2 ตอน :: ๑ ::
โดย ที่รักของพระจันทร์
:: ๑ ::
ครูประจำชั้นที่ยังคงหนุ่มแน่น วัยประมาณสามสิบยกมือขึ้นรับไหว้หญิงสาวซึ่งแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมาเป็นตัวแทนบิดาของนักเรียน เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสุภาพกับเธอ
“เชิญนั่งก่อนครับ” ก่อนหันไปพูดกับนักเรียนของตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ติดจะเคร่งขรึม “ส่วนรพีพงษ์นั่งทำการบ้านต่อก่อนครับ ครูมีเรื่องจะคุยกับผู้ปกครองของเธอ”
จันทร์จรัสสังเกตเห็นว่าหลานผู้แสนซุกซนรีบปฏิบัติตามทันทีจนน่าขำ ท่าทางคุณครูตรงหน้าจะไม่ใช่ครูที่ใจดีกับนักเรียนสักเท่าไหร่ละมั้ง ว่าแต่โรงเรียนคิดยังไงนะ ถึงเอาเขามาสอนเด็ก ป.1 แบบนี้
หญิงสาวนั่งลงยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของครูหนุ่ม เธอหลุบมองป้ายชื่อบนโต๊ะถึงได้ทราบว่าอีกฝ่ายชื่อครูรามิล
“ที่ผมเชิญผู้ปกครองให้มาวันนี้ เพราะมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้ทราบและต้องการขอความร่วมมือครับ เนื่องจากตามข้อมูลของนักเรียน ผมทราบว่าพ่อกับแม่ของเด็กหย่าขาดจากกันและเด็กนักเรียนอยู่กับแม่ ซึ่งตอนนี้คุณทราบไหมครับว่าแม่ของนักเรียนมีสามีใหม่”
“พอจะทราบค่ะ”
“เท่าที่ลองสอบถามจากรพีพงษ์ คนนี้เพิ่งคบหากันได้ไม่เกินเดือนครับ” ชายหนุ่มแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม
จันทร์จรัสตาโต “เปลี่ยนอีกแล้วเหรอคะ” บอกตามตรงเธออัปเดตสามีใหม่ของอดีตพี่สะใภ้ไม่ทันจริงๆ
“ครับ” สีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความหนักใจ “ความจริงจะเปลี่ยนสามีใหม่สักกี่คนก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่กับคนนี้ดันมีปัญหาขึ้นมาน่ะครับ”
คนฟังเริ่มใจไม่ดี เธอแน่ใจว่าปัญหาต้องเกิดจากพ่อเลี้ยงคนใหม่ของหลานอย่างแน่นอน แต่มันจะร้ายแรงแค่ไหนนี่สิ คือสิ่งที่เธอกลัว
“ช่วงที่ผ่านมารพีพงษ์ไม่ค่อยทำการบ้านมาส่งครับ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นเด็กขยันเรียนดี ส่งงานตรงเวลาและทำงานเรียบร้อย จากที่เคยสอบถาม เขาบอกว่าพ่อเลี้ยงคนก่อนเป็นคนสอนการบ้านให้”
จันทร์จรัสแทบจะไม่รู้จักกับผู้ชายเหล่านี้เลย เพราะตั้งแต่เลิกกับตะวันฉายกุลสินีก็เปลี่ยนคนคบไปเรื่อยๆ พี่ชายของเธอพยายามจะขอลูกชายมาเลี้ยงเองอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ใช้ความเป็นแม่มาอ้างสิทธิ์ในการเลี้ยงดูอยู่ตลอด อีกทั้งยังคอยขอเงินอดีตสามีอยู่ไม่ขาด ทำให้ตะวันฉายต้องทำทั้งงานหลักและงานเสริมจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ส่วนหนึ่งต้องส่งเงินให้เมียเก่าเอาไปเลี้ยงลูก อีกส่วนก็ส่งเธอเรียน
“แต่ตอนนี้งานที่มีส่งส่วนใหญ่มักจะเลอะเทอะ ไม่ก็ขาดหรือยับไปหมด ผมถึงคิดว่ามันไม่ปกติ เลยลองพยายามสอบถามจากรพีพงษ์ดู เขายอมบอกกับผมว่ามักถูกพ่อเลี้ยงเข้ามาตบหรือตีเวลาที่เห็นเขาทำการบ้าน เขาก็เลยไม่อยากทำ”
