09.

 

TW: verbal abuse / domestic violence

 

                     อันธิกาเก็บกวาดทำความสะอาดร้านหลังจากขายของรอบเย็นเสร็จ ส่วนจุ๋มเข้าไปล้างถ้วยชามอยู่หลังร้าน มือเล็กที่มีรอยหยาบกร้านจากการทำงานหนัก จับไม้ถูพื้นและออกแรงถูทำความสะอาดอย่างคล่องแคล่ว ร้านข้าวราดแกงของอันธิกาเป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่ลูกค้าว่า อาหารสะอาด รสชาติดี รวมทั้งภายในร้าน แม้จะไม่ได้ดูหรูหรา แต่อาศัยที่อันธิกาและจุ๋มช่วยกันออกแรงเช็ดถูทุกวัน ร้านจึงสะอาดสะอ้านอยู่ตลอด

                     หญิงสาวตั้งใจว่า หลังจากทำความสะอาดร้านเรียบร้อยแล้ว ก็จะกินข้าวเย็นพร้อมกับจุ๋ม แล้วค่อยขึ้นไปนอนพักผ่อนเอาแรง วันนี้อันธิกากับจุ๋มขายแค่ขนมบัวลอยไข่หวาน เพราะคุณดาริกา เจ้าของห้องเช่าที่นี่ มาสั่งขนมจีบไปร้อยลูก เพื่อจะเอากลับไปให้ที่บ้านใหญ่ คุณดาบอกกับอันธิกาว่า จะมีแขกหลายคนมาทานข้าวเย็นที่บ้านโน้น จึงตั้งใจจะเอาขนมจีบของดาริกาไปเลี้ยงแขก

                     เมื่อนึกไปถึงดาริกา หญิงสาวก็นึกถึงรอยยิ้มสดใสของคนที่มาสั่งขนมจีบถึงร้าน ทำเอาอันธิกาอดยิ้มไม่ได้ เพราะคุณดามาหาถึงร้านเมื่อเช้าวันนี้ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหวานๆ เหมือนเคย

                     "คุณอันขา ดาจะขอสั่งขนมจีบร้อยลูกนะคะ รับตอนเย็นนี้ค่ะ ที่บ้านเขาจะมีเลี้ยงแขกคุณพ่อ คุณอันทำทันหรือเปล่าคะ"

                     "ทันค่ะคุณดา" ตอนนั้นอันธิการีบตอบรับ เพราะมีวัตถุดิบพอ "ประเดี๋ยวอันจะนึ่งไปให้เลยนะคะ ก่อนจะจัดขึ้นโต๊ะ อุ่นพอร้อนๆ ก็พอค่ะ"

                     "ที่จริง ถ้าคุณอันไม่ติดขายของ ดาจะชวนไปที่บ้านด้วยเลยค่ะ จะได้อวดแขกในงานทั้งขนมจีบ ทั้งคนทำเลย"

                     ดาริกาพูดแล้วดวงตาเป็นประกายวิบวับ ทำเอาอันธิกาหน้าร้อนวูบวาบไปหมด โชคดีที่ตอนนั้นมีลูกค้าเดินมาสั่งอาหารพอดี อันธิกาจึงมีโอกาสหลบสายตาของที่ชวนให้ไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางตรงไหน แต่ดาริกาก็ยังนั่งเล่นอยู่ที่ร้าน จนกระทั่งเย็นเมื่อขนมจีบที่สั่งไว้เรียบร้อย ถึงได้จากไป

                     เมื่อนึกถึงเรื่องของดาริกา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่มักเฉยชาเป็นนิจของอันธิก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองออกไปหน้าร้านที่เปิดเอาไว้ รอยยิ้มของอันธิกาก็จางหายไป ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่มาหน้าร้านชัดๆ ไม้ถูพื้นที่อันธิกากุมไว้ก็เกือบหลุดมือ หญิงสาวอุทานเสียงดังอย่างตกใจ

                     "พี่เพ็ญ นี่เกิดอะไรขึ้นคะ"

                     ใบหน้าสวยของเพ็ญโพยมเปียกชื้นด้วยน้ำตา ใบหน้าข้างหนึ่งบวมช้ำ ปรากฏรอยแดงเป็นปื้น มุมปากมีรอยแผลแตก ดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวคงซับเลือดจนแห้งไปแล้ว อันธิกาคิดว่าเป็นแบบนั้น เพราะผ้าเช็ดหน้าในมือของเพ็ญโพยมเปื้อนเลือดเป็นดวงหลายรอย เสียงร้องของอันธิกาทำให้จุ๋มที่ล้างชามอยู่ด้านหลังรีบวิ่งออกมาดู เมื่อเห็นพี่สาวของอันธิกายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าร้าน ส่วนอันธิกายืนนิ่งอย่างตกใจ จุ๋มที่ได้สติก่อนใครเพื่อน จึงวิ่งออกไปจับแขนให้เพ็ญโพยมเข้ามาในร้าน

                     อันธิกาเพิ่งตั้งสติได้ จึงรีบยกเก้าอี้มาให้พี่สาวนั่ง จุ๋มช่วยพยุงให้เพ็ญโพยมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็ผละไปยกน้ำดื่ม กับอ่างใส่น้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมาให้อันธิกาทันที และยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใย หญิงสาวเจ้าของร้านใจสั่นด้วยความตกใจจนมือไม้เย็นชืด แต่ก็จับมือเย็นๆ ของพี่สาวเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยถาม

                     "พี่เพ็ญใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ดื่มน้ำเสียก่อน จะได้ใจเย็นลงนะคะ"

                     เพ็ญโพยมรับแก้วน้ำจากน้องสาวไปจิบ และพยายามเช็ดใบหน้าตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าที่กำไว้จนยับย่น อันธิกาจึงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาด ส่งให้พี่สาว แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเบาๆ 

                     "พี่เพ็ญเอาผ้านี่เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยดีกว่าค่ะ" อันธิกาส่งผ้าใส่มือของพี่สาวแล้วหันไปพูดกับจุ๋ม "จุ๋มไปเอาผ้าห่อน้ำแข็งมาให้พี่เพ็ญประคบหน่อยนะ จะได้หายปวด"

                     "ค่ะคุณอัน"

