:: ::

 

                       

            ภายในบ้านหลังขนาดปานกลาง ซึ่งอยู่เกือบท้ายซอย ยามเช้าของทุกคนในครอบครัวนั้นค่อนข้างวุ่นวายและเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อนจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้

            “หม่อมเรไรตื่นยังวะ” ชายหนุ่มซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดคนโตสุดที่มาถึงโต๊ะอาหารเป็นคนแรก รามิลส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับน้องชายฝาแฝดคนกลางที่เป็นเวรทำอาหารของสัปดาห์นี้

            โยธินถอนหายใจ “เหลวไหลจริง แม่ใครวะ”

            “แม่มึงไง” จิรันต์น้องฝาแฝดคนเล็กสุดที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ยินเข้าพอดี จึงเอ่ยปากโต้ตอบกลับไปทันที

            “ปล่อยไปเถอะ สงสัยคาบแรกน่าจะว่างละมั้ง เลยไม่รีบ” มารดาของฝาแฝดทั้งสามนั้นก็เป็นครูเช่นเดียวกับพี่ชายคนโต หลังจากสามีเสียไปตอนที่ลูกๆ อายุได้แค่สิบขวบก็เลี้ยงดูทั้งหมดมาเพียงลำพัง ไม่ยอมมีสามีใหม่ ปัจจุบันเกษียณอายุราชการเรียบร้อยแล้วในวัยหกสิบปี ทว่าทางโรงเรียนก็ยังขอจ้างต่อด้วยเงินที่ไม่มากนัก เรไรเห็นว่าอยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อจึงยังคงขอทำหน้าที่ที่ตัวเองรักเหมือนเดิม

            พ่อครัวประจำสัปดาห์ตักข้าวต้มส่งให้กับพี่ชายและน้องชายฝาแฝดซึ่งหน้าคล้ายกันมากอย่างกับแกะ แต่ถ้าเป็นคนใกล้ชิดก็แยกออกไม่ยาก เพราะทั้งแววตาและน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

            ตั้งแต่เล็กจนโตทั้งสามคนต้องกินมื้อเช้าด้วยกันเสมอ และคนทำก็คือเรไรมารดาของพวกเขา แต่เมื่อโตขึ้นก็กลายเป็นแบ่งเวรกันทำคนละสัปดาห์เพื่อลดภาระของคนเป็นแม่ และเป็นแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะต้องออกไปทำงานกันแต่เช้าแค่ไหน

            ในระหว่างที่กำลังก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้ากันอยู่นั้น เสียงหาวด้วยความง่วงงุนก็ดังมาก่อนที่ตัวจะปรากฏเสียอีก

            “อรุณสวัสดิ์จ้า ลูกหมูสามตัวของแม่” เรไรส่งยิ้มหวานให้กับลูกชายทั้งสามคนที่เป็นเหมือนของขวัญในชีวิตที่เธอแสนภูมิใจ โยธินรีบลุกขึ้นไปตักข้าวต้มให้กับคนเป็นแม่ “โตกันหมดแล้ว แถมหล่ออีกต่างหาก เจอเพื่อนคนไหนของแม่ก็มีแต่คนอยากได้เป็นลูกเขย”

            ทั้งสามคนมองสบตากันทันที พูดเรื่องโตขึ้นมาทีไร...

            “เมื่อวานเพื่อนแม่แจกการ์ดงานแต่งลูกชายอีกแล้ว ลูกเขาอายุแค่ยี่สิบห้าเอง แต่ลูกชายแม่อีกไม่กี่เดือนก็จะสามสิบเต็มกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่มีลูกสะใภ้ให้แม่สักคน”

            “แม่ครับ แม่เป็นครูภาษาไทยไม่ใช่เหรอ” จิรันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงในเชิงหยอกเย้า “ช้าๆ ได้เมียงามๆ น่ะแม่เคยได้ยินไหม”

            เรไรขมวดคิ้วทันที “แม่ว่าไม่มีนะ สุภาษิตบทนี้เนี่ย”

            จิรันต์หัวเราะ “รีบมากไป ไม่ดูให้ดี ได้ลูกสะใภ้ชวนปวดหัวมาจะทำยังไงล่ะครับ”

            “เฮ้อ!” เรไรถอนหายใจ “แม่อยากมีหลานแล้วนะ อยากอุ้มเด็กตัวนุ่มๆ”