สิ่งที่ออกจากปากครูประจำชั้นของหลานทำให้จันทร์จรัสเกือบช็อก “คุณครูได้แจ้งเรื่องนี้กับแม่ของเด็กหรือยังคะ เขาปล่อยให้ลูกโดนทำร้ายได้ยังไงคะ”
“ยังครับ เพราะรพีพงษ์บอกว่าตอนถูกพ่อเลี้ยงเตะ แม่ก็อยู่ด้วยครับ แต่แม่ไม่ได้ห้าม”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันพาหลานไปอยู่ที่บ้านเลยได้ไหมคะ ฉันไม่อยากให้หลานอยู่กับแม่ของเขาแล้วค่ะ” จันทร์จรัสน้ำตาคลอ
“วันนี้ผมพารพีพงษ์ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมาแล้วครับ ส่วนก่อนหน้านั้นผมบันทึกภาพตอนที่ตัวเองสอบถามเกี่ยวกับรอยช้ำหลายๆ รอยบนตัวกับบันทึกรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของนักเรียนไว้แล้วครับ ผมจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดนี้แล้วนำไปให้ที่มูลนิธิซึ่งทำงานด้านพิทักษ์สิทธิเด็ก”
“ขอบคุณค่ะ”
“วันนี้คงต้องรบกวนให้คุณเข้าไปแจ้งกับทางมูลนิธิด้วยกันครับ”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ ฉันจะทำทุกอย่างเลยค่ะ ให้น้องพีไม่ต้องกลับไปอยู่กับคนพวกนั้นอีก”
“งั้นไปกันเลยครับ เดี๋ยวผมขับรถไปให้”
จันทร์จรัสพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปหาหลานชายที่กำลังมองมาด้วยความสงสัยว่าทำไมอาของตัวเองถึงร้องไห้
“อาจันทร์ถูกครูมิลดุเอาเหรอ” เด็กชายกระซิบถามเสียงเบาพลางแอบเหลือบมองครูประจำชั้นแวบหนึ่ง
คนถูกถามแม้จะรู้สึกสะเทือนใจอยู่ แต่ก็อดยิ้มกับคำถามไร้เดียงสาของหลานไม่ได้ “เปล่าครับ” เธอช่วยเด็กชายเก็บอุปกรณ์การเรียน “อาร้องไห้เพราะดีใจมากๆ ที่ได้เจอน้องพีครับ”
“งง ดีใจต้องหัวเราะไม่ใช่เหรอครับ”
คำพูดไร้เดียงสาของหลานทำเอาจันทร์จรัสยิ่งสะเทือนใจและรู้สึกผิดที่ไม่ใส่ใจหลานมากเท่าที่ควร หากครูประจำชั้นอย่างรามิลไม่ใช่คนใส่ใจเด็กนักเรียนของตัวเองแบบนี้ หลานชายของเธอจะต้องทนถูกทำร้ายไปอีกนานแค่ไหนกว่าที่คนอื่นๆ จะรู้เรื่อง
เมื่อตะวันฉายรู้เรื่องที่เกิดกับลูกชายตัวเองและเห็นรอยช้ำบริเวณลำตัวใต้ร่มผ้า ชายหนุ่มท่าทางดุดันหน้าตาขึงขังก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อายใคร ทั้งน้องสาวและครูประจำชั้นที่พาลูกชายของเขามาส่งถึงบ้าน หลังจากพากันไปแจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลคุ้มครองเด็กผู้ถูกกระทำความรุนแรง
แน่นอนว่าหลังจากที่กุลสินีรู้เรื่องก็โวยวาย แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเรื่องนี้ถึงตำรวจแล้ว เจ้าตัวเลยได้แต่เงียบ ส่วนทางตะวันฉายยังไงก็พร้อมเอาเรื่องอดีตภรรยากับสามีใหม่จนถึงที่สุด อีกทั้งยื่นฟ้องศาลขอเปลี่ยนสิทธิ์ผู้ดูแลบุตรจากมารดาเป็นบิดา
และจนกว่ากระบวนการทั้งหมดจะสิ้นสุดลง ตะวันฉายจึงขอให้จันทร์จรัสทำหน้าที่ไปรับส่งหลานชายทั้งเช้าเย็นที่โรงเรียน ดังนั้นเธอจึงมักได้เจอรามิลซึ่งพาเด็กชายเดินออกมาส่งจนถึงมือผู้ปกครองทุกวัน รวมทั้งมักได้พูดคุยกันผ่านข้อความอยู่บ้าง เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านของเด็กชาย
“อาจันทร์หนูไม่ต้องกลับบ้านไปอยู่กับแม่แล้วเหรอ” รพีพงษ์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่นั่งเล่นเกมดึงแท่งไม้อยู่กับคนเป็นอา