                     จุ๋มรีบผละไปทำตามที่อันธิกาบอก ก่อนจะกลับมาแล้วส่งห่อน้ำแข็งให้เพ็ญโพยม พี่สาวของอันธิการับไปประคบตรงรอยบวมบนใบหน้าตัวเอง อันธิกาจึงเอาผ้าที่เพ็ญโพยมใช้แล้วไปซักน้ำใหม่ แล้วเอามาเช็ดตัวให้พี่สาว จุ๋มก็หยิบเอาพัดใบลานมาโบกให้อยู่ไม่ห่าง หลังจากนั่งสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง เพ็ญโพยมก็หยุดร้องไห้ ดวงตากลมสวยที่ละม้ายกับดวงตาของอันธิกาบวมช้ำเพราะร้องไห้ แต่สีหน้าดีกว่าตอนที่มาถึงมาก หญิงสาวหยิบแก้วน้ำมาดื่มน้ำในแก้วที่เหลืออยู่จนหมดแก้ว และถอนหายใจเบาๆ

                     อันธิกาเห็นพี่สาวสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

                     "พี่เพ็ญ พอจะบอกอันได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ไปทะเลาะกับใครมาคะ หรือว่าทะเลาะกับพี่หมอศรุตหรือคะ"

                     "เปล่า คุณหมอไม่รู้เรื่องหรอก" เพ็ญโพยมมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเอ่ยปาก "แต่คุณพ่อน่ะ เข้าไปขอเงินที่บ้านคุณหมอน่ะสิ เมาแอ๋มาทีเดียว คงจะเพิ่งเสียมาจากที่บ่อนตามเคย คุณพ่อไปหาพี่ที่โรงพยาบาลแล้วรู้ว่าพี่ไม่ได้อยู่เวร ก็เลยไปหาที่บ้านคุณหมอ บังเอิญเด็กไปเรียนคุณแม่คุณหมอ ท่านเลยไล่คุณพ่อกลับ แล้วก็มาแหวเอากับพี่ ว่าพี่เอาเงินทองของคุณหมอไปให้คุณพ่อถลุง"

                     เพ็ญโพยมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ อันธิกาลูบแขนพี่สาวเบาๆ อย่างเห็นใจ เพราะรู้ดีว่าหากบิดาเล่นพนันเสียขึ้นมา ก็มักจะกินเหล้าให้เมา แล้วมาข่มขู่เอาเงินจากลูกๆ เมื่อก่อนอันธิกายังอยู่ในบ้าน ก็จะถูกบิดามาข่มขู่เอาเงินอยู่เสมอ ถ้าบอกว่าไม่มี หรือไม่ให้ บิดาก็จะอาละวาดทำลายข้าวของในบ้าน แล้วเข้าไปรื้อค้นเอาข้าวของของอันธิกาไป โดยไม่สนใจความรู้สึกของลูกสาว

                     การที่ได้ยินจากปากพี่สาวว่า บิดาเข้าไปอาละวาดที่บ้านลูกเขยทั้งที่กำลังมึนเมา จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หรือเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด อันธิกามองรอยบวมช้ำที่ใบหน้าของพี่สาว แล้วถามเสียงเบา

                     "แล้วหน้าพี่เพ็ญโดนอะไรคะ คุณพ่อทำหรือคะ"

                     "เปล่า คุณน้าของคุณหมอตบพี่เอาน่ะ"

                     "หา" จุ๋มอุทานอย่างตกใจ ก่อนยกมือไหว้ขอโทษ และเอ่ยหน้าเจื่อนๆ "ขอโทษค่ะคุณเพ็ญ จุ๋มตกใจ"

                     "ไม่เป็นไรหรอกจุ๋ม"

                     เพ็ญโพยมเอ่ยเสียงอ่อน ใบหน้ามีรอยยิ้มเศร้าสร้อยบางๆ แต่ยอมเปิดปากเล่าอย่างไม่ปิดบัง พอเห็นสีหน้าของอันธิกา

                     "พอคุณพ่อกลับไป คุณแม่ของคุณหมอเลยเรียกพี่ไปต่อว่า คุณแม่เขาเสียงดังน่ะ ยิ่งพูดยิ่งโมโห พอโมโหก็ตวาดเสียงลั่นไปหมด คุณน้าก็ผสมโรงว่าพี่ไปด้วย พี่พยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครฟัง สุดท้ายพี่เลยพูดเสียงดังว่า เงินที่พี่ให้คุณพ่อเป็นเงินของพี่เอง ไม่เคยเอาเงินคุณหมอมาใช้ อย่าว่าร้ายพี่ไปมากกว่านี้เลย คุณน้าเขาเลยลุกมาตบหน้าพี่เอา แล้วก็ว่าพี่ขึ้นเสียงใส่ผู้ใหญ่ พี่โดนตบไปก็คิดว่าทนอยู่ไม่ไหวแล้ว จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ไม่อยากเจอคุณพ่อ เลยมาหาอันนี่ล่ะ"

                     เพ็ญโพยมไม่ได้พูดรายละเอียดออกไป ว่าถูกแม่กับน้าของสามีด่าหล่อนว่า เป็นปลิงบ้าง หวังสูบเลือดสูบเนื้อหมอศรุตบ้าง เพราะความกระวนกระวายใจที่ถูกบิดาบุกมาหาถึงบ้านสามี รวมกับการที่ถูกรุมต่อว่าอย่างรุนแรง ทำเอาเพ็ญโพยมคุมความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ หลุดปากเถียงกลับไปเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีเสี้ยวสุดท้ายที่เหลือของตัวเอง แต่กลับถูกตบหน้าอย่างแรงจนล้มทั้งยืน เพ็ญโพยมจึงคว้ากุญแจรถยนต์ของตัวเอง ขับออกมาจากบ้านทั้งที่ไม่ได้หยิบเงินติดมือมาด้วยซ้ำ

                     จะกลับบ้านเดิม ไปเผชิญหน้ากับบิดาก็ไม่ได้ ลงท้ายเพ็ญโพยมก็ต้องบากหน้ามาหาน้องสาวที่ต้องออกจากบ้าน มาดิ้นรนทำมาหากินอยู่ข้างนอก เพราะครอบครัวสามีของพี่สาวรังเกียจอาชีพแม่ค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ

                     อันธิกาฟังเงียบๆ แต่ในใจสั่นไหวด้วยความโกรธ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ภายในใจ

                     "พี่เพ็ญไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนดีกว่าค่ะ ประเดี๋ยวจะได้มากินข้าวเย็น คืนนี้ก็นอนที่นี่แล้วกันนะคะ"

                     เพ็ญโพยมพยักหน้ารับ อันธิกาจึงเดินขึ้นชั้นบนไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้พี่สาวผลัดอาบน้ำ จุ๋มเห็นสีหน้าของอันธิกาแล้วก็ได้แต่มองดูอย่างเห็นใจ หญิงสาวส่งยิ้มให้จุ๋มเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกเศร้าซึมไปด้วย พลางเอ่ยปาก

                     "ประเดี๋ยวพี่เพ็ญอาบน้ำเสร็จแล้วจุ๋มก็อาบน้ำอาบท่านะ จะได้กินข้าวกัน"

