03

 

               อันธิกาออกไปร้านทองที่เอาสร้อยคอไปจำนำไว้ตั้งแต่เช้า หญิงสาวพกเงินที่หักจากรายได้ที่ขายข้าวแกงเดือนที่แล้ว เอาไปจ่ายค่าดอกเบี้ย และปลดต้นที่ยืมมาบางส่วน เจ้าของร้านทองที่ได้รับเงินจากลูกหนี้ตั้งแต่เช้ายิ้มให้หญิงสาวอย่างใจดี ก่อนจะเอ่ยปากชวนคุยขณะที่เขียนยอดเงินต้นที่ยังค้างอยู่ลงไปในตั๋วจำนำ

               "เงินทองเริ่มคล่องมือขึ้นมาแล้วหรือคุณ"

               "ค่ะ ฉันเปิดร้านขายข้าวแกง ตอนนี้พอมีลูกค้าอยู่ตัว ถ้ามีเงินพอ ฉันรีบเอามาจ่ายต้นเพิ่มนะคะ" อันธิกาพูดก่อนรับตั๋วจำนำมาจากอีกฝ่าย

               "มีเงินเมื่อไรก็เอามาโปะนะ คุณจ่ายดอกตรงเวลาอย่างนี้ ผมไม่เอาเป็นขาดหรอกครับ"

               "ขอบคุณค่ะ อย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ"

               อันธิกาบอกลาอีกฝ่าย และเดินไปฝากเงินเก็บเข้าบัญชีที่ธนาคารใกล้ๆ ก่อนจะขึ้นรถประจำทางกลับบ้านโดยไม่โอ้เอ้ เพราะนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบสิบโมงเช้า อันธิกาบอกกับจุ๋มไว้ว่าจะรีบไปรีบกลับให้ถึงร้านก่อนสิบเอ็ดโมง โดยให้เด็กสาวเฝ้าร้านตามลำพังหลังจากทำกับข้าวเตรียมขายไว้เสร็จแล้ว

               หญิงสาวลงรถประจำทางแล้วก็เดินจ้ำไปที่ร้านตัวเอง กว่าจะถึงร้านก็ถึงกับเหงื่อตก ทำเอาจุ๋มที่หันมาเห็นเข้าถึงกับร้องทักอย่างเห็นใจ

               "โธ่เอ๋ย คุณอัน ไม่เห็นต้องรีบเลยค่ะ ดูสิ เหงื่อโซมทีเดียว นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวจุ๋มไปเอาน้ำมาให้"

               "ฉันรีบน่ะ กลัวมาสาย แล้วจุ๋มจะตักข้าวไม่ทัน"

               อันธิกาพูดขณะที่นั่งลงที่โต๊ะสำหรับลูกค้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ตัวเอง ส่วนจุ๋มกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่า ใส่น้ำแข็งบดเย็นๆ พอได้ดื่มน้ำ ได้นั่งพักให้หายเหนื่อย อันธิกาก็ดูสดใสขึ้น หญิงสาวหยิบซองออกจากกระเป๋าถือ และยื่นส่งให้จุ๋ม ก่อนเอ่ยปาก

               "ค่าแรงเดือนแรกของจุ๋มที่ร้านนี้ของฉัน จุ๋มลองนับดูว่าครบหรือเปล่า"

               "ขอบพระคุณค่ะคุณอัน"

               จุ๋มรับซองเงินไปเปิดนับด้วยสีหน้าปลื้มใจ แต่เด็กสาวค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าเมื่อรู้จำนวนธนบัตรในซอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอันธิกา

               "คุณอันให้เงินมาเกินนะคะ"

               "ไม่เกินหรอกจุ๋ม ตอนนี้ฉันเพิ่มค่าจ้างให้จุ๋มเป็นวันละสิบห้าบาทก่อน จุ๋มจะได้มีเงินส่งให้ที่บ้านเหมือนเดิม แล้วก็จะได้เก็บเอาไว้ไปเรียนตัดเสื้อ จุ๋มอยากเรียนไม่ใช่หรือ" อันธิกาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ตามนิสัย "เมื่อก่อนอยู่บ้านโน้น จุ๋มได้เดือนละสามร้อยบาท แต่ก็ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนตอนนี้ ฉันเลยขึ้นเงินให้ จุ๋มรับไปเถอะนะ"

