07.

 

                เสียงจักรเย็บผ้านอกห้องนอนทำให้อันธิกาที่นอนหลับๆ ตื่นๆ ลุกขึ้นมาเปิดมุ้ง แล้วเดินออกจากห้อง ที่หน้าห้องจุ๋มเปิดโคมไฟดวงเล็ก นั่งถีบจักรเย็บผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเห็นอันธิกาเดินออกมา ก็หยุดมือ แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

                "เสียงดังจนคุณอันตื่นเลยหรือคะ"

                "ไม่หรอกจุ๋ม ฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ" อันธิกาตอบแล้วเปิดไฟตรงโถงหน้าห้องนอน "จุ๋มทำไมไม่เปิดไฟดวงนี้ล่ะ จะได้สว่างหน่อย"

                "ไม่เป็นไรค่ะ เปิดโคมไฟก็มองเห็น แล้วทำไมคุณอันถึงนอนไม่หลับหรือคะ"

                "นอนไม่หลับเฉยๆ เสียอย่างนั้นล่ะจุ๋ม ดีที่พรุ่งนี้ไม่ได้เปิดร้าน เลยนอนดึกได้" อันธิกาลากเก้าอี้มานั่งข้างจุ๋ม "จุ๋มเย็บเสื้อเกือบเสร็จแล้วล่ะสิ"

                "ใกล้เสร็จแล้วล่ะค่ะ" จุ๋มพูดพร้อมรอยยิ้ม "เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียน ครูบอกว่าจะสอนให้หัดตีเกล็ด แล้วก็หัดเย็บระบาย ถ้าเสร็จแล้วจะเอามาให้คุณอันลองก่อนนะคะ เผื่อต้องแก้"

                "ที่จริงเสื้อตัวแรกจุ๋มน่าจะตัดใส่เองมากกว่านะ เป็นรางวัลให้ตัวเองน่ะ"

                อันธิกาตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตามนิสัย เมื่อหลายวันก่อนจุ๋มบอกว่า ครูสอนตัดเสื้อให้เลือกแบบสำหรับตัดเสื้อผู้หญิง เพราะครูจะเริ่มให้หัดตัดเสื้อจริงแล้ว เด็กสาวมาขอวัดตัวอันธิกา แล้วยังพาอันธิกาไปเลือกซื้อผ้าที่พาหุรัดโดยตั้งใจจะออกค่าผ้าให้ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็เถียงสู้อันธิกาไม่ได้ ต้องยอมให้อันธิกาออกค่าผ้าเอง ด้วยเหตุผลว่าชดเชยค่าแรงตัดของจุ๋ม

                จุ๋มลงแรงถีบจักรตัดเสื้อต่อไปอีกจนเสร็จในจุดที่เย็บค้างไว้ และเริ่มลงมือเก็บอุปกรณ์เย็บ พร้อมกับเอ่ยปาก

                "จุ๋มอยากตัดให้คุณอันเป็นของขวัญ ใกล้วันเกิดคุณอันแล้วนี่คะ"

                "ที่จริงจุ๋มไม่ต้องให้อะไรฉันได้นะ แค่จุ๋มอยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว"

                "ไม่เป็นไรค่ะ จุ๋มเต็มใจทำให้ ตั้งแต่มาทำงานกับคุณอัน คุณอันช่วยอะไรจุ๋มตั้งหลายอย่าง จุ๋มเลยตั้งใจว่า ถ้าตัดเสื้อเป็น เสื้อตัวแรกที่จุ๋มจะตัด ก็ตั้งใจจะตัดให้คุณอันนี่ล่ะค่ะ"

                "ขอบใจนะจุ๋ม"

                อันธิกาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จุ๋มเก็บของไปด้วย มองอันธิกาที่ช่วยม้วนด้ายเข้าหลอดเก็บให้ไปด้วย ใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว แม้ไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็ยังดูสะสวย ชวนให้คนมองสบายตาสบายใจ เพราะสนิทสนมใกล้ชิดกันมาหลายปี จุ๋มจึงกล้าเอ่ยถามออกไปตรงๆ

                "คุณอันไม่ชอบคุณปฐมหรือคะ จุ๋มเห็นเขามาแวะเวียนอยู่บ่อยๆ"

                "ฉันไม่ได้คิดอะไรกับใครทั้งนั้นล่ะจุ๋ม คุณปฐมเขาก็แวะมาอุดหนุน เป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ" อันธิกาตอบยิ้มๆ และเก็บกรรไกรตัดผ้าเข้าซอง "จุ๋มเองก็ตั้งใจเรียนตัดผ้าเข้านะ ต่อไปฉันจะได้อุดหนุน ตัดเสื้อกับจุ๋มเยอะๆ"

                "จุ๋มไม่คิดเงินคุณอันหรอกค่ะ คุณอันซื้อผ้ากับเอาแบบมา จุ๋มจะตั้งใจตัดให้ค่ะ"

                อันธิกายิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงตกลง อากาศในบ้านค่อนข้างอบอ้าว เพราะมีเสียงฟ้าร้องมาจากไกลๆ อีกไม่นานลมคงหอบฝนมาโปรยดับความร้อนที่ทำให้เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ อันธิกากับจุ๋มเก็บของเสร็จแล้ว แต่ยังนั่งอยู่ด้วยกัน อันธิกาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักขึ้นมาก่อน

                "แล้วที่บ้านจุ๋มเป็นอย่างไรบ้าง จุ๋มได้ส่งเงินไปให้มากขึ้น คงสบายขึ้นใช่ไหม"

                สีหน้าของจุ๋มเปลี่ยนเป็นหมองลงเล็กน้อย ทำให้อันธิการู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะเมื่อสองวันก่อน จุ๋มได้รับจดหมายจากทางบ้าน อันธิกาเองก็สังเกตเห็นว่าเด็กสาวดูไม่แจ่มใสเหมือนปกติ แต่เพราะมัวแต่ยุ่งเลยไม่มีเวลาได้นั่งถามไถ่กันให้ดี