                     อันธิกาพูดพลางตักน้ำต้มจากน้ำต้มกระดูกอ่อนหมูที่ต้มเตรียมไว้ขายพรุ่งนี้มาใส่หม้อเล็ก พลางหยิบกุ้งแห้งในโหลมาแช่น้ำไว้ ขณะที่ยกหม้อตั้งไฟ อันธิกาซาวข้าวสารจนสะอาด แล้วเทน้ำทิ้ง ก่อนจะใส่ข้าวสารลงไปในหม้อเล็กที่ต้มน้ำไว้ อีกเตาตั้งกระทะผัดหมูสับ ตังฉ่าย กับกุ้งแห้งลงไป ผัดจนแห้งแล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อย กับซีอิ๊วขาว

                     จุ๋มเห็นท่าทางของอันธิกาก็รู้ว่าหญิงสาวคงไม่สบายใจ จึงเดินมาช่วยคนหม้อข้าวต้มไม่ให้ข้าวติดก้นหม้อเงียบๆ พอเพ็ญโพยมอาบน้ำใส่ชุดของอันธิกาออกมาจากห้องน้ำ อันธิกาก็หันไปพูดกับจุ๋มด้วยเสียงเรียบๆ

                     "จุ๋มไปอาบน้ำเถอะ ข้าวต้มใกล้ได้แล้ว เดี๋ยวฉันทำต่อเอง"

                     "ค่ะ คุณอัน"

                     อันธิกายิ้มจางๆ ให้จุ๋ม แล้วตักเครื่องข้าวต้มที่ผัดไว้ใส่ในหม้อ ก่อนจะคนให้เครื่องกับเนื้อข้าวต้มเข้ากัน เพ็ญโพยมเดินมาหยุดที่หน้าเตา พลางใช้ผ้าเช็ดผมที่เพิ่งสระใหม่ๆ ไปด้วย ก่อนเอ่ยปากเมื่อเห็นอาหารในหม้อ 

                     "ข้าวต้มทรงเครื่อง ไม่ได้กินมานานมากแล้ว เมื่อก่อนคุณแม่ชอบทำบ่อยๆ" เพ็ญโพยมทำท่าดมกลิ่นหอมๆ ของข้าวต้มอย่างตั้งใจ แล้วพูดต่อ "ไม่ต้องชิมก็รู้ ว่ารสเดียวกับรสมือคุณแม่"

                     "อีกเดี๋ยวก็ได้ที่แล้วค่ะ พี่เพ็ญทานข้าวต้ม แล้วทานยาแก้ปวดเสียหน่อยนะคะ จะได้ไม่ปวดมาก พรุ่งนี้ถ้าหน้ายังบวมอยู่ จะไปทำงานอย่างไรล่ะคะ"

                     "พี่ว่าจะลางานจนกว่าจะหายดีล่ะ ไม่อย่างนั้นคนคงนินทาแย่" เพ็ญโพยมพูดพลางถอนหายใจ หญิงสาวทำหน้าไม่สบายใจ ก่อนเอ่ยต่อ "มีโทรศัพท์ที่ไหนให้พี่ไปขอใช้ได้บ้างไหมน่ะอัน"

                     "มีที่ร้านเจ๊แมวค่ะ ตรงร้านของชำถัดไปนี่เอง อันไปเป็นเพื่อนก็ได้นะคะ"

                     "ไม่ต้องหรอกจ้ะ พี่เดินไปได้ แต่ขอยืมเงินอันสักหน่อยได้ไหม พี่จะได้จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์ให้เขา"

                     "พี่เพ็ญหยิบเอาในตะกร้าเงินทอนได้เลยค่ะ"

                     อันธิกาตอบ เพ็ญโพยมจึงหยิบเงินห้าบาทและเดินออกจากร้านไปยังร้านของชำ อันธิการู้ว่าเจ๊แมวเปิดร้านจนดึก เพราะมีลูกค้าแวะเวียนมาเรื่อยๆ หญิงสาวราไฟให้ข้าวต้มบนเตายังพอร้อนๆ ก่อนจะนั่งลงที่แคร่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

                     เมื่อจุ๋มอาบน้ำเสร็จ ก็พอดีกับที่เพ็ญโพยมเดินกลับมา พี่สาวของอันธิกาเอาเงินใส่กลับคืนไปในตะกร้าเงินทอน ก่อนเอ่ยปาก

                     "พี่บอกเจ๊แมวว่าเป็นพี่สาวอัน เขาเลยไม่คิดเงินค่าโทรศัพท์"

                     "เจ๊แมวเขาใจดีค่ะ พี่เพ็ญโทรศัพท์บอกที่ทำงานแล้วเนอะคะ" อันธิกาตอบ แล้วตักข้าวต้มทรงเครื่องใส่ชามให้พี่สาวไปด้วย "หัวหน้าไม่ว่าใช่ไหมคะ"

                     "พี่โทรศัพท์ไปบอกหมอศรุต ว่าช่วงนี้จะมาพักบ้านอันสักสองสามวัน ให้คุณหมอช่วยพูดกับหัวหน้าพี่ให้ว่าพี่ไม่สบาย คุณหมอก็รับปากว่าจะบอกให้ วันนี้เขาอยู่เวรดึก ออกเวรพรุ่งนี้ จะแวะมาหาพี่ที่นี่"

                     "อย่างนั้นก็ดีแล้วค่ะ" อันธิกาพูดแล้วยกชามข้าวต้มวางบนถาด พร้อมจานกับข้าวของตัวเองกับจุ๋มที่อุ่นแล้ว "ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ จุ๋มตักข้าวมานะจ๊ะ"

                     "ค่ะ คุณอัน"

                     จุ๋มรับคำ แล้วจัดการตักข้าวสวยใส่จาน ถือตามไปที่โต๊ะด้านนอก ทันได้ยินอันธิกาบอกพี่สาวพอดีว่า กับข้าวที่มีเป็นแกงพะแนง กับยำไข่ต้ม รสชาติค่อนข้างจัด ให้เพ็ญโพยมกินข้าวต้มที่รสค่อนข้างอ่อนดีกว่าจะได้ไม่เจ็บแผลที่ปาก จุ๋มเห็นเพ็ญโพยมพยักหน้ารับอย่างเป็นปกติ จึงนั่งลงข้างๆ อันธิกา และลงมือจัดการมื้อเย็นไปเงียบๆ

                     เพ็ญโพยมตักข้าวต้มทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเค็มหวานกลมกล่อมของข้าวต้ม รับกันดีกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของกระเทียมเจียว และต้นหอมผักชี