               "ขอบพระคุณค่ะคุณอัน เท่านี้คุณอันให้จุ๋มมากแล้วค่ะ คนงานโรงงานที่เคยมาชวนจุ๋มไปทำงาน เขาได้เงินวันละสิบบาทเท่านั้นเอง นี่มากกว่าที่คนงานโรงงานเขาได้เสียอีกค่ะ จุ๋มจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่เลยค่ะคุณอัน"

               "ถ้าเกิดฉันค้าขายได้คืนทุน ฉันจะเพิ่มให้จุ๋มอีก เป็นน้ำใจที่จุ๋มช่วยฉันมาตลอด" อันธิกาเห็นเด็กสาวทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ จึงรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง "เอาล่ะ จุ๋มเอาเงินไปเก็บเถอะ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะได้เอาไปส่งธนาณัติไปให้ที่บ้าน ป่านนี้เขาคงคอยเงินกันแล้ว ประเดี๋ยวฉันจะไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดเสียหน่อย ลูกค้าใกล้มาแล้ว"

               "ค่ะคุณอัน"

               อันธิกาพยักหน้าแล้วไปล้างหน้าล้างตาที่หลังบ้าน ก่อนจะเดินขึ้นไปเปลี่ยนชุดเมื่อเห็นจุ๋มกลับมานั่งประจำที่หน้าร้านแล้ว หญิงสาวนึกถึงเงินฝากเพียงสามร้อยบาทที่เพิ่งเอาเข้าธนาคารไปอย่างใจลอย เดือนที่ผ่านมาแม้จะขายของได้คล่องมือ แต่ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่ายทุกอย่าง เมื่อคำนวนรายจ่ายอย่างรัดกุม หักค่าต้นทุนของเดือนถัดไป ค่าจ้างจุ๋ม ค่าเช่าตึก ค่าดอกเบี้ยสร้อยที่จำนำไว้ และค่าใช้จ่ายจิปาถะไปแล้ว อันธิกาก็เหลือเงินสำหรับตัวเองในเดือนนี้เพียงห้าร้อยบาท หญิงสาวจึงเก็บไว้ติดตัวเผื่อฉุกเฉินสองร้อยบาท และที่เหลือเอาไปฝากธนาคารเอาไว้ ถ้าหากเงินตึงมือขึ้นมาจริงๆ จะไปถอนออกมาใช้จ่ายก็ยังพอได้

               เมื่อมองดูใบหน้าของตัวเองในบานกระจกที่ห้องนอน อันธิกาก็เห็นความอ่อนล้า ความกังวลต่ออนาคตที่ไม่แน่นอนฉายชัดอยู่ในเงาสะท้อน ความขัดสนในยามนี้ ทำให้อันธิกาหวนนึกถึงเงินเก็บที่คุณแม่ฝากเอาไว้ให้ในธนาคาร ซึ่งเคยมีมากพอให้เธอสามารถใช้เป็นทุนรอนตั้งตัวได้โดยไม่ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนเช่นตอนนี้

               หญิงสาวเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือ และเห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว จึงรีบสลัดความรู้สึกทั้งหมด และลงไปช่วยจุ๋มขายของด้วยสีหน้าแจ่มใส อันธิกาเป็นคนพูดน้อย จึงมักทำเพียงยิ้มและทักทายลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ช่วยตักข้าวเตรียมไว้ให้จุ๋มตักแกงตามที่ลูกค้าสั่ง แล้วไปยืนรอรับเงินทอนเงิน

               ลูกค้าประจำมักพูดคุยหยุดพูดคุยกับจุ๋มเล็กๆ น้อยๆ เมื่อสั่งข้าว ก่อนจะลากลับออกไปเมื่อกินข้าวอิ่ม อันธิกากับจุ๋มก็จะช่วยกันเก็บโต๊ะ เช็ดถูให้พร้อมสำหรับลูกค้าคนใหม่ที่จะเข้ามานั่ง เมื่อหมดคนตอนเที่ยง งานทำความสะอาดจานชามกองโตก็รอให้สะสางอยู่หลังครัว เมื่อเสร็จงานทำความสะอาด ก็ถึงเวลาต้องทำขนมจีบเตรียมขายตอนเย็น งานที่วนเวียนไปเรื่อยๆ ราวกับลานของนาฬิกาเช่นนี้ ทำให้อันธิกาไม่มีเวลาเศร้าหมอง หรือนึกถึงความเศร้าของตนเองมากนัก เพราะงานหนักเหล่านี้ ดึงเรี่ยวแรงไปจากหญิงสาว จนทำให้หลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน

               วันนี้ขนมจีบของอันธิกามีคนมาเหมาไปหมดตั้งแต่ก่อนหกโมงเย็น หญิงสาวกับจุ๋มจึงมีเวลาหายใจหายคอ ขณะที่รอหม้อข้าวเดือดปุดๆ อันธิกาลงมือทอดปลาสลิดที่เจ๊แมวเอามาให้เกือบสิบตัว จุ๋มนั่งเด็ดยอดผักกระเฉดทำท่าหิวโหย เมื่อปลาในกระทะที่อันธิกากำลังทอดอยู่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

               "เรากินข้าวกับปลาทอดอย่างเดียวก็ได้นะคะคุณอัน ทั้งกลิ่นข้าวสุก กลิ่นปลาทอด จุ๋มได้กลิ่นก็หิวจะแย่แล้ว"

               อันธิกาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าน้ำลายสอ ก่อนจะหันไปตักปลาที่ทอดจนเหลืองกรอบขึ้นมาพักไว้ และเอ่ยปากกับจุ๋ม

               "อย่างนั้นรีบเด็ดกระเฉดเข้าเถอะจุ๋ม จะได้รีบแกง แล้วจะได้กินให้หายหิว"

               "เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวจุ๋มล้างผักก็ตั้งหม้อแกงได้เลยค่ะ"

               อันธิกาพยักหน้ารับ หญิงสาวหันไปยกกระทะเทน้ำมันลงไปในปี๊ปใส่น้ำมันที่ทอดแล้ว ก่อนจะเปิดลังไม้บุเหล็กที่อัดน้ำแข็งไว้เย็นเฉียบ หยิบกะละมังใส่หัวและเปลือกกุ้งที่เหลือจากการแกะเนื้อมาทำผัดผักรวมมิตรขายวันนี้ออกมา หญิงสาวเทของทั้งหมดลงไปในหม้อที่ยกขึ้นตั้งไฟ พร้อมกับโรยเกลือหยิบมือหนึ่ง แล้วเริ่มต้นคั่วหัวและเปลือกกุ้งด้วยไฟปานกลาง กลิ่นเฉพาะตัวของกุ้งค่อยๆ ฟุ้งขึ้นจนจุ๋มที่ล้างผักเสร็จต้องเดินมามองดูอย่างสนใจ อันธิกาพูดขึ้น

               "ฉันให้จุ๋มล้างกุ้งให้สะอาด ตัดกรีกุ้งกับหนวดออก แล้วแกะหัวกับเปลือกเอาไว้ เพราะมันเอามาใช้ได้ เอามาคั่วกับเกลือนิดหน่อยให้สุกแบบนี้ เสร็จแล้วก็เติมน้ำลงไปพอเท่าที่เราจะใช้แกง" อันธิกาพูดพลางเทน้ำ และใช้ที่คีบถ่านหยิบเอาถ่านร้อนๆ ใส่เข้าไปเพิ่มไฟในเตา "แล้วก็เพิ่มไฟไปหน่อยปล่อยให้น้ำเดือด จุ๋มไปตักพริกแกงใส่ในหม้ออีกใบไว้เลยจ้ะ"

               "ได้ค่ะคุณอัน"

               จุ๋มรับคำ และไปเตรียมของตามที่อันธิกาบอก เพียงไม่นาน น้ำต้มหัวกับเปลือกกุ้งก็เดือดพล่านส่งกลิ่นหอมเค็มๆ หวานๆ เฉพาะตัวของอาหารทะเลออกมา อันธิกายกหม้อแกงเดือดนั้นลง และใช้กระชอนวางไว้เพื่อกรอกเศษต่างๆ ก่อนเทน้ำต้มเปลือกกุ้งลงในหม้อที่มีพริกแกง กลิ่นเครื่องเทศอย่างหอมแดง กระเทียม ข่า และพริกฟุ้งขึ้นมา แทรกกับกลิ่นน้ำต้มเปลือกกุ้งทันทีที่พริกแกงโดนความร้อน หญิงสาวยกหม้อขึ้นตั้งบนเตา ระหว่างรอน้ำแกงเดือดดี ก็แกะปลาสลิดที่พักไว้เย็นแล้ว พร้อมกับสอนจุ๋มอย่างใจเย็น