                "น้องสาวของจุ๋มส่งจดหมายมาบอกว่า แม่ให้ออกมาช่วยทำงานค่ะ ไม่ให้ไปเรียนแล้ว" จุ๋มมีสีหน้าไม่สบายใจ "น้องจุ๋มเพิ่งเรียน ป.สี่ เองค่ะคุณอัน เขียนหนังสือมายังผิดๆ ถูกๆ แต่ที่ส่งมาได้ เพราะเอาที่อยู่ที่จุ๋มจ่าหน้าซองจดหมายไปเขียนตาม แล้วให้ครูประจำชั้นช่วยดูก่อนส่ง น้องเขียนมาบอกว่า แม่ให้มาทำงาน ให้ช่วยเลี้ยงน้อง จุ๋มก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ เพราะตอนนี้จุ๋มก็ให้เงินที่บ้านจนเกือบหมดแล้ว จะให้มากกว่านี้ก็ไม่ไหว แต่ที่น่าเสียดายแทนน้อง ก็เพราะอย่างน้อยถ้าเรียนจบ ป.หก ทำงานโรงงานก็ยังทำได้ แต่น้องจบ ป.สี่ จะไปทำอะไรได้นอกจากช่วยที่บ้านรับจ้างตัดอ้อย"

                "จุ๋มรู้จากจดหมายที่เพิ่งส่งมาล่าสุดนี้เองหรือ"

                "ใช่ค่ะ จุ๋มเห็นคุณอันทำงานเหนื่อยแล้ว เลยไม่ได้เล่าให้ฟังเสียที"

                "ทีหลังถ้าจุ๋มมีอะไรไม่สบายใจ จุ๋มบอกฉันก็ได้นะ อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย"

                อันธิกาบีบมือของอีกฝ่ายเบาๆ มือของจุ๋มไม่ได้อ่อนนุ่มเหมือนมือเด็กสาวคนอื่น เพราะเจ้าตัวทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เหมือนกับมือของอันธิกาที่มีรอยสากน้อยๆ จากการยกหม้อแกง ยกตะกร้าหนักๆ จุ๋มไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่ยิ้มให้อันธิกาอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยปาก

                "คุณอันก็ลำบากมากเหมือนกันนี่คะ จุ๋มไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจของตัวเองไปทำให้คุณอันคิดมากอีก"

                "ฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกจุ๋ม" อันธิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แล้วถอนหายใจ "ที่จริงตอนนี้ทำงานหนักกว่าตอนอยู่ที่บ้านมาก เพราะต้องคิดทั้งเรื่องค่าเช่าบ้าน ค่าแรง ค่าทุนทำของขาย แต่ว่าพอขายได้ เหลือเก็บเป็นกำไร ก็หายเหนื่อยแล้ว"

                อันธิกาพูดจากใจจริง เพราะเงินที่เก็บหอมรอมริบมาได้เกือบหนึ่งปีเต็ม ทำให้หญิงสาวเอาไปไถ่สร้อยคอทองคำที่เอาไปจำนำไว้มาได้ในที่สุด ตอนนี้เมื่อไม่ต้องจ่ายหนี้ ก็ทำให้พอมีเงินเหลือเก็บสะสมไว้ในบัญชีธนาคารบ้างแล้ว แม้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ทำให้หญิงสาวอุ่นใจว่า ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ก็ไม่ต้องรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนตอนที่ออกจากบ้านมาอีก อันธิกามองดูจุ๋มที่เริ่มเป็นสาว ก่อนจะเอ่ยปาก

                "จุ๋มเองก็อดทนอีกหน่อยนะ ตอนนี้ร้านเริ่มอยู่ตัวแล้ว ถ้าคืนทุนหมด ฉันจะเพิ่มเงินให้อีกหน่อย"

                "ไม่ต้องเพิ่มแล้วค่ะ เท่านี้ก็ได้มากแล้ว" จุ๋มรีบพูด "คุณอันมีทั้งที่อยู่ แถมมีข้าวให้กินสามมื้อ จุ๋มใช้พอค่ะ คุณอันไม่ต้องห่วง"

                อันธิกาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าจุ๋มรีบเอ่ยปาก เสียงฟ้าร้องครืนๆ ที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงลมดังขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงเปาะแปะของหยาดฝนที่หลั่งรินลงมาในตอนกลางดึก เมื่อเสียงฝนตกถี่ขึ้น อากาศก็เริ่มคลายความร้อนอบอ้าวลง กลิ่นชื้นของฝนทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ทั้งที่เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ทั้งจุ๋มกับอันธิกาก็ยังตาสว่างกันทั้งคู่ เด็กสาวเก็บข้าวของ และเก็บจักรเย็บผ้าเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเอ่ยถามขึ้น

                "คุณอันได้ติดต่อไปหาคุณเพ็ญหรือยังคะ" เมื่อเห็นอันธิกาส่ายหน้า จุ๋มก็เอ่ยต่ออย่างกังวล "จุ๋มเป็นห่วงคุณเพ็ญอย่างไรไม่รู้นะคะ เธอดูตั้งใจมาหาคุณอัน"

                จุ๋มเป็นคนที่เจอกับเพ็ญโพยม พี่สาวของอันธิกาในวันที่อีกฝ่ายมาหาอันธิกาถึงร้านขายข้าวแกง แต่วันที่เพ็ญโพยมมา เป็นวันที่อันธิกาออกไปเอาเงินเข้าบัญชี พี่สาวของอันธิกานั่งรออยู่นาน ก่อนจะลากลับไป เพราะมีขึ้นเวรตอนเย็นแทนเพื่อน แม้จุ๋มจะพยายามสอบถาม เพื่อเอาความไว้บอกกับอันธิกาให้ แต่พี่สาวของอันธิกากลับไม่ยอมบอกรายละเอียด ทำเพียงทิ้งหมายเลขโทรศัพท์เอาไว้ และบอกให้อันธิกาติดต่อกลับไป

                "หรือคุณผู้ชายไปเอาเงินที่คุณเพ็ญแล้วเธอไม่มีหรือเปล่าคะ"