                     รสมือในการทำอาหารของอันธิกาเหมือนกับรสมือของมารดาที่จากไปนานแล้ว ความอบอุ่นจากรสชาติอาหารที่คุ้นเคย ค่อยๆ แผ่ซ่านอยู่ภายใน ทำให้ความรู้สึกขมปร่าในใจบรรเทาลง

                     เมื่อข้าวต้มหมดถ้วย เพ็ญโพยมก็รับยาแก้ปวดที่อันธิกาหยิบมาให้ไปกิน แล้วก็ไปแปรงฟันอีกรอบ ก่อนขึ้นนอนตั้งแต่หัวค่ำ จุ๋มกับอันธิกาช่วยกันล้างถ้วยชามคว่ำเก็บเรียบร้อย อันธิกาก็ไปอาบน้ำอาบท่า ขณะที่จุ๋มไปปิดประตูบานเฟี้ยมข้างหน้าลงกลอน เมื่ออาบน้ำเสร็จอันธิกาก็ปิดประตูหลังร้าน แล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง ห้องของจุ๋มปิดไฟแล้ว ส่วนห้องของเธอเอง พี่สาวยังเปิดไฟทิ้งไว้ให้

                     ดวงตากลมโต มองพี่สาวที่นอนหลับไปแล้วอย่างกังวลใจ ปัญหาครอบครัวของเพ็ญโพยมเป็นเรื่องที่เกินกว่าทั้งพี่สาว และพี่เขยจะรับมือไปได้แล้ว และอันธิกาก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่ศรุต หรือเพ็ญโพยมจะหาทางออกจากปัญหานี้ได้ หญิงสาวถอนหายใจ และปิดไฟก่อนจะเข้ามุ้งไปนอนข้างๆ พี่สาว

                     ทั้งที่ในใจยังคิดเรื่องต่างๆ อย่างสับสนวุ่นวาย แต่อันธิกาก็ต้องข่มใจหลับลงไป เพราะวันพรุ่งนี้ยังมีงานอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า

 

**

 

                     ดาริกานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ พลางใช้อีกมือยกกาแฟขึ้นจิบอย่างที่ทำตามปกติ ชุตินั่งอยู่ข้างๆ กินอาหารเช้าไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน พี่สาวคนโตของบ้านอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ ก็พับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัว ก่อนจะใช้มีดส้อมหั่นไข่ดาวในจานของตัวเอง พลางเอ่ยปาก

                     "น้องศินยังไม่ลงมาอีกหรือคะ สายแล้วนะวันนี้"

                     "นั่นสิคะพี่ดา" ชุติพูดพลางวางช้อนข้าวต้มในมือ และเอ่ยกับเด็กวิที่รออยู่ใกล้ๆ "วิขึ้นไปดูคุณศินให้หน่อยนะจ๊ะ"

                     "ค่ะ คุณชุ"

                     วิรับคำแล้วเดินจากไป ดาริกามองตามไปอึดใจหนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

                     "สงสัยเมื่อคืนอยู่รับแขกในงานเลี้ยงจนเหนื่อย เลยตื่นสาย"

                     "พี่ดาล่ะก็" ชุติพูดแล้วมองค้อนพี่สาวไปทีหนึ่ง "น้องศินน่ะ หน้าบูดตลอดงาน เพราะถูกคุณพ่อลากไปไหว้คนนั้นคนนี้ น้องเบื่อจะแย่นะคะ"

                     "ก็เดินหนีคุณพ่อเสียสิคะ น้องศินหนีเสียอย่าง คุณพ่อจะมาบังคับอะไรได้"

                     ดาริกาพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน เพราะรู้ดีว่า ชุติกับศศินแม้จะไม่ชอบใจพฤติกรรมของบิดามากแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็ยังเป็น 'เด็กดีที่เชื่อฟัง' ของบิดามารดามาตลอด หลายครั้งจึงต้องจำใจทำตามความต้องการของบิดามารดาโดยไม่กล้าขัด แต่ดาริกาทำอะไรตามใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยความรู้สึกว่า ชีวิตนี้เป็นของเธอเอง ไม่มีใครมีสิทธิ์มาบังคับ หรือกะเกณฑ์ได้

                     ชุติกับดาริกายังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ ก็เห็นวิวิ่งหน้าตาตื่นลงมาจากชั้นบน ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงตกใจ

                     "คุณศินไม่อยู่ในห้องค่ะ ที่นอนก็ยังเรียบร้อยอยู่เลย เหมือนยังไม่ได้มีใครใช้ตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ"

                     "รถน้องศินก็ยังอยู่ไม่ใช่หรือวิ" ชุติเอ่ยอย่างตกใจ "แล้วน้องศินจะไปไหนได้"

                     "ถ้ารถยังอยู่ พี่ดาว่า น้องศินก็คงแอบย่องออกไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนที่แขกทยอยกลับกันนั่นล่ะค่ะ" ดาริกาเอ่ยปาก และหั่นแฮมเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน "น้องศินโตแล้ว เขาไม่หายไปง่ายๆ หรอกค่ะชุ ไม่ต้องตกใจไปหรอก ไม่อยู่บ้านแบบนี้ พี่ดาว่าคงจะไปหาภาณุล่ะ"

                     "แต่ทำไมน้องศินไม่บอกก่อนล่ะคะ ทำแบบนี้ที่บ้านเป็นห่วงแย่"

                     ในขณะที่ชุติยังบ่นอุบอิบ โทรศัพท์ของที่บ้านก็ดังขึ้น วิเป็นคนไปรับสาย พูดสายอยู่ครู่หนึ่งก็วางหู แล้วเดินกลับมาหาดาริกากับชุติที่นั่งรอฟังข่าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร

                     "คุณศินโทรมาค่ะ บอกว่าเมื่อคืนเธอไปค้างที่ห้องเพื่อนชื่อคุณภาณุ วันนี้เย็นๆ ถึงจะกลับค่ะ"

                     "เห็นไหมล่ะ พี่ดาบอกแล้ว"

                     ดาริกาเอ่ยปาก ทำให้ชุติถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะพี่สาว และน้องชายของเธอต่างทำอะไรตามใจตัวเองกันทั้งนั้น หญิงสาวดื่มน้ำ และลุกขึ้นขอตัวออกไปทำงาน ที่โต๊ะทานข้าวจึงเหลือเพียงดาริกานั่งกินมื้อเช้าอยู่เพียงลำพัง

                     หญิงสาวรู้ดีว่า ศศินคงเบื่อจะปั้นหน้ารับแขกของคุณพ่อ คุณแม่เสียจนเต็มกลืน เพราะจู่ๆ คุณพ่อก็สั่งให้ป้าสำลีเตรียมกับข้าวให้สำหรับเลี้ยงแขกยี่สิบคน แล้วก็โทรศัพท์มาตามให้ดาริกามาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านอย่างกะทันหัน

