:: ::

 

 

 

            “ไอ้จี้มึงแม่ง! ทำห่าอะไรวะ”

            รามิลซึ่งนั่งเอนตัวนอนพิงที่เท้าแขนของโซฟาพลางเหยียดขาเล่นไอแพดอยู่ในห้องนั่งเล่นหันไปด่าน้องชายฝาแฝดคนเล็ก ด้วยเหตุจากเจ้าตัวยื่นมือมาจากด้านหลังแล้วกดไลก์ภาพของจันทร์จรัส

            จิรันต์ซึ่งเดินผ่านมาแล้วเห็นว่าพี่ชายกำลังส่องสาวอยู่นั้นได้แต่หัวเราะ ไม่เกรงกลัวกันเลยสักนิด “มึงดูเฉยๆ เขาก็ไม่รู้ว่ามึงสนใจเขาน่ะสิ ก็กดไลก์ไปสักรูปจะเป็นไรไปวะ”

            “กูไม่อยากให้เขารู้ว่ากูส่อง” ชายหนุ่มหน้าบึ้ง

            “ได้ฤกษ์มีแฟนใหม่แล้วเหรอวะ” จิรันต์นั่งลงบนโซฟาอีกด้าน

            “ยัง”

            “ยังไง”

            “ยังจีบอยู่”

            “คนนี้มึงเป็นฝ่ายจีบเองเลยเหรอ ไม่ธรรมดา สวยมากเลยสิท่า” ภาพที่จิรันต์เห็นเมื่อกี้มองไม่ออกจริงๆ เพราะเปื้อนทั้งแป้งและสีเต็มหน้าไปหมด

            “ก็สวย มองแล้วสบายตา บุคลิกน่าเอ็นดู”

            “ขนลุกไปหมดแล้วมึง” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแขนไปมา “พี่มินนี่มีความรัก กูไปบอกหม่อมเรไรดีกว่า”

            “มึงหยุดเลย” รามิลคว้าแขนเสื้อน้องชายที่ทำท่าจะลุกหนี “ถ้ามึงเอาไปบอกหม่อม กูจะบอกว่ามึงชอบ...”

            “เออ! ไม่บอกก็ได้ ขู่กูกันจังเลยนะ”

            “กลัวอะไรหนักหนา” รามิลเลิกคิ้ว

            “กูกลัวว่าหม่อมจะวิ่งไปบอกน่ะสิ ทีนี้คงพังกันหมด”

            “งั้นก็อย่ามาหือกับกู” พี่ชายคนโตยิ้มมุมปาก ท่าทางเป็นต่อนั้นทำให้จิรันต์คันไม้คันมือยิบๆ ไปหมด เวลาคนนิ่งๆ กวนตีนนี่มันจริงๆ เลย

            “กูไปนอนแล้ว ง่วง”

            “รีบนอนทำไม พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่หรือไง”

            “งั้นก็บอกตรงๆ กูแค่เหม็นหน้ามึง” จิรันต์ลุกขึ้น แต่ก็ต้องนั่งลงอีกรอบเมื่อโยธินเดินเข้ามาแล้วทำมือบอกว่าให้นั่งลงก่อน “อะไรวะ”

            “มีกองทุนน่าสนใจ พวกมึงจะซื้อกันไหม” โยธินนั่งลงยังโซฟาเดี่ยวตัวที่ว่างอยู่ ก่อนจะเริ่มพูดถึงกองทุนที่เขาสนใจ

            “มึงซื้อกูก็ซื้อนั่นแหละ” จิรันต์คิดเอาง่ายๆ แบบนี้ตลอด เพราะยังไงพี่ชายคนรองที่ทำงานเกี่ยวกับการเงินก็เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากคิดพิจารณาเองให้ปวดหัว

            “กองไหนขาดทุนก็อย่ามาบ่นกูก็แล้วกัน” โยธินเอ่ยพลางเหล่มองพี่ชายที่หน้าตาไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ที่ดูจะไม่สนใจเหมือนอย่างเคยด้วยความแปลกใจ เลยหันไปสบตากับจิรันต์

            “อยู่ในโหมดจีบสาว”

            โยธินเลิกคิ้ว “ตั้งแต่พี่สาว ป.6 หัวเราะมันที่เอาขนมไปให้ ก็ไม่เคยจีบใครอีกเลยนี่ นึกยังไงถึงได้ลุกขึ้นมาจีบหญิง”