            “อุ้มเด็กที่โรงเรียนไปก่อนนะครับ” โยธินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “แล้วก็รีบกินข้าวด้วยครับ จะได้อาบน้ำไปทำงาน เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”

            รามิลซึ่งนั่งฟังมารดากับน้องๆ คุยกันอยู่เงียบๆ แอบหัวเราะอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่บทบาทพวกนี้มันถึงได้สลับกันไปแล้ว กลายเป็นน้องชายของเขาต้องคอยเตือนไม่ให้คนเป็นแม่ไปโรงเรียนสาย        

            “ผมไปก่อนนะครับแม่” แม้ว่าทางไปโรงเรียนของรามิลจะเป็นทางเดียวกับโรงเรียนของคนเป็นแม่ แต่เพราะเดี๋ยวนี้เรไรมักไม่รีบร้อนไปโรงเรียนแต่เช้า เขาจึงรอไม่ได้ จำต้องปล่อยให้มารดาขับรถไปเอง

             

            ครูหนุ่มมักมาโรงเรียนซึ่งอยู่แถบชานเมืองแต่เช้าเสมอ ทว่าบางทีก็มีนักเรียนที่มาเช้ากว่า เนื่องจากผู้ปกครองมีภาระหน้าที่ในการทำงานแต่เช้า จึงจำใจต้องส่งบุตรหลานให้ถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ไปด้วย

            “ครูมิลสวัสดีครับ”

            “สวัสดีครับ”

            เด็กชายตัวน้อยกระวีกระวาดหยิบสมุดการบ้านมาวางบนโต๊ะของเขาทันที “การบ้านครับ”

            “ดีมากครับ”

เมื่อส่งการบ้านแล้วนักเรียนของเขาก็รีบออกไปทำเขตทำความสะอาด ไม่อยู่เล่นกันจนเสียงดังเหมือนเด็กห้องอื่นๆ ที่ครูประจำชั้นยังไม่มา

            นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 3 มีด้วยกันทั้งหมด 25 คน นับว่าค่อนข้างมากสำหรับการสอนให้ทั่วถึง แถมยังเป็นเด็ก ป.1 ที่ยังไม่ค่อยประสีประสา

ตอนลงมาสอนประจำชั้นนี้ใหม่ๆ รามิลก็ไมเกรนขึ้นวันละหลายรอบ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เด็กอ่านออกเขียนได้ เนื่องจากเขาจบเอกคณิตศาสตร์มาโดยตรง แต่ยังดีที่ข้างห้องเป็นครูที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานจึงคอยให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ชายหนุ่มจึงผ่านความยากเย็นของเมื่อปีก่อนมาได้อย่างราบรื่น พอมาปีนี้จึงเริ่มจับทางได้แล้ว

            เมื่อรามิลเห็นว่ามีเด็กนักเรียนเริ่มมากันหลายคนแล้วจึงลุกขึ้นไปดูเขตทำความสะอาดของห้องเรียน ภาพตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เพราะเด็กนักเรียนห้องเขากำลังใช้ไม้กวาดต่างดาบแล้วเข้าห้ำหั่นกัน ส่วนคนดูก็หัวเราะชอบใจ

            แต่เมื่อมีคนสังเกตเห็นเขาเข้าก็วงแตกทันที “ครูมิลมา!

            “อานนท์กับบรมวุฒิ เย็นนี้อยู่ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติมก่อนกลับบ้านนะครับ” รามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ส่วนเด็กชายทั้งสองต่างก็หน้าจืดเจื่อนไปตามๆ กัน “แล้วก็รพีพงษ์ด้วย โทษฐานเป็นยาม”

            “อะไรครับครูมิล ผมไม่ได้เล่นกับพวกเขาสักหน่อย” เด็กชายโวยวาย

            “ครูเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เวลามีเพื่อนทำเรื่องไม่ดีให้บอกครู ไม่ใช่สนับสนุน เธอทำตัวเป็นต้นทางบอกเวลาครูมาก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิด”

            เด็กชายรพีพงษ์รีบหุบปากนิ่งเมื่อถูกมองด้วยสายตาดุๆ ก่อนก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้ต่ออย่างขยันขันแข็ง

            รามิลยืนคุมเด็กๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเหลือแค่เพียงเก็บกองใบไม้ใส่ถังขยะ ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นไปที่ห้องเรียนเพื่อใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ตรวจการบ้านให้กับเด็กๆ