                "ฉันก็คิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันนะจุ๋ม" อันธิกาพูดเมื่อจุ๋มเอ่ยปากตรงกับที่คิด "พี่เพ็ญเขามีเงินไม่มากนักหรอก ครอบครัวคุณหมอเขาก็เขี้ยวน่าดูเหมือนกัน ใช่ว่าพี่เพ็ญจะเอาเงินของสามีมาใช้เหมือนของตัวเองได้ที่ไหน ถ้าคุณพ่อไปก่อหนี้ก่อสินมากเข้าจนพี่เพ็ญไม่มีให้ ฉันเองก็ไม่มีปัญญาจะช่วยเหมือนกัน"

                จุ๋มมองอันธิกาอย่างเห็นใจ หญิงสาวเห็นสีหน้าของจุ๋ม ก็เอ่ยปากให้จุ๋มสบายใจ

                "แต่ช่างเถอะจุ๋ม ถ้าพี่เพ็ญเขามีธุระร้อนจริงๆ เดี๋ยวเขาก็มาหาเองล่ะ" อันธิกาพูดแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนลุกขึ้นยืน "ดึกมากแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปนอนเถอะ พรุ่งนี้จุ๋มต้องตื่นไปเรียนตัดเสื้ออีก ฝนตกอย่างนี้ นอนหลับสบายแน่ๆ"

                "ค่ะ คุณอันก็นอนพักนะคะ พรุ่งนี้จุ๋มจะซื้อขนมมันที่หน้าโรงเรียนสอนตัดเสื้อกลับมาฝากค่ะ"

                อันธิกาหัวเราะน้อยๆ แล้วแยกกับจุ๋มเข้าห้องนอนของตัวเอง เมื่อปิดประตูเข้ามุ้งนอน ก็ยังนอนไม่หลับ ได้แต่นอนลืมตา ฟังเสียงฟ้าร้องครืนๆ สลับกับเสียงฝนที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงด้านนอก หญิงสาวพลิกตัวนอนตะแคง แล้วพยายามหลับตา แต่ในสมองก็ยังคิดเรื่องที่พี่สาวมาหาด้วยความรู้สึกกังวลใจ เพราะเพ็ญโพยมน่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับบิดาจริงๆ ถึงได้มานั่งรอ และไม่ยอมฝากเรื่องไว้กับจุ๋ม

                ยิ่งคิดอันธิกายิ่งว้าวุ่นใจ หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีก้อนหนักๆ กดทับจนหายใจไม่ออก แม้จะข่มตานอนก็นอนไม่หลับ จนต้องลืมตามองความมืดในห้องนอนอย่างเลื่อนลอย ตั้งแต่มารดาจากไป อันธิกาก็ต้องแบกรับภาระต่างๆ เพียงลำพัง ความวิตกกังวลเหล่านี้ทำให้แต่ละคืนกว่าจะนอนหลับได้ อันธิกาก็ต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่เต็มอิ่ม เมื่อนอนหลับไปได้ก็นอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะไม่อาจปล่อยวางความกังวลเรื่องการบริหารจัดการเงินทองที่มีน้อยนิดให้พอกับค่าใช้จ่าย

                และถึงแม้พี่สาวจะรู้ว่าอันธิกาลำบากในการหาเงินแค่ไหน แต่เพ็ญโพยมก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตไม่ต่างกัน ต่างคนจึงต่างคิดว่าไม่อยากพร่ำบ่นถึงความยากลำบากของตัวเองให้อีกคนที่ลำบากอยู่แล้วฟัง อันธิกาจึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดน้อยลงกว่าเดิม และจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง จนเหมือนกับกำลังติดอยู่ในบ่อน้ำที่น้ำสูงท่วมศีรษะ ไม่มีทางจะว่ายขึ้นให้พ้นน้ำได้

                แต่เมื่อตัดสินใจย้ายออกจากบ้าน แม้จะกังวลกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องเผชิญ แต่นั่นกลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่อันธิการู้สึกเหมือนได้หายใจเต็มอิ่มอีกครั้ง 

                อันธิกาถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายก็พยายามปัดความกังวลออกไปจากใจ และหลับตาลง ฟังเสียงฝนที่ยังไม่ขาดเม็ดด้านนอกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด

 

**

 

                เย็นวันเสาร์เป็นวันที่ร้านของอันธิกาครึกครื้นเสมอ มีทั้งลูกค้าที่มานั่งกินขนมจีบ และกินบัวลอย วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ขายดีจนอันธิกากับจุ๋มไม่ได้หยุดพัก หญิงสาวออกไปเก็บถ้วยบัวลอยตอนที่จุ๋มกำลังวุ่นกับการจัดขนมจีบให้ลูกค้า อันธิการีบเก็บใส่ถังสังกะสีเพื่อยกไปวางรอล้างที่หลังร้าน ขณะที่กำลังตั้งใจเก็บ ก็มีคนมีช่วยหิ้วถัง อันธิกาจึงสะดุ้งอย่างตกใจ และถอยห่างจากอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยทัก

                "อ้าว คุณปฐมเองหรือคะ"

                หญิงสาวถอยหลังอีกก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว มือก็ยื้อหูถังสังกะสีที่ปฐมถือไว้ แม้อีกฝ่ายจะยิ้มอย่างเป็นมิตร และไม่ได้มีท่าทีคุกคามใดๆ ในสายตาคนอื่น แต่อันธิกากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก

                "ให้ผมช่วยนะครับ ถังมันหนักนะครับ"

                "ไม่เป็นไรค่ะ อันถือได้" อันธิกาตอบอย่างเรียบๆ และออกแรงดึงถังมาถือไว้เองด้วยสองมือ "เชิญนั่งก่อนนะคะ สั่งอะไรดีคะ"

                คำพูดของอันธิกาสุภาพ แต่ค่อนข้างห่างเหิน ปฐมมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่สุดท้ายเมื่อเห็นว่าอันธิกาถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ จึงเอ่ยปากตอบ

                "เอาบัวลอยไข่หวานถ้วยหนึ่งแล้วกันครับ"

                "ได้ค่ะ เดี๋ยวจะยกมาให้นะคะ"