                     ดาริกานึกอยากปฏิเสธ เพราะตั้งใจจะอยู่ที่บ้านโน้น และจะชวนอันธิกาไปเดินเล่นที่เยาวราชตอนกลางคืน เมื่อแต่เมื่อนึกถึงชุติ กับศศินที่ต้องปั้นหน้ายิ้มรับแขก ก็อดสงสารน้องๆ ไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับมาร่วมงาน แต่ไม่วายต้องแวะไปสั่งขนมจีบของอันธิกามาเลี้ยงแขกที่บ้านด้วย เพราะอยากใช้เวลานั่งดูมือเล็กๆ ของหญิงสาวทำงานอย่างคล่องแคล่วให้ชื่นใจ

                     หญิงสาวจัดการอาหารเช้าจนหมด ก่อนจะขึ้นห้องนอนไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ เป็นชุดกระโปรงแขนกุดสีน้ำเงินเข้ม ยาวคลุมเข่า หญิงสาวใช้เสื้อนอกคลุมไหล่ และเดินออกไปขึ้นรถยนต์ของตัวเอง

                     รถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันใหม่เอี่ยมของดาริกา ขับออกจากบ้านไปจอดที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ตรงหัวมุมถนนราชดำเนิน หญิงสาวเดินเข้าไปในร้านกาแฟด้านใน หญิงวัยกลางคนที่นั่งรออยู่แล้วรีบลุกขึ้นทักเมื่อเห็นดาริกาเดินเข้ามา หญิงสาวยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสบายๆ

                     "คุณวิลาสมารอนานหรือยังคะ ดาอุตส่าห์รีบมาให้ตรงเวลาแล้วเชียว"

                     "ไม่นานค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง สั่งกาแฟก็ยังไม่ได้เลยค่ะ คุณดารับเครื่องดื่มไหมคะ"

                     "ขอเป็นชาร้อนแล้วกันค่ะ ดาดื่มกาแฟแล้วก่อนออกจากบ้าน"

                     คุณวิลาสรับคำ แล้วเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม หลังจากได้รับเครื่องดื่มเรียบร้อยทั้งสองคน หญิงวัยกลางคนที่นัดดาริกาวันนี้ ก็เอาสำเนาโฉนดที่ดินหลายแผ่นมาวางเรียงตรงหน้าดาริกา ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

                     "โฉนดพวกนี้ เจ้าของเขาฝากขายค่ะ ที่ดินดีๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ อย่างแปลงนี้มีถนนตัดผ่านแล้วค่ะ ราคาจะสูงหน่อย แต่ก็น่าสนใจนะคะคุณดา"

                     ดาริกาพิจารณาที่ดินที่คุณวิลาสยกมาแนะนำอย่างละเอียด ที่ดินด้านหนึ่งติดถนน อีกสามด้านติดกับที่ดินแปลงอื่น หญิงสาวสอบถามเพิ่มเรื่องสภาพแวดล้อมของที่ดิน จำนวนบ้านเรือนใกล้เคียง

                     คุณวิลาสตอบคำถามไปอย่างจริงจัง ในใจก็พิจารณาหญิงสาวตรงหน้าไปด้วย หล่อนเพิ่งได้รับคำแนะนำให้รู้จักกับดาริกาเมื่อไม่นานนี้ผ่านคนรู้จัก ตอนแรกก่อนได้พบตัวจริง ก็ยังรู้สึกว่าหญิงสาวที่เป็นทายาทเศรษฐีผู้นี้ อาจจะเป็นลูกค้าที่จะปิดจบการขายที่ดินได้ง่ายๆ

                     แต่เมื่อได้พบกับดาริกาจริงๆ ถึงได้รู้ว่า หญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงตั้งตัวหัวจรดเท้าคนนี้ ไม่ได้เคี้ยวง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรd ดาริกาพิจารณาเอกสารในมือ ก่อนจะเอ่ย

                     "ดาขอไปดูที่ดินจริงก่อนได้ไหมคะ"

                     "ได้ค่ะ คุณดาจะไปดูเอง หรือจะให้คนพาซินแสไปดูไหมคะ"

                     ดาริกายกชาร้อนของตัวเองขึ้นมาจิบอย่างไม่รีบร้อน พลางเหลือบตามองคุณวิลาส เมื่อวางถ้วยชาลง หญิงสาวก็ยิ้มอย่างเสียหวานหยาดเยิ้ม ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสดใส

                     "ดาจะพาทนายไปดูน่ะค่ะ เพราะว่าไม่อยากมีปัญหากับเรื่องเจ้าของที่ที่อยู่ติดกัน แล้วก็อยากไปดูเรื่องการเดินเสาไฟฟ้าด้วย ว่าอาจจะมีการวางเสาตัดผ่านตรงไหนบ้าง ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเรื่องการพัฒนาที่ดิน หรือปัญหาทางกฎหมายเนี่ย กันไว้ดีกว่าแก้ จริงไหมคะ"

                     พูดจบดวงตาของดาริกาก็มีร่องรอยพราวระยับอย่างขี้เล่น ส่วนคุณวิลาสที่ได้ฟังก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนรีบนัดวันให้ดาริกาเข้าไปดูที่ดินที่หญิงสาวสนใจ

 

**

 

                     ศรุตออกเวรตอนเจ็ดโมงเช้า ชายหนุ่มแวะเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนที่จะไปพบภรรยา เมื่อลงด้านล่าง ก็เห็นมารดานั่งรออยู่ในห้องกินข้าว ศรุตถอนใจ ก่อนจะยกมือไหว้มารดา แล้วชงกาแฟให้ตัวเอง

                     ผู้เป็นมารดามองลูกชาย ก่อนจะเอ่ยปาก "เพิ่งกลับมาจากออกเวร ไม่นอนพักหรือ"

                     "ไม่เป็นไรครับ เมื่อคืนไม่มีคนไข้ฉุกเฉิน ผมได้พักบ้านแล้ว เดี๋ยวกินกาแฟเสร็จก็จะออกไปรับเพ็ญ"

                     "รู้หรือเปล่าว่าเมื่อวาน เมียแกเถียงแม่ฉอดๆ แกเป็นลูกแท้ๆ ยังไม่เคยขึ้นเสียงกับแม่สักคำ"

                     ศรุตไม่ตอบ เพราะรู้นิสัยมารดาดีว่า ถ้าหากยิ่งเถียง มารดาก็จะยิ่งหาเรื่องให้เกิดเรื่องยืดเยื้อ ถ้าเงียบเสียก็จะหมดเรื่อง ไม่ต้องมีปากเสียงกันต่อไป ตั้งแต่เล็ก ชายหนุ่มจึงใช้วิธีนิ่งเงียบ ให้มารดาหยุดพูดไปเอง