            เขาหยิบเอาตราปั๊มลายการ์ตูนที่มารดาสั่งทำให้มาใช้แทนการเซ็นด้วยปากกา คนเป็นแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการสอนเด็กเล็กชั้นประถมมาตลอดอายุการทำงาน แนะนำว่าเด็กๆ ชอบและภูมิใจเวลาได้อะไรแบบนี้มากกว่าลายเซ็น

ดังนั้นตราปั๊มของเขาจึงเป็นภาพครูมิลยิ้มสามระดับ ยิ้มมากก็สามดาว ยิ้มน้อยหน่อยสองดาว หน้านิ่งคือหนึ่งดาว และหน้าปากคว่ำทำมาใหม่ แต่อันสุดท้ายเขายังไม่เคยได้ใช้เลย มันจึงไม่มีรอยเปื้อนหมึก

           

            เมื่อจันทร์จรัสต้องเดินทางมารับมาส่งหลานชายทุกวัน พี่ชายจึงซื้อรถมอเตอร์ไซค์สีเขียวมินต์คันหนึ่งให้เธอไว้ใช้รับส่งรพีพงษ์ และใช้ขับขี่ไปไหนมาไหนเพื่อความสะดวก จะได้ไม่ต้องจ้างรถรับจ้าง

            หญิงสาวได้รับไลน์จากรามิลว่าหลานชายต้องอยู่ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม เธอจึงมารับช้ากว่าเวลาเลิกเรียนประมาณหนึ่งชั่วโมงได้

            เนื่องจากเด็กนักเรียนกลับกันไปหมดแล้ว ยามที่หน้าโรงเรียนจึงอนุญาตให้เธอขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปด้านในได้เลย จันทร์จรัสจึงขี่เข้าไปอย่างช้าๆ จนถึงหน้าตึกเรียนของหลานชาย เธอสวนกับผู้ปกครองคนอื่นพอดีและได้ยินเสียงคนเป็นแม่บ่นลูกชายว่าซนไม่มีใครเกิน

            จันทร์จรัสโผล่หน้าเข้าไปภายในห้องเรียนซึ่งตอนนี้เหลือเพียงหลานชายของเธอ รามิลซึ่งนั่งก้มหน้าทำงานอยู่เงยขึ้นมาเจอเธอเข้าพอดี

            “สวัสดีค่ะครูมิล” จันทร์จรัสยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่มตามมารยาท

            “สวัสดีครับ” ครูหนุ่มทักทายเธอก่อนจะหันไปพูดกับนักเรียนของตัวเอง “กลับบ้านได้แล้วครับ”

            หญิงสาวเดินเข้าไปหาหลานเพื่อช่วยเก็บของ เด็กชายมีท่าทางกระฟัดกระเฟียด หยิบนั่นหยิบนี่แรงๆ แถมหน้าตาก็หงิกงอจนจันทร์จรัสนึกอยากจะหยิกแก้มสักทีสองทีเพื่อเรียกสติคนที่กำลังงอนครูของตัวเอง เธอรู้เพราะรามิลแจ้งเหตุผลในการกักตัวหลานของเธอเอาไว้แล้ว

            หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย จันทร์จรัสจึงจูงมือหลานชายไปหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของรามิล สะกิดเบาๆ ว่าต้องทำอะไรก่อนกลับ

            “สวัสดีครับครูมิล”

            “สวัสดีครับ กลับไปอย่าลืมทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ด้วยนะครับ” รามิลเอ่ยกับเด็กชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียบร้อยแล้วจึงหันมาพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “การบ้านวันนี้ขึ้นเรื่องใหม่นะครับ อาจจะยากไปสักหน่อยสำหรับเด็กเพราะเป็นโจทย์ปัญหา อยากรบกวนผู้ปกครองอย่าเฉลยและบอกวิธีทำนะครับ ทำผิดมาก็ไม่เป็นไร ผมจะได้รู้ว่านักเรียนเขามีปัญหาไม่เข้าใจตรงจุดไหน”

            “ได้ค่ะ เดี๋ยวจะแค่ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ค่ะ”

            “ขอบคุณครับ” รามิลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

            “งั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ” จันทร์จรัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ ก่อนจะหมุนตัวพาหลานชายเดินออกจากห้องเรียนเพื่อกลับบ้าน โดยมีสายตาของรามิลมองตาม

 

            จันทร์จรัสชวนให้หลานชายมาช่วยกันล้างจานหลังกินข้าวอิ่มแล้ว เด็กชายขึ้นยืนบนเก้าอี้นั่งขาสั้น เพื่อให้สูงพอจะช่วยล้างน้ำเปล่า