            “ไอ้โยมึงใจร้ายมาก กล้าพูดถึงอดีตอันดำมืดของมันได้ไง” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จิรัตน์ก็หัวเราะนำไปก่อนโยธินเสียอีก

            รามิลซึ่งนึกถึงตอนเป็นเด็กที่ทำให้กลัวผู้หญิงไปพักใหญ่แล้วได้แต่ทำท่าไม่สนใจ เพราะถ้าปล่อยให้ทั้งสองยั่วยุสำเร็จก็จะถูกล้อไม่เลิก

            “มึงนี่มันจริงๆ เลยว่ะ แหย่อะไรก็ไม่สนุก” จิรันต์เบ้ปาก

            “แล้วคนนี้ยังไง สะดุดรักอย่างแรง” คำถามของโยธินทำให้รามิลถูกจ้องไม่เลิก สุดท้ายพี่คนโตได้แต่ถอนหายใจ แพ้ความอยากรู้อยากเห็นของน้องชายทั้งสอง

            “ก็ไม่มีอะไร แค่ชอบ เหตุผลมีแค่นั้น ลองคุยดูแล้วก็คุยกันเรื่อยมา”

            “แล้วเขาเป็นใครวะ” จิรันต์ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงซักถามต่อ “เจอที่ไหน”

            “โรงเรียน เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในห้อง”

            “มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าผัวเขาตายแล้ว”

            รามิลหันไปมองแรงใส่จิรันต์ “เขาเป็นอาของนักเรียน”

            “ส่วนใหญ่ผู้ปกครองก็พ่อแม่เด็กไหมมึง กูผิดตรงไหนเนี่ย” จิรันต์ยิ้มสู้

            “ผิดจรรณยาบรรณครูไหม จีบผู้ปกครองเด็กเนี่ย” โยธินหยอกคนที่หน้านิ่งลงกว่าเดิมด้วยน้ำเสียงขำๆ สีหน้าแบบนี้อาจจะข่มเด็กจนอยู่หมัดได้ แต่กับพวกเขาก็แค่เหมือนมองตัวเองทำหน้าท้องผูกนั่นแหละ แล้วใครมันจะไปกลัว

            “พวกมึงว่างมากเหรอถึงได้มาสนใจเรื่องของกูจัง”

            “ถ้าให้พูดตามตรงก็ว่างน่ะสิวะ” จิรันต์ตอบกลับทันทีและพอสบตากับคนที่กำลังจะอ้าปากพูด ชายหนุ่มที่รู้ทันจึงดักคอขึ้นก่อน “ไม่ต้องไล่กูไปจีบใครเลย กูไม่จีบเว้ย อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว”

            โยธินซึ่งรู้สึกเบื่อแล้ว อยู่ๆ ก็ลุกจากไปดื้อๆ โดยไม่ลา แต่รามิลกับจิรันต์ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร เพราะชินกับนิสัยของคนเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว

           

            รามิลเริ่มได้ยินเด็กๆ พูดกันว่าตัวเองเป็นแฟนกับธุรการคนใหม่ของโรงเรียนอย่างปรายฟ้า เขาเข้าใจว่าดีว่าความคิดของเด็กๆ ที่เห็นคนคุยกันแล้วก็คิดไปเองนั้นมีอยู่ออกจะบ่อยไป เขาไม่ได้ซีเรียสหรือใส่ใจอะไรจนกระทั่งเด็กชายผู้เป็นหลานของจันทร์จรัสมองเขาด้วยความสงสัย

            “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามในระหว่างที่กำลังตรวจการบ้านของเด็กๆ ที่เข้าแถวรอกันอยู่

            “อาจันทร์บอกว่าครูมิลไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ปราย ก็เลยทะเลาะกันครับ อาจันทร์เลยบอกว่าให้มาถามครูมิล”

            ชายหนุ่มฟังแล้วก็หลุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก “แล้วอาจันทร์พูดว่ายังไงบ้างครับ”

            “อาจันทร์ไม่เชื่อ อาจันทร์บอกครูมิลยังโสดครับ”

            “ใช่ครับ ครูยังโสด”

            “อ้าว” รพีพงษ์ทำหน้าตกใจ

            “ครูไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ปราย ช่วยไปแก้ข่าวให้ครูด้วยได้ไหม”

            “ก็...ได้ครับ” อีกฝ่ายทำหน้าเศร้า ซึ่งรามิลก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องเศร้าไปทำไม