                     "ยายเพ็ญน่ะ มารยาททรามมาก ผู้ใหญ่เขาสั่งสอน ก็มาขึ้นเสียงเถียงคอเป็นเอ็น ก็ไม่แปลกหรอก พ่อก็เป็นขี้เมา แถมเป็นผีพนันอีก ยังมีหน้ามาขอเงินคนอื่นเขาถึงบ้าน พ่อเป็นเสียแบบนี้น่ะสิ ยายเพ็ญถึงไม่มีใครสั่งสอน แม่พูดแล้วแกก็ไม่ฟังว่า อย่าไปแต่งกับคนอย่างเมียแกน่ะ ครอบครัวชาติตระกูลไม่ดี แล้วจะสอนลูกออกมาดีได้อย่างไร"

                     เสียงถ้วยกาแฟกระทบจานรองไม่เบานักทำให้มารดาของศรุตที่กำลังจะบ่นต่อ เงียบเสียงและมองหน้าลูกชาย ชายหนุ่มเงยหน้ามองดูมารดา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                     "คุณแม่เลยให้น้าน้อยตบหน้าเพ็ญสั่งสอนหรือครับ การตบตีมันไม่ใช่การสั่งสอน มันคือการทำร้ายร่างกาย ต่อให้อ้างว่าเป็นคนในครอบครัวกันก็เถอะครับ ถ้าเพ็ญเขาไปแจ้งความ น้าน้อยก็มีความผิดทางกฎหมายนะครับ"

                     สีหน้าของมารดาปรากฏร่องรอยความตกใจ และคาดไม่ถึงว่าลูกชายจะเอ่ยปากเช่นนี้กับตัวเอง ศรุตจึงพูดต่อ

                     "เรื่องเงินผมพูดหลายครั้งแล้วว่า เพ็ญให้เงินพ่อเขาใช้จริง ก็เป็นเงินที่เขาทำงานหามาเอง ผมไม่ได้ให้เงินส่วนตัวของผมไป และเพ็ญก็ไม่เคยขอเงินของผมเลย เพราะฉะนั้นคุณแม่กับน้าน้อยก็เลิกกล่าวหาว่าเพ็ญเขามาขอเงินผมได้แล้วครับ อีกอย่าง พ่อของเพ็ญติดเหล้า ติดการพนัน แต่เพ็ญเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกด่าว่าเพราะเรื่องนี้นี่ครับ ความผิดของพ่อแม่ ก็กลายเป็นความผิดของลูกไปด้วยหรือครับ"

                     "แกเข้าข้างเมียจนถึงขั้นมาเถียงแม่อย่างนี้เลยหรือศรุต"

                     "ผมไม่ได้เข้าข้างเพ็ญครับ ผมพูดความจริง ผมรู้นะครับคุณแม่ถูกคุณย่ากดดันมากตอนเข้ามาเป็นสะใภ้ ผมเห็นมาตลอดว่าคุณย่าทำตัวแบบไหนกับคุณแม่ แต่คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องทำกับเพ็ญแบบที่คุณย่าทำกับคุณแม่ก็ได้นี่ครับ หรือคุณแม่อยากให้เพ็ญรู้สึกกับคุณแม่ แบบที่คุณแม่รู้สึกกับคุณย่า"

                     ชายหนุ่มพูดแล้วลุกขึ้น ไม่สนใจท่าทางที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออกของมารดา มือของศรุตหยิบกุญแจรถยนต์มาถือไว้ ก่อนจะจ้องหน้ามารดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                     "ผมเป็นหมอตามที่คุณแม่หวังแล้ว แต่ผมจะไม่ทนอยู่ในบ้านที่ผมกับเพ็ญมีชีวิตคู่ที่มีความสุขกันไม่ได้แบบที่คุณพ่อกับคุณแม่ใช้ชีวิตมา อีกสองสามวันผมกับเพ็ญจะมาเก็บของนะครับ ถ้ามีอะไร คุณแม่ก็โทรศัพท์ไปหาผมที่โรงพยาบาลแล้วกันครับ"

                     ศรุตพูดพลางเดินออกจากห้องทานข้าว โดยมีเสียงตะโกนอย่างคับแค้นใจของมารดาไล่หลังมา แต่ชายหนุ่มไม่หยุดเดิน เมื่อขับรถยนต์ออกจากบ้าน ศรุตกลับรู้สึกโล่งอกที่ตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปเช่นนี้

                     ตั้งแต่เล็ก ศรุตที่เป็นลูกชายคนกลาง มีพี่สาวกับน้องสาวอย่างละคน เขาได้รับความรักอย่างเกินพอดีจากมารดามาตลอด ความรักของมารดามาพร้อมกับความคาดหวังมหาศาล ลูกชายคนเดียวถูกคาดหวังให้เรียนดี สอบเข้าเรียนแพทย์ให้ได้ เพื่อให้มารดาได้เชิดหน้าชูตาเหนือบรรดาสะใภ้อื่นๆ ของแม่สามีที่มีลูกชาย แต่ประสบความสำเร็จไม่เท่าศรุต

                     ศรุตมีนิสัยเยือกเย็นมาแต่เด็ก จึงมักอดทนต่อการควบคุมกะเกณฑ์ของมารดามาได้ตลอด คล้ายกับบิดาที่เป็นคนไม่มีปากเสียง ข้อนี้เองที่ทำให้ศรุตต่างจากพี่สาวและน้องสาวที่ต่างคนต่างไม่ยอมลงให้มารดา จนเข้าหน้ากันไม่ติด

                     เขารู้ว่าเหตุผลที่มารดาใจร้ายอย่างไร้เหตุผลกับเพ็ญโพยม เป็นเพราะมองว่าครอบครัวของเพ็ญโพยมไม่มีสมบัติติดตัว ทำให้มารดามองว่าเพ็ญโพยมไม่ดีพอ และไม่คู่ควรกับลูกชายที่แสนสมบูรณ์แบบของตัวเอง

                     แต่ศรุตรู้ว่าเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ เขารู้ตัวเองมาตลอดว่า เป็นคนเข้ากับคนไม่เก่ง จึงมีเพื่อนน้อย เพราะพูดน้อย และดูเงียบขรึม

                     เขาเริ่มสนใจในตัวเพ็ญโพยมเมื่อพบว่า ทุกครั้งที่มาขึ้นเวร ไม่ว่าเวลาไหนก็จะพบเพ็ญโพยมอยู่เวรเสมอจนแปลกใจ ตอนหลังถึงได้รู้จากหัวหน้าพยาบาลว่า หญิงสาวรับจ้างขึ้นเวรแทนเพื่อนพยาบาลคนอื่น