“น้องพีคิดถึงแม่เหรอ”
เด็กชายพยักหน้า “หนูคิดถึงแม่”
“คิดถึงมากไหม” จันทร์จรัสเจ็บแปลบในอก ลูกชายรักคนเป็นแม่ขนาดนี้ แต่กุลสินีก็ยังใจร้าย ทนมองใครก็ไม่รู้มาทำกับลูกของตัวเองได้ลงคอโดยไม่ช่วย
“คิดถึงไม่เยอะหรอก แค่นี้” รพีพงษ์ทำมือเหมือนถือลูกบอลเล็กๆ อยู่ในมือ
“แล้วน้องพีดีใจไหมที่ได้กลับมาอยู่กับพ่อ”
“ดีใจครับ ถึงพ่อจะดุเหมือนครูมิล” จันทร์จรัสแอบหัวเราะเล็กน้อย แต่จริงๆ เธอรู้ว่ารามิลไม่ได้ดุ แค่ดูขรึมไปหน่อยจนเด็กกลัวไปเอง “แต่พ่อไม่ตี แล้วก็ไม่ว่าที่น้องพีเล่นตุ๊กตาบาร์บี้”
“ใครว่าเหรอ เวลาน้องพีเล่นตุ๊กตาบาร์บี้”
“แม่ว่า ลุงก็ว่า” จันทร์จรัสเดาว่าลุงที่พูด คงหมายถึงพ่อเลี้ยงนั่นแหละ “แม่บอกห้ามเล่นมันเหมือนตุ๊ด ลุงก็ว่าแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็เตะเอาด้วย ตุ๊กตาตัวที่เพื่อนหนูให้มาลุงก็เอาไปทิ้ง”
ทั้งจันทร์จรัสและตะวันฉายไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่หลานชายชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ เลยซื้อมาให้หลานเล่นอยู่หลายตัวเลยทีเดียว อีกทั้งหญิงสาวก็ช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าตัวเล็กๆ ไว้สำหรับเปลี่ยนให้กับหลานชายด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นยังไงพวกเขาก็พร้อมจะรักและสนับสนุนให้เด็กชายโตขึ้นอย่างมีความสุข
แต่ในความคิดของจันทร์จรัส ตุ๊กตาบาร์บี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว เด็กผู้ชายจะเล่นบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่คนเรามักจะกำหนดบทให้กับเด็กๆ กันไปเอง
จันทร์จรัสหันไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาที่เด็กชายต้องเข้านอน “น้องพีสามทุ่มแล้ว คืนนี้นอนคนเดียวนะครับ พ่อน้องพีต้องไปเข้าเวร”
รพีพงษ์รีบเก็บของเล่นทันที เพราะหากเป็นเด็กดี เข้านอนตรงเวลามักจะได้รางวัลประจำสัปดาห์ที่คนเป็นพ่อตั้งไว้ แต่ก่อนจะนอนก็นึกขึ้นมาได้ว่า “หนูยังไม่ได้จัดตารางสอนเลย” พอนึกได้เด็กชายก็กระวีกระวาดจัดหนังสือตามตารางสอนใส่ในกระเป๋านักเรียนทันที
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงพาหลานชายไปเข้านอนที่ห้องของตะวันฉายซึ่งอยู่ชั้นล่าง ส่วนตัวเองขึ้นไปเอาโน้ตบุ๊กลงมาทำงานที่ห้องนั่งเล่น
เนื่องจากตอนนี้ยังต้องดูแลหลานชายอย่างใกล้ชิด จันทร์จรัสจึงพับโครงการหางานประจำทำไปก่อน แล้วหันมาทำงานซึ่งเคยทำเป็นงานพิเศษสมัยเรียนอย่างจริงจังมากขึ้น
จันทร์จรัสเปิดไฟล์นิยายที่นักเขียนส่งเข้ามาให้พิสูจน์อักษรและจัดรูปเล่มสำหรับพิมพ์ แต่ในบางครั้ง นักเขียนบางคนก็จ้างแบบครบจบทุกอย่างที่เธอ ทั้งออกแบบชื่อเรื่องและออกแบบปกด้วย แต่ปกที่เธอทำนั้นจะเป็นปกแบบกราฟิก เพราะไม่ได้ถนัดการวาดรูปจนถึงขั้นสามารถวาดปกนิยายได้
ในระหว่างที่กำลังใช้โปรแกรมสำหรับจัดเนื้อหานิยายสำหรับพิมพ์รูปเล่มอยู่เพลินๆ เสียงข้อความก็ดังขึ้น ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกค้า แต่โพรไฟล์รูปหนังสือเรียนภาษาไทยแก้วกล้าซึ่งถูกยกเลิกไม่ให้ใช้ไปนานแล้วนั้นทำให้เธอเผลอยิ้ม
