวกับบานไม้แล้วผลักออก นึกไม่ถึงว่าแค่ภาพเริ่มชัดกลับต้องกระเด็นหงายหลังแล้วรีบถอยหนีสุดชีวิต เพราะตรงกลางบานประตูนั้น ใบหน้าสีดำเมื่อมแบบเดียวกับหน้าห้องห้าทับสามปรากฏหราอยู่ แถมครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลูกตาปูดโปน แต่มันยังมีปากที่อ้ากว้างแสยะยิ้มอวดเขี้ยวเรียงรายด้วย

“หึหึหึหึหึหึ”

เสียงดังออกมาจากหน้าดำกับปากที่แสยะยิ้มอยู่ด้านหน้า เป็นจังหวะหนักๆ ช้าๆ ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทอย่างที่สุด

“ไอ้สัตว์! ปล่อยกูนะโว้ย!”

ปูตะโกนด่าสวนแม้จะเกร็งตัวอยู่ให้ห่าง แต่แทนที่มันจะสนใจ ดวงตานั้นกลับเบิกกว่าเก่า มันถลึงตาขู่ใส่เด็กหนุ่มที่กำลังขวัญกระเจิงเพียงพริบตา ก่อนอ้าปากตวัดบางอย่างออกมารัดเข้ากับข้อเท้า ปูก้มมองเพราะสัมผัสเปียกลื่นและสากคายถึงรู้ว่านั่นคือลิ้นสีแดงแจ๋ที่กำลังลากขาเขาเข้าไปหามัน!

“มึงอย่ามาจับกู กูบอกให้ปล่อยไง ไอ้เหี้ย?!”

ปากออกแรงขณะที่กลับหลังพยายามตะกายมือเกาะพื้นชะลอตนเองไม่ให้ถูกลากไปหา แต่ไอ้เวรตะไลนี่แรงเยอะกว่าเขาทั้งที่มีแค่ลิ้น ปูตะเกียกตะกายเอื้อมคว้าได้เพียงความว่างเปล่าจนตอนนี้ปลายรองเท้าล่วงเข้าปากมันไปแล้วข้างหนึ่ง เมื่อไม่มีทางเลือกเด็กหนุ่มจึงเลือกดับเครื่องชน ยกเท้าอีกข้างที่ยังว่างถีบสวนเข้าเต็มเบ้าตาของมันไปเลย

“อ๊าก!!!!”

ลิ้นที่รัดข้อเท้าคลายออกทันควัน ปูรีบดึงเท้ากลับพร้อมดันตัวขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าสัญชาตญานจะซื้อเวลาได้ ตอนนี้เขาไม่สนใจรอบตัวที่ยังโรมรันกันโครมครามแล้ว รีบหันไปคว้าเทียนด้ามหนึ่งจากบนพื้นปาเข้าไปในปากที่ยังอ้ากว้างส่งเสียงร้องโหยหวนทันที

ครั้งนี้เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งดังระงม ใบหน้าดำๆ นั่นบิดเบี้ยวราวกับมันกำลังดิ้นอย่างทุรนทุราย ปูเห็นดังนั้นจึงโถมแรงทั้งหมดพุ่งชนบานไม้ตรงส่วนที่ว่าง กระแทกครั้งแรกก็กระเด็นกลับมา แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยังพุ่งชนซ้ำอีก พุ่งจนถึงครั้งที่สี่บานไม้ทั้งคู่จึงเปิดผาง ส่งร่างที่ไร้สิ่งรองรับลอยหวือลงมากระแทกกับพื้นทางเดินปูนที่เย็นเฉียบดังอั่ก!

หัวไหล่ข้างที่ใช้กระแทกซ้ำๆ นั้นปวดจนชาไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ กระทั่งปูพยายามดันตัวด้วยแขนข้างที่ไม่ถูกทับ จึงรู้สึกได้ถึงอาการร้าวลึกลงไปถึงกระดูก ทั้งยังเจออาการปวดหนึบแล่นจากบริเวณนั้นตรงมาสู่สมอง เพียงขยับก็เสียดจนต้องหยุด เป็นอันรู้ว่าไม่เอ็นฉีกก็คงกระดูกร้าวแน่แล้ว

“มึงจะไปไหน?!”

เสียงตวาดห้าวดังมาปะทะจากด้านหลังจนต้องหันไปมอง ในห้องตอนนี้เหล่าอมนุษย์กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนจับเป็นก้อนกลม หัวตนหนึ่งอยู่ในปากอีกตน แขนขาพันกันยุ่ง รัดร่างตนอื่นไว้บ้าง ถูกตนอื่นดึงกระชากบ้าง แต่พวกมันทุกคนต่างลืมตาอ้าปากจ้องมาที่ปูเป็นตาเดียว

เด็กหนุ่มกลั้นหายใจกลืนน้ำลายกับเสียงร้องลงคอทั้งที่กลัวจับใจ และถือโอกาสในเสี้ยววินาทีที่พวกมันตนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายเอาตัวออกจากกลุ่มก้อนยุ่งเหยิงมาได้เกี่ยวบานไม้ปิดใส่หน้าดังโครม!

ปูไม่รอให้มีอะไรมาเปิด รีบหันไปอีกด้านแล้วออกแรงวิ่งเต็มที่ เป้าหมายของเขาคือบันไดทางลงจากอาคารฝากตะวันออกที่สุดหัวมุม เด็กหนุ่มกำลังจะวิ่งไปถึงแล้วแค่ไม่กี่ก้าว ก่อนจะต้องเบิกตาแล้วหักเลี้ยวหลบมาด้านข้างเพราะประตูห้องข้างหน้าเปิดออกมาพร้อมลำตัวสีดำๆ แดงๆ กับฝ่ามือที่มีกงเล็บยาวโง้ง

สิ่งนั้นฉากตัวมาหวังตะครุบเขาเข้าหา แต่เขาไวกว่าเมื่อวิ่งออกข้าง แม้ทางที่เลือกจะหมายถึงความว่างเปล่านอกราวระเบียงที่ไร้สิ่งรองรับ แต่ปูก็ขอเสี่ยงกับทางนี้ดีกว่าต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอะไรไม่รู้

เด็กหนุ่มคิดแบบนั้นในเสี้ยววินาทีที่ลอยลิ่วลงตามแรงโน้มถ่วง โล่งใจแวบหนึ่งที่เห็นเพียงใบหน้ากับท่อนบนของไอ้สิ่งนั้นชะโงกหน้าข้ามราวระเบียงมามองตาม น่าแปลกที่มันกลับเบิกตาฉีกยิ้มเหมือนชอบใจให้เขาเห็นแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนศีรษะจะฟาดเข้ากับวัตถุแข็งแน่นจนไม่ทันรู้สึกเจ็บ เพราะสติขาดผึงไปในทันที