                อันธิการีบตอบ แล้วหันหลังเดินกลับไป จุ๋มมองดูสถานการณ์อยู่แล้ว เมื่อว่างก็รีบวิ่งมาช่วยอันธิกาหิ้วถัง ก่อนจะกระซิบกับหญิงสาวอย่างรู้ความ

                "คุณอันเข้าไปหลังร้านก่อนก็ได้ค่ะ คนไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวจุ๋มดูข้างหน้าร้านเอง"

                "ขอบใจนะจุ๋ม" อันธิกาตอบเสียงเบา "คุณปฐมเขาสั่งบัวลอยไข่หวาน จุ๋มทำออกไปให้เขาด้วยนะ"

                "ค่ะคุณอัน"

                จุ๋มรับคำ อันธิกาจึงรีบหิ้วถังสังกะสีกลับไปหลังร้าน หญิงสาวถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดว่าตนเองต้องเสียเวลามาหลบอยู่ตรงนี้ แทนที่จะได้ช่วยจุ๋มรับลูกค้าทำมาหากินที่หน้าร้าน ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ทำให้อันธิกาเกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะแม้อีกฝ่ายเข้าหาอย่างมีจุดประสงค์เปิดเผย แต่อันธิกาเองก็เป็นคนค้าขาย จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องต้อนรับอีกฝ่ายตามมารยาท

                หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ สุดท้ายก็ระบายความขุ่นเคืองทั้งหมดลงไปกับการล้างจานชามที่กองอยู่หลังร้าน เมื่อล้างคว่ำชามบัวลอย กับยกตะกร้าช้อนขึ้นเก็บและคลุมด้วยผ้าข้าวบางเสร็จ อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดก็จางหายไปแล้ว หญิงสาวชะโงกหน้าไปที่หน้าร้าน และเห็นว่าลูกค้ามีไม่กี่คนแล้ว จึงเดินออกไปหาจุ๋มที่หน้าร้าน

                ปฐมเห็นอันธิกาเดินออกมา ก็ตั้งท่าจะลุกมาคุยด้วย อันธิกาจึงคว้าถาดและหม้อที่ไม่ได้ใช้แล้วที่หน้าร้าน แล้วเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้านอีกรอบ เมื่อล้างอุปกรณ์ทั้งหมดเสร็จ เดินกลับออกมา ก็ไม่เห็นลูกชายร้านอะไหล่ที่หน้าร้านแล้ว หญิงสาวจึงเดินไปยืนข้างจุ๋มที่เตรียมเก็บของ เพราะของที่เตรียมไว้ขายหมดแล้ว

                "ไปนานแล้วหรือจุ๋ม" อันธิกาถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จุ๋มจึงพยักหน้า และเอ่ยปากเล่า

                "ไปสักพักแล้วค่ะ สงสัยเห็นคุณอันหนีไปหลังร้าน เลยยอมแพ้ ตอนก่อนจะไปยังบอกจุ๋มว่าให้บอกคุณอันด้วย ว่าถ้าวันไหนคุณอันว่าง เขาอยากชวนไปกินไอศกรีมที่ราชวงศ์ค่ะ แต่จุ๋มบอกไปแล้วว่า คุณอันทำงานทุกวัน ไม่น่าจะมีวันว่าง คุณปฐมเขาเลยยิ้มแหยๆ พอจ่ายเงินแล้วก็กลับไปค่ะ"

                "ดีแล้วล่ะที่จุ๋มบอกแบบนั้น" อันธิกายิ้มอย่างพอใจเมื่อพูดต่อ "ฉันตกใจแทบแย่ จู่ๆ ก็โผล่มาช่วยหิ้วถัง ไม่ตกใจจนปล่อยถังหล่นใส่เท้าเข้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว"

                จุ๋มหัวเราะคิก แล้วไปรับเงินจากลูกค้าเจ้าสุดท้าย สองคนช่วยกันยกเก็บโต๊ะ เตรียมเก็บกวาดเพื่อจบงานในวันนี้ ขณะที่อันธิกากำลังเช็ดโต๊ะ ส่วนจุ๋มก็เก็บกวาดในร้าน เด็กสาวก็เอ่ยขึ้น

                "คุณดาเธอหายไปนานเลยนะคะ ไม่เห็นมาบ้านนี้เลย"

                "คงจะยุ่งๆ เลยไม่ได้มาน่ะสิ"

                อันธิกาตอบ แต่เพราะหันหลังให้จุ๋ม เด็กสาวจึงไม่ทันเห็นสีหน้าและแววตาของหญิงสาว เรื่องที่ดาริกาหายเงียบไปหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายตอนไปเยาวราชด้วยกัน ทำให้อันธิการู้สึกเซื่องซึมอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวอยากรู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหน หรือทำอะไรอยู่ แต่กลับไม่อาจติดต่อดาริกาไปได้อย่างใจนึก

                เพราะอันธิกาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรสำหรับดาริกา จะเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นคนรู้จักก็ไม่เชิง

                "คิดถึงคุณดาเหมือนกันนะคะ"

                จุ๋มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ขณะที่มือก็ยังกวาดพื้นไปด้วย อันธิกาไม่ได้ตอบ แต่เห็นด้วยกับที่จุ๋มพูดออกมาทุกคำอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

 

**

 

                ตามปกติแล้วดาริกามักจะปฏิเสธไม่ร่วมงานเลี้ยงโต๊ะแชร์ที่จะจัดขึ้นทุกเดือน หญิงสาวไม่เกี่ยงว่าถ้าไม่ได้เข้าร่วม ก็จะต้องได้รับเงินค่าแชร์เป็นมือสุดท้ายของวง แต่งวดนี้กัลยาโทรศัพท์มาตามอยู่หลายหน และบอกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มเอาแต่รบเร้าถามกัลยาเรื่องข่าวลือว่าดาริกาทะเลาะกับพรนลัท จนเจ้าตัวไม่รู้ว่าจะสยบข่าวลืออย่างไรดี สุดท้ายจึงได้แต่ขอร้องให้ดาริกายอมไปงานกินเลี้ยงที่พรนลัทก็ตกลงไปร่วม เพื่อให้พวกเพื่อนๆ เลิกถาม ดาริกาสงสารคนกลางอย่างกัลยา จึงต้องตัดปัญหาด้วยการตกลงไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้อย่างเสียไม่ได้