รามิล : ทำงานอยู่หรือเปล่าครับ
จากที่ติดต่อพูดคุยกันเรื่องของหลานชาย พอเริ่มรู้สึกสนิทกันมากขึ้นเล็กน้อยก็เริ่มแบ่งปันเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟัง ดังนั้นรามิลจึงรู้ว่าเธอชอบอยู่ทำงานตอนกลางคืนจนดึก
จันทร์จรัส : ทำค่ะ แต่คุยได้นะคะ
พอส่งข้อความไปแล้ว จันทร์จรัสก็คิดว่ารามิลจะแอบคิดว่าเธอดูอยากคุยกับเขามากเกินไปหรือเปล่า
รามิล : ไม่ใช่ว่าต้องใช้สมาธิเยอะเหรอครับ เวลาพิสูจน์อักษร
จันทร์จรัส : ตอนนี้ทำปกให้ลูกค้าค่ะ เลยคุยได้
จันทร์จรัสปิดไฟล์งานจัดหน้านิยายลง แล้วเปิดโปรแกรมออกแบบปกขึ้นมาแทน ก่อนถ่ายรูปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เห็นแค่ปกบางส่วนให้ชายหนุ่มดูเป็นการยืนยันว่าเขาไม่กวนการทำงานของเธอจริงๆ
รามิล : วาดปกเองเหรอครับ
จันทร์จรัส : วาดได้ค่ะ แต่วาดไม่เก่ง วาดได้แค่ง่ายๆ ส่วนใหญ่เลยทำปกกราฟิก ซื้อลิขสิทธิ์ภาพมาดัดแปลงทำเป็นปกให้ลูกค้าค่ะ
รามิล : ช่วงนี้งานเยอะไหมครับ
จันทร์จรัส : ถือว่าไม่เยอะ แต่มีมาเรื่อยๆ ให้พอชื่นใจค่ะ แต่ถ้าเรื่องน้องพีโอเคลงตัวจนหายห่วงเมื่อไหร่ก็จะหางานประจำทำค่ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพี่ตะวันได้มากกว่านี้ ส่วนตรงนี้ก็เป็นงานเสริม
รามิล : เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ พี่ชายต้องภูมิใจ
จันทร์จรัส : พี่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงค่ะ 555
รามิล : บางทีผมก็อยากมีน้องสาวบ้างนะ น่าจะน่ารักดี
จันทร์จรัส : ครูมิลมีแต่น้องชายเหรอคะ
รามิล : ครับ เป็นฝาแฝด 2 คน
จันทร์จรัส : เคยแอบอยากมีฝาแฝดเหมือนกันนะคะ คงสนุก
รามิล : อย่าเลยครับ มันไม่สนุกอย่างที่คิดหรอก
จันทร์จรัส : อ้าว
รามิล : เบื่อเรื่องทักผิดละหนึ่ง แล้วตอนเด็กๆ อยู่บ้านก็ยิ่งวุ่นวาย แย่งกันกินอย่างกับหมู
จันทร์จรัส : เดี๋ยวนะคะ ไหนว่าครูมิลมีน้องฝาแฝด?
รามิล : ครับ พวกผมเป็นแฝดสาม
จันทร์จรัส : มีคนหล่อแบบนี้สามคนเลยเหรอคะ อะเมซิ่งมากค่า
รามิล : ขอบคุณที่ชมครับ
รามิลตอบกลับมาแบบนั้น จันทร์จรัสก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหลุดพิมพ์อะไรออกไป น่าอายจริงๆ เลย แต่ว่าชายหนุ่มก็หล่อจริงๆ น่าจะมีคนอื่นชมเขาเยอะแยะแล้ว เธอชมอีกคนเขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง
รามิล : ผมไม่กวนแล้วครับ
จันทร์จรัส : ฝันดีค่ะครูมิล
จันทร์จรัสใจเต้นเล็กๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอบอกฝันดีก่อนจะจบบทสนทนา แอบหวังว่าเขาจะตอบฝันดีกลับมา เพราะเวลาคุยทางข้อความ เธอไม่รู้สึกว่ารามิลเคร่งขรึมเหมือนตัวจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มออกจะน่ารัก
รามิล : ฝันดีครับ
“โอ๊ยๆ ฝันดี” หญิงสาวมองข้อความสุดท้ายแล้วก็ใจเต้นแรงกว่าเดิม เธอไม่ได้คิดไปเองคนเดียวหรอกใช่ไหม ตอนนี้คือถูกจีบแล้ว!
Comments (0)