                     ศรุตจึงสังเกตอยู่เงียบๆ ว่าแม้เพ็ญโพยมจะไม่ได้เป็นคนแจ่มใส แต่ก็ไม่เคยอารมณ์เสียใส่คนไข้ ญาติคนไข้ หรือเพื่อนร่วมงานเลยสักครั้ง หญิงสาวเพียงแต่ทำงานไปเงียบๆ อย่างตั้งใจ แม้จะทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักก็ตาม

                     หลังจากนั้นศรุตจึงเริ่มเข้าไปพูดคุยกับเพ็ญโพยมบ่อยขึ้น จนค่อยๆ เปลี่ยนสถานะเป็นคนรักในภายหลัง และพบว่า หลังจากคบหากับเพ็ญโพยม ศรุตเริ่มคิดที่จะสร้างครอบครัวที่มีความสุข และอบอุ่นของตัวเองขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

                     ชายหนุ่มถอนหายใจ เมื่อขับรถไปจอดแถวร้านของอันธิกาที่เพ็ญโพยมบอกไว้ทางโทรศัพท์เมื่อวาน เขารู้ว่าอันธิกาออกจากบ้านมาเพราะอะไร จึงรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ต้องเจอกับน้องสาวของภรรยาในวันนี้

                     แต่เมื่อไปถึงร้าน ศรุตก็เห็นอันธิกากำลังคิดเงินให้ลูกค้า ส่วนเพ็ญโพยมกับจุ๋มกำลังตักข้าวใส่จานให้ลูกมือเป็นระวิง ศรุตยืนรออยู่ข้างนอกจากกระทั่งลูกค้ากลุ่มใหญ่เดินออกไป จึงค่อยเดินเข้าไปในร้าน อันธิกาเห็นพี่เขยเป็นคนแรก ก็ยกมือไหว้ก่อนเอ่ยทัก

                     "พี่ศรุต สวัสดีค่ะ"

                     "สวัสดีครับ ขายดีมากเลยนะอัน ยังไม่เที่ยง ลูกค้าก็เต็มร้านแล้ว"

                     "แถวนี้คนเยอะน่ะค่ะ" อันธิกาตอบ แล้วหันไปพูดกับพี่สาว "พี่เพ็ญพาพี่ศรุตไปนั่งคุยกันข้างบนเงียบๆ ดีกว่าค่ะ ประเดี๋ยวเที่ยงลูกค้ามาเยอะ จะเสียงดัง"

                     เพ็ญโพยมพยักหน้ารับ และพาสามีขึ้นไปนั่งคุยกันที่ชั้นบน จุ๋มปลีกตัวไปยกน้ำขึ้นไปให้แขก ก่อนจะลงมาช่วยอันธิกาทำงานที่หน้าร้าน เพ็ญโพยมพูดคุยกับสามีอยู่นาน จนกระทั่งเกือบบ่ายโมงตรงที่ลูกค้าร้านข้าวแกงเริ่มซา ทั้งคู่ถึงได้เดินลงมาด้วยกัน

                     อันธิกามองพี่สาวกับพี่เขย แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

                     "พี่ศรุตกับพี่เพ็ญทานข้าวก่อนนะคะ อันแบ่งไว้ให้แล้ว"

                     "อันก็ทานด้วยกันสิ" ศรุตเอ่ยปาก "วันนี้พี่รบกวนหน่อยนะ"

                     "ไม่รบกวนหรอกค่ะ"

                     อันธิกาตอบ จุ๋มจึงไปยกกับข้าวที่อันธิกาตักเตรียมไว้มา แต่ไม่ยอมมานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนทุกที เพราะแอบกระซิบกับอันธิกาว่าเกรงใจหมอศรุต อันธิกาจึงไม่ขัด เมื่อลงมือจัดการมื้อเที่ยงกันไปเงียบๆ ได้ครู่หนึ่ง ศรุตก็เอ่ยปากขึ้น

                     "พี่คงต้องรบกวนอันให้เพ็ญพักที่นี่อีกสักสองวัน พี่ต้องไปจัดการเรื่องเตรียมบ้านให้เรียบร้อยก่อนน่ะ"

                     "เตรียมบ้านหรือคะ" อันธิกามองพี่เขย ก่อนจะมองหน้าพี่สาว เพ็ญโพยมจึงพยักหน้ารับ และอธิบายต่อ

                     "หมอศรุตซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไหร่ เป็นบ้านมือสอง ตอนแรกกะว่าจะปล่อยเช่าทำกำไร แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อย เลยว่าจะไปอยู่ที่นั่นกัน แต่ต้องหาคนไปทำความสะอาด แล้วก็ซื้อเครื่องใช้จำเป็นพวกที่นอนหมอนมุ้งเข้าบ้านสักหน่อยน่ะ เลยต้องรบกวนอันอีกสองวันนะ"

                     "พี่เพ็ญจะอยู่กี่วันก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจอันหรอกค่ะ แต่จะย้ายไปอยู่กันสองคนหรือคะ"

                     "ครับ"

                     หมอศรุตเป็นฝ่ายตอบ อันธิกาจึงไม่ได้พูดต่อ เพราะเรื่องในครอบครัวของพี่สาว เป็นเรื่องที่เพ็ญโพยมกับศรุตต้องหาทางออก และตัดสินใจทั้งหมดด้วยตัวเอง คนอื่นไม่สามารถจะเข้าไปก้าวก่ายได้

                     สิ่งเดียวที่อันธิกาทำได้ คือเอาใจช่วยให้ทั้งคู่ประคับประคองกันไปได้จนตลอดรอดฝั่ง

 

**

 

                     เพ็ญโพยมอาศัยอยู่กับอันธิกาอีกสองวันจริงๆ ตามที่บอกไว้ และตามสามีไปยังบ้านใหม่ของครอบครัวในช่วงเย็นวันเสาร์ เมื่อนั่งปั้นบัวลอยอยู่ด้วยกันตามลำพัง จุ๋มก็เอ่ยปากกับอันธิกาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

                     "คุณอันสบายใจขึ้นหรือยังคะ อย่างน้อยคุณหมอกับคุณเพ็ญเขาก็หาทางออกจนได้ ไปอยู่กันเองสองคนอย่างนี้ จุ๋มว่าคงจะสบายใจขึ้นนะคะ"

                     "ก็ดีแล้วล่ะจุ๋ม ไม่อย่างนั้นคงเป็นห่วงพี่เพ็ญเหมือนกัน"