                ขณะที่ดาริกากำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้อง ศศินก็เดินผ่านหน้าประตูห้องที่เปิดไว้กว้าง น้องชายคนเล็กของดาริกาเยี่ยมหน้าเข้ามา ก่อนเอ่ยทักเสียงสดใส

                "พี่ดาจะออกข้างนอกหรือครับ"

                "ค่ะ จะไปกินเลี้ยงโต๊ะแชร์" ดาริกาพูดพลางมองดูศศินเดินเข้ามานั่งที่ปลายเตียงผ่านทางกระจก "แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหนหรือคะน้องศิน"

                "ไปครับ เดี๋ยวเที่ยงจะไปเจอภาณุที่มหาวิทยาลัย" ศศินตอบเสียงอ่อน แล้วทำหน้าไม่สบายใจ "เพราะศินเลย ทำให้พี่ดาทะเลาะกับคุณพ่อเสียใหญ่โต"

                "มันไม่ใช่ความผิดของน้องศินเลยค่ะ เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะความโลเลของคุณพ่อนั่นแหละ"

                ดาริกาตอบแล้ววางแปรงหวีผมลงที่หน้ากระจก ก่อนจะหันไปมองหน้าน้องชาย และเอ่ยสำทับ

                "เลิกทำหน้างอได้แล้วค่ะ ประเดี๋ยวไปเจอภาณุเขาจะเป็นห่วงเอานะ"

                ศศินทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม น่ารักน่าเอ็นดูจนดาริกาอารมณ์สดใสขึ้นมาทันควัน น้องชายของดาริกาขอตัวกลับออกไป ส่วนหญิงสาวก็แต่งหน้าทำผมจนเรียบร้อย แล้วสวมชุดใหม่เอี่ยมที่เพิ่งซื้อมากับรองเท้า และกระเป๋าถือเข้าชุดกัน แล้วขับรถออกจากบ้าน เมื่อไปถึงร้านอาหารไทยที่กัลยาจองไว้ ดาริกาก็จอดรถ แล้วแจ้งพนักงานที่มาต้อนรับว่าจองโต๊ะเอาไว้แล้ว พนักงานจึงพาเข้าไปที่โต๊ะฝั่งสวนภายในร้าน

                คนอื่นๆ มาถึงกันครบหมดแล้ว เมื่อนั่งลงเรียบร้อย ดาริกาก็ยิ้มให้เพื่อนๆ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสดใส

                "ขอโทษทุกคนด้วยนะจ๊ะที่ช้า"

                "ไม่เป็นไรหรอก คนสวยก็ต้องมาช้าสิจ๊ะ ใครจะกล้าว่า"

                อโนชาเพื่อนสมัยมัธยมปลายของดาริกาเอ่ยด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง แม้ดาริกาจะไม่ชอบใจนัก เพราะอีกฝ่ายมีนิสัยชอบพูดจาคลุมเครือ จนคนฟังเดาไม่ออกว่าคำพูดนั้นเป็นคำเป็นเพียงการหยอกล้อ หรือมีจุดประสงค์จะเหน็บแนม แต่หญิงสาวก็ยังหัวเราะไปกับอโนชาด้วย เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ

                คนอื่นๆ ในโต๊ะมีท่าทางลำบากใจ เพราะพรนลัทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดาริกา ทำเพียงแต่มองมานิ่งๆ ไม่ยิ้ม หรือทักทายดาริกา เป็นการยืนยันความเข้าใจของเพื่อนๆ คนอื่นว่า อดีตเพื่อนสนิททั้งคู่ มีเรื่องผิดใจกันรุนแรง จนดาริกาถึงกับไม่ไปร่วมงานแต่งของพรนลัท บรรดาเพื่อนๆ จึงได้แต่ชวนกันคุยไปในเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกร่อยลง

                กัลยาที่นั่งข้างดาริกา หันมาถามเพื่อนสนิทด้วยท่าทางกระตือรือร้น

                "ดาดื่มน้ำอะไรดี ร้านนี้เขาทำน้ำพั้นช์อร่อยนะ"

                "ก็ดีเหมือนกัน อย่างนั้นดาเอาน้ำพั้นช์ด้วย"

                ดาริกาตอบอย่างเป็นธรรมชาติ และเมื่อกัลยาหันไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม ดาริกาก็หันไปหาเรวดี เพื่อนที่นั่งข้างตัวเอง และเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นปกติ

                "ไม่ได้เจอเรตั้งนาน ดาได้ยินจากกัลยาว่าเรเลี้ยงลูกเองด้วย วันนี้มีคนช่วยเลี้ยงหรือเปล่า เลยได้ออกมาเจอกัน ดีใจจัง"

                "ใช่จ้ะดา คุณแม่สามีเขามาช่วยดูน่ะ บอกว่าเรอยู่บ้านเลี้ยงลูกจนโทรมแล้ว อยากให้ออกมาเจอเพื่อนๆ บ้าง" เรวดีตอบอย่างเอียงอายเหมือนสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แม้จะมีลูกคนหนึ่งแล้วก็ตาม

                "ไม่เห็นโทรมเลย ดาว่าดูหุ่นดี มีน้ำมีนวลขึ้นด้วยนะ มีราศีคุณนายเจ้าของโรงสี"

                ดาริกาเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม ทำเอาคนฟังยิ้มอย่างขัดเขิน อมราเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างพรนลัทนั่งฟังอยู่ ก็เลยเอ่ยต่ออย่างเห็นด้วย

                "จริงอย่างที่ดาว่านะ เมื่อก่อนเรผอมมาก พอมีลูกเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อย" อมราพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ "เห็นเรมีลูกอย่างนี้แล้วฉันนึกอิจฉาจริง ฉันพยายามมีลูกมาสองสามปีแล้ว ก็ยังไม่มีเสียที"