               "ปลาสลิดทอดที่จะใส่แกง ต้องเอาก้างตรงครีบออกให้หมดทั้งสองข้าง พอเอาออกแล้วค่อยๆ แกะตรงช่องที่พุงปลา แยกให้ออกมาเป็นทรงตัวปลาให้มากที่สุด จะได้ดูสวย ข้างที่มีก้างจุ๋มเอามือกดตรงกลางก้างเบาๆ ให้รู้สึกว่ามันหัก แล้วค่อยๆ ดึงตรงแกนก้างออก ลองทำดู"

               เด็กสาวค่อยๆ ทำอย่างตั้งใจตามอย่างที่อันธิกาบอก แม้ตัวแรกจะออกมาไม่สวยนัก แต่ตัวต่อๆ ไปก็ออกมาอยู่ในระดับที่อันธิกาเอ่ยชมว่า ใช้ได้ พอน้ำแกงเดือด ปลาทั้งหมดก็แกะเสร็จ อันธิกาก็ไปปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลเล็กน้อย ก่อนเรียกให้จุ๋มใส่ผักกระเฉดที่ล้างสะอาดแล้วลงไปแล้วรออึดใจเดียวก่อนยกลง ตักใส่ชามกระเบื้องเคลือบ เรียงปลาสลิดทอดลงไปอย่างสวยงาม แล้วราดน้ำแกงลงไปอีกทีหนึ่ง หน้าตาและกลิ่นแกงทำเอาจุ๋มถึงกับกลืนน้ำลาย จนอันธิกายิ้มกว้างอย่างที่นานๆ ที่จะทำ

               "หิวขนาดนี้เลยหรือจุ๋ม ถ้าอย่างนั้นจุ๋มเอาแกงนี่ไปให้เจ๊แมวหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะตักใส่ปิ่นโตไปให้คุณดาด้วย วันนี้เธออยู่บ้านนี้ เห็นรถเลี้ยวเข้าไปตั้งแต่เที่ยง"

               "ได้ค่ะ เดี๋ยวจุ๋มรีบไปรีบมา"

               "ไปเถอะ ประเดี๋ยวเจ๊แมวจะกินข้าวเย็นเสียก่อน"

               อันธิกาเอ่ยปากแล้วจัดการคดข้าวที่หุงเผื่อเจ้าของตึกใส่ปิ่นโตเคลือบเถาเล็กที่พอกินสำหรับคนเดียว ชั้นหนึ่งใส่แกงส้มกระเฉดปลาสลิดทอด อีกชั้นใส่หมูหวานที่ทำขายซึ่งแบ่งเอาไว้ให้คุณดาโดยเฉพาะ ก่อนที่หญิงสาวปิดบานเฟี้ยมหน้าบ้านไว้โดยไม่ได้ลงกลอน เพราะคิดว่าตนเองจะรีบไปรีบกลับ และจุ๋มก็เดินไปร้านเจ๊แมวที่ห่างไปไม่กี่คูหาเท่านั้น

 

**

 

               ดาริกาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีแขกมาที่บ้านใหม่ของเธอ และไม่ได้คิดเลยสักนิดว่า แขกที่มาหาถึงบ้านใหม่จะเป็นคนที่เธอไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดอย่างพรนลัท หรือน้ำผึ้ง แต่เมื่อเปิดประตูใหญ่หน้าบ้านมาเจอ จะให้ไล่กลับไปก็ใช่ที่ ดาริกาจึงเชิญให้เข้ามาในบ้าน คนที่มาหานั่งเงียบ ในขณะที่ดาริกาก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นจึงทั้งเงียบและกดดันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จนดาริกาเป็นฝ่ายทนไม่ได้ขึ้นมาก่อน

               "น้ำผึ้งรู้จักบ้านใหม่ของดาได้อย่างไร"

               "กัลยาบอกว่า ดาปลูกบ้านใหม่อยู่แถวบางรัก น้ำผึ้งเลยเดาว่าเป็นที่นี่ เพราะดาเคยบอกว่าจะปลูกบ้านที่นี่ เลยลองเสี่ยงมาดู" พรนลัทเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน และนุ่มนวลเหมือนเคย "ดาเป็นอย่างไรบ้าง"

               "ก็สบายดีค่ะ" ดาริกาพูดสั้นๆ ก่อนถอนใจและทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้รับแขก

               "สบายดีก็ดีแล้ว น้ำผึ้งเป็นห่วงดามาก เราไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่.."