            “น้องพีหายงอนครูมิลหรือยัง”

            รพีพงษ์หันไปมองอาของตัวเองแล้วส่ายหัว “ยังครับ”

            “แต่น้องพีก็ทำผิดจริงๆ ไม่ใช่เหรอ”

            “แต่หนูไม่ได้เล่นสักหน่อย”

            “สมมุติว่าถ้าเพื่อนเล่นเอาไม้ตีกันแบบนั้นแล้วพลาดโดนตา โดนหัว จนหัวปูดหัวโนล่ะ น้องพี่จะรีบไปบอกครูมิลไหม”

            “ก็ต้องรีบไปบอกครับ”

            “แล้วทำไมน้องพีต้องรอให้เพื่อนเจ็บก่อนล่ะครับถึงค่อยไปบอกครูเขา” รพีพงษ์นิ่งไป ค่อยๆ คิดตามสิ่งที่จันทร์จรัสพูดแล้วก็เถียงไม่ออก “แล้วแบบนี้น้องพีจะหายงอนครูมิลได้หรือยังครับ”

            “เฮ้อ! ไม่งอนแล้วก็ได้ครับ”

            จันทร์จรัสอมยิ้มพลางส่งจานชามให้กับหลานชายล้างน้ำสะอาด ก่อนจะช่วยกันคว่ำจานไว้บนที่คว่ำจาน จากนั้นก็ปล่อยให้หลานชายนั่งทำการบ้านอยู่กับบิดาซึ่งวันนี้ไม่ต้องไปเข้าเวร และไม่ลืมกำชับกับตะวันฉายว่าอย่าเฉลยการบ้านให้ลูกชายฟัง ส่วนเธอขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อทำงานให้กับลูกค้า ในระหว่างที่รอโน้ตบุ๊กเปิดก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหารามิล

 

            จันทร์จรัส : น้องพีหายงอนครูมิลแล้วนะคะ

           

            พอส่งข้อความเรียบร้อยแล้ว จันทร์จรัสก็วางโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ตอบกลับมาในทันที เธอจึงเดาว่าเขาเองก็อาจจะนั่งทำงานอยู่เหมือนกัน

            จันทร์จรัสนั่งทำงานของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ถึงมีเสียงข้อความตอบกลับมา พอเห็นว่าเป็นชื่อของรามิลจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านทันที ชายหนุ่มส่งสติกเกอร์รูปตัวการ์ตูนแมวน้ำสีขาวสุดน่ารักทำท่าดีใจมาหนึ่งตัว หญิงสาวจ้องตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะมานั่งซื้อสติกเกอร์ลายน่ารักอะไรแบบนี้ด้วย

           

            จันทร์จรัส : สติกเกอร์น่ารักจังเลยค่ะ อยากได้บ้าง

           

            พอพิมพ์เล่นๆ ไปแบบนั้น เพียงแค่อึดใจเดียวรามิลก็ส่งสติกเกอร์ของขวัญที่เป็นแบบเดียวกับเขามาให้ จันทร์จรัสจ้องมันตาไม่กะพริบ ก่อนจะพิมพ์คำว่าขอบคุณกลับไป แต่ก็ไม่วายแกล้งชายหนุ่มกลับด้วยการส่งภาพชุดสติกเกอร์อีกหลายชุดที่เธอยากได้

 

            จันทร์จรัส : อันนี้ก็อยากได้ค่ะ อันนี้ด้วย อันนี้ก็น่ารักนะคะ อยากได้ทุกอันเลยค่ะ

           

            พอรามิลส่งสติกเกอร์รูปน้องแมวน้ำสีขาวถือเงินอยู่ไม่กี่บาทกับหน้าตาน่าสารกลับมา จันทร์จรัสก็หัวเราะลั่นแล้วส่งรูปแมวน้ำสีขาวสองตัวที่กำลังกอดให้กำลังใจกันกลับไป

            จันทร์จรัสคุยกับรามิลไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทำงาน ช่วงไหนที่เธอเงียบไป ชายหนุ่มก็จะนิ่งไปด้วย เขารอจนกว่าเธอจะตอบแล้วถึงค่อยตอบกลับ เพราะรู้ว่าเธอทำงานอยู่ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายก็จบด้วยคำว่าฝันดีเหมือนเช่นเคย

 

********************

ฉบับเต็ม สามารถซื้อได้ที่  MEB ค่ะ

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTc5NjAzMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5MjY5NyI7fQ