                เพื่อนๆ ในวงโต๊ะแชร์ของดาริกาแต่งงานกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่กัลยาที่กำลังปลูกเรือนหอ และดาริกาที่ยังเป็นโสด หญิงสาวจิบน้ำพั้นช์ที่ได้รับมา และปล่อยให้บทสนทนาเรื่องเกี่ยวกับเคล็ดลับการเตรียมตัวตั้งครรภ์ลอยผ่านหูไปด้วยท่าทางเหมือนกำลังตั้งใจฟัง จนกระทั่งอโนชาเอ่ยขึ้นมา

                "แล้วน้ำผึ้งล่ะ วางแผนจะมีลูกเลยหรือเปล่า"

                ดาริกาวางแก้วน้ำพั้นช์ลงกับโต๊ะ และเอนหลังกอดอกมองดูพรนลัทที่มีท่าทีอ้ำอึ้ง คนที่ถูกถามสบตากับดาริกาแล้วเบนสายตาหนีไปอย่างรวดเร็ว ดาริกามีสีหน้าที่ดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง มุมปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดยกยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังรอฟังคำตอบ พรนลัทหลุบตาต่ำ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

                "ก็คิดว่าจะมีเลยเหมือนกัน"

                "แหม น้ำผึ้งละก็ จะต้องอายอะไรล่ะ พวกเราก็โตๆ กันแล้ว ทำท่าอายอย่างกับเด็กๆ ไปได้"

                อโนชาพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ทำให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ พากันหัวเราะคิกคัก ดาริกายกแก้วพั้นช์ชูขึ้นไปทางพรนลัท ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสดใส

                "ขอให้มีลูกไวๆ สมความตั้งใจนะน้ำผึ้ง"

                คนได้รับคำอวยพรได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เมื่อดาริกาพูดเสร็จก็ดื่มเครื่องดื่มในแก้วจนหมด อาหารที่กัลยาสั่งไว้เริ่มถูกยกเข้ามาที่โต๊ะ ดาริกาหยิบกระเป๋าถือแล้วกระซิบบอกกัลยาว่าขอตัวไปสูบบุหรี่สักครู่ แล้วเดินออกไปทางด้านหน้าร้าน มือของหญิงสาวกำสายกระเป๋าไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อมาหยุดตรงเคาน์เตอร์ ดาริกายิ้มให้พนักงานอย่างเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยปาก

                "ช่วยคิดค่าอาหารของโต๊ะในสวนให้หน่อยค่ะ"

                พนักงานคิดค่าอาหารให้ ดาริกาจึงวางเงินสดเกินจำนวนค่าอาหารไปอีกประมาณห้าร้อยบาท เผื่อว่าจะมีใครสั่งอะไรเพิ่ม และเอ่ยกับพนักงานด้วยท่าทางสบายๆ

                "ถ้าค่าอาหารไม่เกินจากนี้ก็ไม่ต้องทอนนะคะ เอาเป็นทิปไปแบ่งกันได้เลยค่ะ"

                หญิงสาวโปรยยิ้มหวานเมื่อพนักงานยกมือไหว้ขอบคุณ ดาริกาเดินออกมาขึ้นรถ ก่อนจะขับออกจากร้านอย่างไม่ลังเลใจ ดาริการู้ใจของตัวเองดีว่า ตัวเองตัดความรู้สึกลึกซึ้งทั้งหมดที่มีต่อพรนลัทออกไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมีลูกหลังจากแต่งงาน ในใจของดาริกาก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวไม่อยากทนปั้นหน้า แสร้งหัวเราะไปทั้งที่ไม่รู้สึกอยากหัวเราะอีกแล้ว สุดท้ายจึงทำได้เพียงออกมาจากที่กินเลี้ยง เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกฝืนใจมากไปกว่านี้

                ดาริกาขับรถมาจนถึงบ้านใหม่ของตัวเองอย่างเลื่อนลอย ขณะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้าน ก็เห็นอันธิกากำลังเก็บกวาดร้านข้าวแกงอยู่เพียงลำพัง สุดท้ายรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันงามของดาริกาก็จอดที่ข้างทาง ก่อนที่เจ้าของรถจะเดินไปหาอันธิกา วันนี้หญิงสาวเจ้าของร้านข้าวแกงรวบผมเป็นมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนสั้นสีนวลๆ กับกระโปรงสีน้ำเงินเรียบๆ เมื่อเห็นดาริกาเข้าในดวงตากลมดำขลับของอันธิกา เหมือนจะมีประกายเล็กๆ วิบวับไปทั่วเมื่อเอ่ยทัก

                "คุณดา ไปไหนมาเสียหลายวันคะ"

                "ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ" ดาริกาเอ่ยปากก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน "กับข้าวหมดแล้วหรือคะ ดาอุตส่าห์จะมาฝากท้องที่ร้านคุณอันเสียหน่อย"

                "วันนี้ขายของเกือบหมด จุ๋มกับอันก็เลยทานของที่เหลือนิดเดียวไปแล้วด้วยสิคะ คุณดายังไม่ได้ทานอะไรหรือคะ"

                "ยังเลยค่ะ"

                ดาริกาตอบ และส่งยิ้มให้จุ๋มที่เดินออกมาชะเง้อหน้ามอง เมื่อเด็กสาวยกมือไหว้ ดาริกาก็รับไหว้ แล้วทักอย่างสดใส

                "ไม่เจอกันนาน จุ๋มสวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย"

                "คุณดาละก็" จุ๋มหัวเราะคิกคักเมื่อเอ่ยคำ "ถ้าไม่เจอกันนานแล้วจุ๋มสวยขึ้น คุณอันก็ต้องสวยขึ้นด้วยสิคะ เพราะไม่เจอคุณดานานแล้วเหมือนกันนะคะ"

                "คุณอันเขาสวยอยู่แล้วนี่จ้ะ ยิ่งมองก็ยิ่งสวยน่ารัก ส่วนจุ๋มก็สวยขึ้น ถูกไหมล่ะ"

                ดาริกาตอบแล้วหันไปสบตาอันธิกา ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงก่ำ จุ๋มเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงหัวเราะคิกคัก อันธิกาจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเบาๆ

                "คุณดานั่งก่อนนะคะ อันจะไปดูว่ายังพอมีอะไรที่จะทำให้ทานได้บ้าง"