               พรนลัททำท่าทางอึดอัดใจ เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกันระหว่างเธอกับดาริกาไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก ดาริกาแค่นยิ้มมุมปาก ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาถือไว้ตัวหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

               "ตั้งแต่เจอน้ำผึ้งกับสามีที่ภัตตาคารน่ะหรือ ทำไมไม่พูดให้จบล่ะ"

               "ดา" พรนลัทพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง "ดาก็รู้ว่าน้ำผึ้งไม่ได้อยากแต่งงาน แต่น้ำผึ้งขัดคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้"

               ดาริกาวางมือที่ทำท่าเหมือนจะจุดบุหรี่สูบลง ก่อนมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ ความรู้สึกผิด และถ้ามองไม่ผิด มีความเหนื่อยหน่ายใจบางอย่างปะปนอยู่ในสีหน้านั้น หญิงสาววางบุหรี่กลับไปในกล่องเก็บบุหรี่ ก่อนจะขยับตัวนั่งตัวตรง มองหน้าของคนเคยรักด้วยท่าทางเรียบเฉย

               "น้ำผึ้งรู้ไหมว่าเวลาที่คนเราเผชิญปัญหา เราต้องเลือกเสมอว่าจะทำ หรือจะไม่ทำอะไร สิ่งที่เราเลือก คือสิ่งที่เรายอมรับได้ และสิ่งที่เราไม่เลือก คือสิ่งที่เราคิดว่าเราแบกรับมันไว้ไม่ได้ กรณีนี้ต่อให้น้ำผึ้งบอกว่าขัดคุณพ่อคุณแม่ได้ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะว่า นี่เป็นทางเลือกที่น้ำผึ้งยอมรับได้ต่างหาก เพราะการเลือกแต่งงานกับผู้ชายสักคน มันช่วยปกปิดสิ่งที่น้ำผึ้งอยากซ่อนมันมาตลอด ก็คือเรื่องของเรา ดาไม่เคยมีปัญหาที่จะให้ใครรู้ว่าดาเคยรักน้ำผึ้ง เพราะดาไม่คิดว่าการที่คนคนหนึ่งจะรักคนคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องผิดบาปอะไร แต่น้ำผึ้งคิด และกลัวอยู่ตลอดว่าถ้ามีใครรู้ว่าน้ำผึ้งกับดาเคยคบหากันอย่างไร น้ำผึ้งจะทนแบกรับสายตาคนอื่นไม่ได้ สุดท้ายพอมีทางเลือกที่เป็นทางออกให้น้ำผึ้งออกไปจากวังวนปัญหานี้ สิ่งที่น้ำผึ้งเลือกก็คือการทิ้งดาไปแต่งงาน โดยมีข้ออ้างว่าขัดคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้"

               แม้ว่ารอยยิ้มของดาริกาจะดูอ่อนหวานเหมือนเคยเมื่อพูดจบ แต่กลับไม่มีความอบอุ่นอยู่ในรอยยิ้มนั้น คนมองเห็นเพียงความเย็นชาที่เคลือบทับรอยยิ้มของดาริกา จนทำให้ดูเหมือนกำลังถูกถากถาง

               "สิ่งที่น้ำผึ้งเลือกทำ ก็คือสิ่งที่คนอื่นและตัวน้ำผึ้งเองคิดว่าควรทำ และสิ่งที่น้ำผึ้งเลือกจะทิ้ง ก็คือดา ดาพูดผิดตรงไหนหรือเปล่าคะ"

               พรนลัทสั่นไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกว่าเป็นความเจ็บปวด หรือความโกรธ หญิงสาวลุกขึ้นยืน จ้องหน้าเจ้าของบ้านที่ยังนั่งไขว่ห้างด้วยสีหน้าเป็นปกติ หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจลึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก

               "ถ้าดาพูดอย่างนี้ เพื่อโทษว่าเป็นความผิดของน้ำผึ้ง แล้วดาสบายใจขึ้น น้ำผึ้งก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว"