                     "เพราะที่บ้านคุณหมอเขาไม่ดีกับคุณเพ็ญอย่างนี้หรือเปล่าคะ วันก่อนโน้นเธอเลยมาหาคุณอันที่นี่"

                     "ฉันก็ถามเหมือนกัน แต่พี่เพ็ญว่าไม่มีอะไรแล้ว" อันธิกาตอบพลางถอนหายใจเบาๆ

                     "เธอคงไม่อยากให้คุณอันเป็นห่วงมากกว่านี้นะคะ"

                     อันธิกาพยักหน้ารับ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานไปเงียบๆ จุ๋มเองก็ตั้งใจฟังเพลงในวิทยุ เมื่อถึงเวลาเปิดขายขนมตอนเย็น อันธิกากับจุ๋มก็ช่วยกันทำงานตามปกติ เจ๊แมวเจ้าของร้านชำ ก็มานั่งเล่นคุยกับอันธิกาอยู่จนปิดร้าน

                     คืนนั้นอันธิกากับจุ๋มขึ้นนอนแต่หัวค่ำ เพราะจุ๋มต้องตื่นไปเรียนเย็บผ้าในเช้าวันอาทิตย์ หญิงสาวรู้สึกว่าหลับไปนานมาก ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนคล้ายจะได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นเคย

                     อันธิกาเหลือบดูนาฬิกาตรงหัวนอน และเห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง จึงคิดว่าตัวเองอาจจะนึกถึงดาริกา จนเกิดหูแว่วได้ยินเสียงคล้ายรถยนต์ของอีกฝ่าย จึงถอนใจและนอนหลับต่อจนกระทั่งเช้า

                     หญิงสาวลุกมาแต่เช้าตามเคย เมื่อจุ๋มไปเรียนตัดเสื้อแล้ว อันธิกาก็ปิดประตูหน้าบ้านไว้ ตั้งใจจะถูร้านทำความสะอาดหลังทำข้าวเช้าง่ายๆ กินคนเดียว แต่กลับได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ พร้อมกับเสียงเรียก

                     "คุณอัน ตื่นแล้วยังคะ"

                     หัวใจที่เฉยเมยของอันธิกากลับมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น หญิงสาวรีบเปิดประตู และเห็นดาริกาใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวอย่างลำลอง ยิ้มหวานให้อย่างสดใส

                     "คุณดา มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือคะ"

                     "มาเมื่อคืนค่ะ แต่ดึกแล้ว สักตีหนึ่งได้ล่ะค่ะ"

                     "อ่า อันก็ว่าได้ยินเสียงรถคุณดาด้วย" อันธิกาเอ่ยปาก แต่คำพูดนี้ ทำให้ดาริกาหรี่ตา ทำท่าทางเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูด

                     "ดึกขนาดนั้น ดานึกว่าคุณอันนอนแล้วเสียอีกค่ะ ที่สำคัญคุณอันยังจำเสียงรถดาได้ คิดถึงดาขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย"

                     อันธิกาไม่ได้ตอบ แต่แก้มร้อนผ่าวจนทำหน้างอใส่ดาริกาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนช่างแกล้งอย่างอันธิกาถึงกับยกมือปิดปาก แล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

                     "วันนี้ไปกินโจ๊กเป็นมื้อเช้ากันเถอะค่ะ วันหยุดทั้งที คุณอันพักหน่อยดีกว่านะคะ วันนี้ดาเลี้ยงข้าวเช้าเองค่ะ"

                     "ไม่ต้องเลี้ยงหรอกค่ะคุณดา ต่างคนต่างจ่ายก็ได้ค่ะ"

                     "นิดหน่อยเองค่ะ ไปค่ะ ปิดบ้านแล้วไปกันดีกว่า"

                     ดาริกาเอ่ยปาก พลางเข้าไปช่วยอันธิกาปิดบ้านให้เรียบร้อยและเดินเคียงกันไป ถนนแถวนี้ในเช้าวันอาทิตย์ค่อนข้างเงียบ เพราะสถานที่ราชการ และห้างร้านล้วนหยุดทั้งหมด อากาศกลางเดือนตุลาคมเริ่มเย็นเล็กน้อยแล้ว ทำให้เดินเล่นตอนเช้าได้อย่างสบาย

เมื่อเดินผ่านไปทางหน้าร้านอะไหล่ ดาริกาก็ตาไว เห็นลูกชายร้านอะไหล่กับคนที่ร้านกำลังเปิดประตูจะออกมาข้างนอกพอดี หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปควงแขนอันธิกาอย่างสนิทสนม ส่วนคนที่จู่ๆ ก็ถูกควงแขนเสียแน่นนั้นก็หันมามองดาริกาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ดาริกาจึงยิ้มพลางทำตาปริบๆ อย่างออดอ้อน และเอ่ยปาก

                     "ก็อากาศมันหนาวนี่คะ ดาใส่เสื้อบางอย่างนี้ หนาวออก ขอกอดแขนให้อุ่นหน่อยไม่ได้หรือคะ"

                     อันธิกามองดูเสื้อแขนยาวของอีกฝ่ายแล้วถอนใจเบาๆ อย่างอ่อนใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด และไม่ได้ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของดาริกา เมื่อสบตากับปฐมก็พยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป 

                     ส่วนดาริกาที่ควงแขนอันธิกาก็ส่งยิ้มให้ปฐม เป็นรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ และกระชับแขนที่กอดอันธิกาให้แน่นขึ้นอีกนิด พร้อมกับเอ่ยปากกับอันธิกาด้วยหน้าตาใสซื่อ

                     "วันนี้คุณอันไม่ต้องทำงาน เดี๋ยวทานโจ๊กเสร็จแล้ว ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนดาที่บ้านหน่อยนะคะ ดาเหงามากเลยค่ะ"

                     "เหงาขนาดนั้นเลยเหรอคะ" อันธิกาถามพร้อมหัวเราะเบาๆ 

                     "ใช่ค่ะ ไม่เจอคุณอันตั้งหลายวัน คิดถึงมากเลยค่ะ"

                     หูของอันธิกาแดงซ่าน แข่งกับพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้าช่วงต้นฤดูหนาว ดาริกาก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงค่อยคลายแขนที่คล้องกับอันธิกาไว้ แต่เลื่อนมือเข้าไปกุมมือเล็กของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ โดยที่อันธิกาเองก็ไม่ได้ดึงมือออกไปเช่นกัน

 

#ดุจดารานำทาง

 

 

                     talk: คุณดามาน้อย แต่งานใหญ่มากนะวิ 555 หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี และขอให้กินข้าวเย็นนี้อย่างอร่อย อิ่มท้อง และอิ่มใจนะคะ