                "สงสัยจะเขินนะคะ" จุ๋มพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่ออันธิกาก้มหน้างุดๆ เดินหายเข้าไปในครัว เด็กสาวเปิดพัดลมให้ดาริกา แล้วเอ่ยปากกับดาริกา "คุณดารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจุ๋มไปยกน้ำมาให้ค่ะ"

                "ไม่เป็นไร ฉันไปนั่งดูคุณอันทำกับข้าวดีกว่า"

                "ได้ค่ะ"

                จุ๋มรับคำ และเดินนำดาริกาเข้าไปในครัว เมื่อเจ้าของครัวเห็นดาริกา ก็เอ่ยปากด้วยความไม่สบายใจ

                "คุณดานั่งรอข้างนอกดีไหมคะ มานั่งในครัวเดี๋ยวชุดเปื้อน" อันธิกาพูดอย่างกังวลเมื่อเห็นดาริกานั่งลงตรงแคร่ที่ใช้นั่งทำงานในครัว "ตอนนี้ในครัวไม่มีของสดเหลือแล้ว เพราะพรุ่งนี้วันอาทิตย์ อันหยุดขายของ ของสดมีเหลือแต่ไข่กับหมูสับ อันจะทำไข่เจียวหมูสับให้ คุณดาทานได้ใช่ไหมคะ"

                "ได้หมดเลยค่ะ ตอนนี้หิวมากจนตาลายแล้วค่ะ"

                ดาริกาตอบ แล้วหันไปขอบคุณจุ๋มที่ถือแก้วน้ำชาจีนใส่น้ำแข็งมาให้ พอเห็นอันธิกายังลังเล ดาริกาก็เอ่ยปาก

                "คุณอันทำกับข้าวเลยค่ะ ไม่ต้องสนใจดา ดานั่งตรงนี้ จะไม่ซน สัญญาค่ะ"

                ดาริกาพูดแล้วทำหน้าขึงขัง อันธิกาจึงไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ ได้แต่หันไปหาจุ๋ม และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

                "เดี๋ยวจุ๋มช่วยซอยพริกขี้หนูสวนสักสามสี่เม็ด หอมแดงสองหัว กระเทียมจีนสักกลีบให้หน่อยนะจ๊ะ"

                "ได้ค่ะคุณอัน"

                จุ๋มรับคำ อันธิกาจึงตอกไข่สองฟองลงไปตีกับหมูสับจนเข้ากัน ขณะเดียวกันก็เร่งไฟแรง ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป ดาริกาถือแก้วน้ำชาจีนใส่น้ำแข็งมายืนใกล้ๆ จึงถูกอันธิกาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดุๆ

                "คุณดาถอยไปหน่อยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวน้ำมันจะกระเด็นโดนเสื้อนะคะ"

                "ดาขอดูไม่ได้หรือคะ ดาไม่เคยเจียวไข่เองเลยค่ะ"

                อันธิกาหันมองหญิงสาวตรงหน้าราวกับได้ฟังคำพูดที่ไม่น่าเชื่อที่สุด เมื่อเห็นดาริกาไม่มีท่าทางล้อเล่น ก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ 

                "ทำไข่เจียวง่ายมากๆ นะคะ แค่เอาไข่มาตีให้ฟู ใส่หมูหรือผักที่ชอบลงไปก็ได้ แล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำปลานิดหน่อย แต่ต้องทอดในกระทะที่ใส่น้ำมันเยอะพอสมควร ตั้งไฟให้ร้อนแบบนี้เลยนะคะ คุณดาลองดู ถ้าเห็นไอร้อนลอยขึ้นมาก็ใช้ได้แล้วค่ะ"

                "ดูไม่ออกอยู่ดีค่ะ ว่าร้อนแล้วยัง แต่ยืนหน้าเตาแบบนี้ ดาก็ว่าร้อนนะคะ"

                อันธิกาถอนใจเหมือนกำลังรบกับเด็ก หญิงสาวไม่พูดอะไรต่อ แต่ตีไข่ในถ้วยจนขึ้นฟู แล้วเทไข่ลงในกระทะโดยยกมือขึ้นค่อนข้างสูง แล้วเทวนจนไข่หมด กลิ่นของน้ำมันที่โดนความร้อนและกลิ่นของไข่ที่กำลังขึ้นฟูเริ่มหอมอบอวลในห้องครัวเล็กๆ ทำเอาคนที่ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงอย่างดาริกาถึงกับกลืนน้ำลาย อันธิกามองสายตาโหยหิวของอีกฝ่ายที่มองดูไข่เจียวในกระทะแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเอ่ยต่อ

                "ไข่เจียวไม่ต้องคนบ่อยค่ะ สังเกตดูหน้าไข่และรอบๆ ว่าเริ่มสุกแล้วหรือยัง ถ้าไม่แน่ใจเอาตะหลิวยกขอบดูนิดๆ แบบนี้ก็ได้ค่ะ" อันธิกาสาธิตให้ดาริกาดู คนดูก็ดูอย่างตั้งใจจนคนทำเริ่มทำตัวไม่ค่อยถูก "ไข่ข้างล่างก็เหลืองดีแล้ว แต่อยากให้สุกกว่านี้หน่อย ก็ปล่อยไว้ก่อนได้ค่ะ แต่ถ้าพอแล้วก็ค่อยๆ พลิกแบบนี้"

                อันธิกาจัดการพลิกไข่เจียวได้อย่างสวยงาม ก่อนจะวางตะหลิว และเดินไปหาจุ๋มโดยมีดาริกาเดินตามหลังอย่างอยากรู้อยากเห็น จุ๋มจัดการเอาพริก หอม กระเทียมที่ซอยไว้ละเอียดใส่ถ้วยเล็กให้แล้ว อันธิกาก็เติมน้ำปลา น้ำตาลเล็กน้อย เกลือป่นนิดหน่อย กับมะนาวอีกครึ่งซีก กลิ่นหอมเปรี้ยวของมะนาวกับกลิ่นของน้ำปลา หอมฟุ้งจนดาริกาหิวจนแทบทนไม่ไหว