               "แล้วมันเป็นความผิดของดาหรือคะ ดาไม่ได้เป็นคนทิ้งคนรักไปแต่งงานนะ" ดาริกาย้อนกลับด้วยท่าทางไม่ยี่หระ "ไม่มีอะไรจะพูดก็ดีแล้วค่ะ อย่างนั้นเชิญกลับนะคะ ดาขออนุญาตไม่ส่ง เชิญเปิดประตูเล็กออกไปได้เลยค่ะ"

               พรนลัทคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินออกไปพร้อมปิดประตูหน้าบ้านของดาริกาเสียงดังสนั่นจนเจ้าของบ้านแทบควันออกหู แม้จะยังรู้สึกถึงเยื่อใยเบาบางที่หลงเหลืออยู่จากความสัมพันธ์เกือบสิบปีเต็มกับพรนลัท แต่การที่ถูกอีกฝ่ายมาหาถึงบ้าน ซ้ำยังหาเรื่องทะเลาะด้วยไม่จบไม่สิ้น ก็ทำให้ความรู้สึกที่เคยมีเจือจางลงไปจนแทบไม่เหลือ

               ดาริกาลุกขึ้นไปเทวิสกี้ใส่แก้ว ขณะที่กำลังจะยกดื่ม ก็มีเสียงกดออดดังขึ้น หญิงสาวจึงกระแทกแก้วลงกับโต๊ะหินอ่อนไม่เบานัก ก่อนจะเดินขมวดคิ้วไปเปิดประตู เพราะคิดว่าพรนลัทอาจจะย้อนกลับมาตีโพยตีพายอีกรอบ แต่เมื่อเปิดประตูเล็กหน้าบ้าน ดาริกาก็เปลี่ยนสีหน้าเกือบไม่ทัน เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหญิงสาวเจ้าของร้านข้าวราดแกงที่เช่าตึกข้างหน้าของเธอ

               อันธิกาเห็นสีหน้าของดาริกา ก็พอเข้าใจว่าเจ้าของบ้านกำลังอารมณ์ไม่ดีนัก อาจจะเพราะทะเลาะกับเพื่อนที่ขับรถยนต์ใหม่เอี่ยมสวนออกไปตอนที่อันธิกากำลังเดินเข้ามาพอดี หญิงสาวจึงรีบพูดเพื่อจะได้รีบขอตัวกลับ

               "พอดีอันทำแกงส้มกระเฉดปลาสลิดทอด กับหมูหวาน เลยตักมาให้คุณดาด้วยค่ะ เห็นว่าวันนี้อยู่บ้านนี้ อาจจะไม่มีข้าวเย็น อันไม่รบกวนคุณดาแล้วค่ะ ไว้วันหลังจะให้จุ๋มมาเอาปิ่นโตกลับนะคะ"

               ดาริกายื่นมือไปรับปิ่นโต ก่อนเอ่ยปากกับคนที่ดูเหมือนพร้อมจะทิ้งปิ่นโตวิ่งกลับร้านทุกขณะ

               "คุณอันเอาข้าวมาให้เปล่าๆ อย่างนี้ ดาเกรงใจนะคะ รอเดี๋ยวนะคะ ดาจะไปหยิบค่าข้าวมาให้ค่ะ"

               "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร อันตั้งใจเอามาให้ ที่จริงก็ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างอันอยากตอบแทนน้ำใจที่คุณดากรุณาคิดค่าเช่าไม่แพงด้วยค่ะ แค่นี้เองไม่ต้องให้เงินกันหรอกนะคะ"

               "ถ้าอย่างนั้นคุณอันเข้ามานั่งในบ้านก่อนนะคะ ดาจะเปลี่ยนปิ่นโตคืนให้ จะได้ไม่ต้องให้จุ๋มเดินไปเดินมา ไม่มีแต่นะคะ" ดาริการีบพูดเมื่อเห็นอันธิกาทำท่าจะขัด "ถ้าไม่ยอมเข้ามา ต่อไปดาจ่ายค่าข้าวจริงๆ ด้วยค่ะ"

               อันธิกาเจอไม้แข็งของเจ้าของตึกเข้าไป ก็ต้องตอบตกลงเสียงอ่อยๆ และเดินตามหลังดาริกาเข้าบ้านหลังใหญ่ที่มีหญิงสาวอาศัยอยู่เพียงคนเดียว ขณะที่เจ้าของบ้านหายไปเปลี่ยนข้าวกับแกงใส่จานชาม อันธิกาก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้รับแขก ขณะที่มองไปรอบๆ บ้านอย่างสนใจ ก่อนจะชมในใจว่าดาริกาจัดบ้านได้อย่างโปร่งสบายตา เป็นบ้านแบบที่อันธิกาฝันถึง ก่อนที่สายตาของหญิงสาวจะหยุดลงที่แก้วใส่วิสกี้กับขวดแก้วบรรจุน้ำสีอำพันบนโต๊ะหินอ่อนที่ทำเป็นโต๊ะสูงในมุมเครื่องดื่มที่บ้าน