            “แก้คำผิดที่คุณครูขีดเส้นใต้ไว้ด้วยนะครับ เขียนใหม่ คำละห้าครั้ง” เขาส่งสมุดภาษาไทยคืนให้กับเจ้าของ ก่อนจะรับเล่มใหม่มาจากเด็กนักเรียนที่เข้าแถวรออยู่ด้านหลัง

            รามิลตรวจการบ้านไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงจึงปล่อยเด็กๆ ลงไปกินข้าวและตัวเขาก็ไปกินที่โรงอาหารพร้อมกับนักเรียน

            ชายหนุ่มเห็นสุนิตินั่งอยู่ที่โต๊ะสำหรับครูอยู่ก่อน เมื่อได้อาหารสำหรับตัวเองแล้วจึงเดินถือไปนั่งข้างๆ เพื่อน และคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ก่อนแล้วนั้นก็มีปรายฟ้ารวมอยู่ด้วย

            เขาเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดีว่ามีใจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถตอบรับผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาจีบ อย่างน้อยๆ ก็ตอบรับแค่คนที่รู้สึกว่าเข้ากันได้จริงๆ

            “ครูมิลคะ วันหยุดยาวสี่วันนี้จะไปเที่ยวทะเลกันค่ะ ครูมิลสนใจไหมคะ” ปรายฟ้าเอ่ยขึ้น “ครูติก็ไปนะคะ”

            ใจจริงรามิลก็อยากนอนขี้เกียจเสียมากกว่า นอนยาวๆ สี่วันรวดไปเลย

            “ไปด้วยกันเถอะมึง” สุนิติหันมาพูด

            ชายหนุ่มมองเพื่อนอย่างรู้ทันว่าจริงๆ แล้วสุนิติแอบชอบปรายฟ้าอยู่หน่อยๆ เพียงแต่ไม่กล้าจีบ เพราะอีกฝ่ายออกตัวค่อนข้างชัดเจนว่าชอบเขา

            “ผมชวนคนอื่นไปด้วยได้ไหมครับ แล้วไปกันกี่วันครับ”

            ปรายฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ชวนใครไปเพิ่มก็ได้ค่ะ แค่บอกปราย เดี๋ยวจะได้จองห้องให้ ค้างกันคืนหนึ่งค่ะ”

            “งั้นก็โอเคครับ”

            หญิงสาวแทบจะเผลอปรบมือด้วยความดีใจ ถึงจะไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มก็เถอะ แต่อย่างน้อยอาจจะได้ใกล้ชิดกันจริงๆ จังๆ เสียที เพราะที่โรงเรียนนั้นหากไม่ใช่เวลาประชุมก็เจอตัวรามิลน้อยมากจริงๆ คราวนี้เธอจึงคาดหวังอย่างเต็มที่

ดังนั้นรามิลจึงขอให้ปรายฟ้าจองห้องพักเพิ่มไว้สำหรับเพื่อนของเขา แต่ไม่ได้บอกไปว่าเป็นใคร และความจริงชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าจันทร์จรัสจะตอบรับคำชวนด้วย

 

            จันทร์จรัสตาโตหลังจากเปิดอ่านข้อความจากรามิล เธอไม่ตอบคำถามในทันที แต่กลับโทรไปหาเพื่อนสนิทก่อน

            “แกสมมุติว่าคุยกับผู้ชายคนหนึ่งมาเกินเดือนแล้ว เขาชวนไปเที่ยวแกจะไปกับเขาไหมวะ”

            “เรื่องของแกเหรอ”

            “เรื่องสมมุติ”

            “ถ้าเรื่องสมมุติก็ไปตั้งกระทู้เล่นๆ ในบอร์ดไป๊”

            หญิงสาวถอนหายใจ “เออๆ เรื่องของเราเอง”

            “ก็แค่นั้นแหละ” เสียงของเพื่อนที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความหมั่นไส้ “เขาชวนแกไปกันสองคนเหรอ”

            “เปล่า มีคนอื่นไปด้วย เขาจะจองห้องนอนให้อีกห้อง”

            “โธ่! งั้นไม่ต้องไปให้เสียเวลาหรอก”

            “ไอ้พู่ แกจริงจังหน่อยดิวะ”

            เพื่อนที่อยู่ปลายสายหัวเราะคิกคัก “เขาดูน่าเชื่อถือหรือเปล่าล่ะวะ ไว้ใจได้แค่ไหน แล้วพวกเพื่อนที่ไปด้วยนี่แกรู้ไหมว่าเป็นยังไง”