                เมื่อพริกน้ำปลาเสร็จเรียบร้อย ไข่เจียวก็กรอบเหลืองพอดี อันธิกาจัดการตักขึ้นใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมัน ก่อนโปะลงบนข้าวสวยร้อนๆ ที่จุ๋มคดใส่จานเตรียมไว้ให้ อันธิกามองดูคนที่หิวข้าวจนน่าสงสาร ก่อนจะเอ่ยปาก

                "เสร็จแล้วค่ะ ข้าวไข่เจียวหมูสับของคุณดา ไปนั่งทานด้านหน้าร้านดีกว่านะคะ"

                "คุณดาไปทานเถอะค่ะ หน้าตาดูหิวจนจะเป็นลมแล้วนะคะ" จุ๋มเอ่ยล้ออย่างขบขัน "คุณอันไปนั่งเป็นเพื่อนคุณดาเถอะค่ะ เดี๋ยวจุ๋มจัดการหลังร้านเองค่ะ"

                "ฝากด้วยนะจุ๋ม"

                อันธิกายิ้มให้จุ๋มก่อนจะเดินไปนั่งกับดาริกา หญิงสาวเจ้าของห้องแถวนั่งลงที่โต๊ะ และตักพริกน้ำปลาราดลงนิดหน่อยบนไข่เจียวเหลืองกรอบ ก่อนจะตักเข้าปาก กลิ่นหอมฟุ้งของไข่ที่ทอดในน้ำมันอย่างดี รวมกับรสเค็มๆ เปรี้ยวๆ ของพริกน้ำปลาทำให้ข้าวสวยที่หุงไว้นุ่มยิ่งอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ดาริกาตักข้าวไข่เจียวเข้าปากไปหลายคำ ก่อนจะเอ่ยปาก

                "ข้าวไข่เจียวหมูสับกับพริกน้ำปลา นี่อร่อยขนาดนี้ได้เลยเหรอคะ"

                อันธิกาหัวเราะท่าทางอยากเชื่อของดาริกา และยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายตักข้าวเข้าปากอีกคำ ดาริกากลืนข้าวแล้วถอนใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกรอบ

                "ดาไม่อยากเชื่อเลยค่ะ ว่าไข่เจียวหมูสับจะอร่อยขนาดนี้"

                "อร่อยสิคะ เพราะว่าคุณดาหิว"

                "ไม่ใช่หรอกค่ะ ต่อให้ไม่หิว ดาก็ว่าอร่อยค่ะ" ดาริกาพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "คุณอันทำอาหารอร่อยทุกอย่างจริงๆ นะคะ"

                "ที่จริงไข่เจียวนี่ใครๆ เขาก็ว่าเป็นอาหารง่ายๆ กินกันตายนะคะ" อันธิกายังยิ้มน้อยๆ เพราะคำชมจากอีกฝ่าย "แต่คุณแม่ของอันบอกว่า อาหารที่ง่ายๆ อย่างไข่เจียว ไข่ต้มนี่แหละค่ะ ที่เป็นอาหารพิสูจน์ความใส่ใจของคนทำ ไข่เจียวต้องใช้ไข่สดใหม่ตีไข่ให้ฟู ต้องรอไฟให้น้ำมันร้อนได้ที่ พอใส่ไข่ที่ตีไว้ลงไปแล้ว ก็ต้องอดทนรอจนกว่าไข่จะสุกดีแล้วค่อยพลิกถึงจะไม่เละ ส่วนไข่ต้มก็ต้องใช้ไข่เก่า ต้มน้ำจนน้ำเดือดเป็นฟองใหญ่แล้วใส่ไข่ลงไปต้ม จากนั้นต้องการไข่สุกแค่ไหน ก็ต้องคอยจับเวลาไว้ ที่จริงการทำอาหารเป็นเรื่องการอดทนรอคอยความเหมาะสม ทั้งช่วงเวลาที่ลงมือปรุง ทั้งความแรงของไฟ ทุกอย่างต้องพอดีกันค่ะ"

                "ดาไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ ดาไม่เคยทำครัวเลย" ดาริกาพูด และตักข้าวเข้าปากอีกหนึ่งคำ "ถ้าดาไม่รู้จักคุณอัน ดาก็อดกินกับข้าวอร่อยๆ ที่ทำด้วยความใส่ใจแบบนี้เลยนะคะ"

                อันธิกาได้แต่ยิ้มเมื่อถูกชมต่อหน้า ส่วนดาริกาก็ตั้งอกตั้งใจจัดการอาหารตรงหน้าจนไม่เหลือข้าวสักเม็ดในจาน หลังจากดื่มน้ำแล้ว หญิงสาวก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม

                "คุณอันทำกับข้าวอร่อยแบบนี้ ดาต้องมาฝากท้องไว้ตลอดชีวิตแล้วไหมคะ"

                คำพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ ของดาริกาทำเอาคนฟังทำหน้าแทบไม่ถูก อันธิกาไม่อยากยิ้ม แต่ก็กลั้นยิ้มได้อย่างยากเย็น ยิ่งเห็นสีหน้าของอันธิกาเป็นแบบนั้น ดาริกาก็ยิ่งโปรยยิ้มหวาน ยกมือขึ้นเท้าคางและจ้องตาอันธิกาก่อนเอ่ยปาก

                "ดาจริงจังนะคะ"

                "คุณดานั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวอันเอาจานไปเก็บให้ค่ะ"

                อันธิกาพูดเร็วจี๋ก่อนจะหยิบจานข้าวของดาริกาแล้วลุกไปเก็บหลังร้าน โดยที่มีเสียงพูดหัวเราะชอบใจเบาๆ ของดาริกาไล่หลังมาทำให้อันธิกายิ่งทำหน้าไม่ถูกเข้าไปกันใหญ่ จนจุ๋มที่เพิ่งจัดการหลังครัวเสร็จ เห็นอันธิกาหน้าแดงจัด ยืนหันรีหันขวางทำตัวไม่ต้องแอบขำท่าทางของอันธิกาอย่างเงียบๆ คนเดียว

 

 

#ดุจดารานำทาง