            “อ๋อ เพื่อนที่ไปกันเป็นครูทั้งแก๊ง ส่วนเขาเป็นครูของน้องพี”

            “ดูน่าไว้ใจได้นี่ งั้นก็ไปโลดเลยเพื่อน”

            “จะไม่ดูใจง่ายไปเหรอ”

            ใจง่ายอะไรล่ะวะ ผู้ชายทอดสะพานให้ขนาดนี้แล้ว ก็ลองๆ เถอะ มัวแต่อายจนอดแดกไปกี่คนแล้วแกอะ”

            “เราแค่อยากดูนานๆ ก่อนจะคบ”

            “บางทีก็ดูนานไปนะ ผู้ชายที่เคยจีบแก จีบจนเบื่อเลยถูกคนอื่นตกไปก่อนทุกที”

            “...” จันทร์จรัสได้แต่เงียบ เพราะมันก็จริงอย่างที่เพื่อนพูด บางทีท่าทีของเธอคงทำให้หลายคนคิดว่าเธอให้ได้แค่สถานะเพื่อน สุดท้ายเขาก็ไปกับสาวอื่นเสียหมดทุกที

            “ว่าแต่หล่อไหม ขอเบิ่งหน่อย”

            “ก็หล่อนะ” จันทร์จรัสกดส่งภาพรามิลไปให้เพื่อนดู

            “โฮก! หล่อมาก บ้านเราแม่งอยู่ข้างโรงเรียนที่มีครูเป็นร้อย ยังไม่เจองานดีขนาดนี้เลย เสียดายอยู่ไกลกันไปหน่อย ไม่งั้นคงส่งหลานไปเรียนบ้าง จะขยันไปรับทุกวันเลย”

            “พู่ใจเย็น” จันทร์จรัสขัดเพื่อน “เพื่อนพู่มีหลัวแล้วนะคะ”

            เพื่อนซึ่งแต่งงานทันทีหลังเรียนจบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าไว้ใจได้ก็ลองไปดู ไม่เสียหายอะไรหรอก ชอบก็พุ่งใส่เลยก่อนแมวคาบไปกิน”

            เมื่อมีเพื่อนหนุนหลังจันทร์จรัสก็รีบกลับไปตอบข้อความของรามิลทันที จากนั้นจึงเดินลงไปหาพี่ชายซึ่งนั่งสอนการบ้านลูกชายอยู่ที่หน้าระเบียงบ้าน

            “พี่ตะวัน มานี่หน่อย” ตะวันฉายหันไปมองน้องสาวที่ทำท่าเกาะขอบประตูบ้านเป็นจิ้งจก หัวคิ้วขมวดเมื่อน้องสาวทำตัวลับๆ ล่อๆ พลางกวักมือเรียก เขาจึงลุกขึ้นเดินไปหาจันทร์จรัส

            “วันศุกร์นี้พี่ต้องเข้าเวรกลางคืนไหม”

            “ไม่ต้อง”

            “งั้นหนูไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนนะคะ แล้วก็ไปค้างด้วยคืนหนึ่ง”

            “ไปเหอะ ตั้งแต่จบมาก็ไม่ได้ออกไปเจอเพื่อนฝูงเลยนี่”

            “ไม่ถามเหรอว่าเพื่อนคนไหน”

            “พี่ชายไม่ใช่พ่อ เธอโตแล้ว” พอพูดไปแบบนั้นคิ้วของตะวันฉายก็ขมวดเข้าหากันอีกรอบ “ผู้ชายที่ไหนล่ะ บอกไว้หน่อย ถ้าหายไปพี่จะได้ตามตัวถูก”

            จันทร์จรัสยื่นมือไปตีแขนล่ำๆ ของพี่ชายโดยอัตโนมัติ หน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะตอบไปตามความจริง “กับครูมิลของน้องพี”

            พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็เป่าปากเบาๆ “ว่าแล้วเชียว ไอ้ที่เห็นยิ้มกับโทรศัพท์บ่อยๆ ก็คุยกับคนนี้สิท่า”

            “อืม”

            “รู้ว่าไปกับใครก็พอแล้ว พอไปถึงก็รายงานพี่หน่อยว่าถึงแล้ว ตอนจะกลับก็ด้วย”

            “โอเคค่ะ” จันทร์จรัสยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริก่อนจะเดินตัวลอยๆ จากไป ทิ้งให้พี่ชายมองแล้วยิ้มขำอาการโลกเป็นสีชมพูของน้องสาว