               ดาริกาเดินกลับออกมาจากครัวพร้อมกับปิ่นโตที่ล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นอันธิกามองดูแก้ววิสกี้ที่วางทิ้งไว้ เจ้าของบ้านกระแอมเบาๆ ทำให้อันธิกาหันมามอง ก่อนจะรีบลุกไปรับปิ่นโตคืน และทำท่าจะเดินกลับออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย แต่จู่ๆ อันธิกาก็หันมามองหน้าดาริกา แล้วพูดอย่างจริงจัง

               "อันไม่ทราบว่าคุณดามีปัญหาอะไร แต่การดื่มเหล้าไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะคะ ตอนที่เมาอาจจะลืมปัญหาได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายพอสร่างเมาก็ต้องเผชิญกับปัญหาเดิมอยู่ดี" อันธิกาพูดจบแล้วกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

               "อันพูดเยอะไปแล้ว ขอโทษคุณดาด้วยนะคะ เดี๋ยวอันจะปิดประตูเล็กให้ คุณดาไม่ต้องออกมาส่งนะคะ"

               พูดจบอันธิกาก็ถือปิ่นโตเดินลิ่วๆ ออกไปจากบ้านของดาริกา ทิ้งให้เจ้าของบ้านยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปเห็นแก้วเหล้าที่วางทิ้งไว้ อาจจะเพราะสีหน้าจริงจังของอันธิกาเมื่อครู่ จึงทำให้ดาริกาหมดอารมณ์จะดื่มต่อ จึงลุกไปหยิบแก้วเหล้าไปเททิ้งที่อ่างล้างจานในบ้าน ก่อนจะมองดูกับข้าวที่มีคนเอามาให้ และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงยุ่งยากใจ

               "เป็นอะไรของเขา จู่ๆ ก็มามองให้คนรู้สึกผิดแบบนั้นทำไม"

 

**

 

               หลังจากวันสุดท้ายที่พบกับดาริกา อันธิกาก็ไม่เห็นเจ้าของตึกมาที่บ้านอีกเลย เกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่หญิงสาวเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ภายใต้ท่าทางเรียบเฉย แต่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้อันธิการู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ จึงต้องหาอะไรทำให้ตัวเองหายกระวนกระวาย สองสัปดาห์ที่ผ่านมา อันธิกาจึงเริ่มทำขนมถ้วยวางไว้ตามโต๊ะที่ลูกค้านั่งกินในร้าน ซึ่งลูกค้าก็ตอบรับเป็นอย่างดี จนอันธิกาต้องนึ่งขนมถ้วยวันหนึ่งหลายสิบถ้วยตะไลเพื่อให้พอขาย

               เจ๊แมวเป็นคนหนึ่งที่มักชอบเดินอุ้มแมวสีขาวดำมานั่งเล่นที่ร้านอันธิกาในช่วงที่คนเริ่มซา อันธิกาจึงมักจะแบ่งขนมถ้วยให้โดยไม่คิดเงินเสมอ เพราะเป็นคนคุ้นเคยกัน กระทั่งเมื่อลูกค้าไปหมดแล้วช่วงบ่ายโมง อันธิกาก็นั่งกินข้าวเที่ยงกับจุ๋ม โดยมีเจ๊แมวที่กินข้าวแล้ว นั่งกินขนมถ้วยอยู่ข้างๆ 

               "หนูอันนี่ทำกับข้าวก็อร่อย ทำขนมก็อร่อย ขยันแบบนี้รวยตายเลย"

               "รวยตายเลยจะดีหรือคะเจ๊" จุ๋มเย้าอย่างสนิทสนม "หนูว่าถ้ารวยแล้วไม่ตายน่าจะดีกว่านะคะ"

               "แหม! ช่างพูด" เจ๊แมวแกล้งค้อนอย่างไม่จริงจัง "เจ๊ก็พูดไป แต่ถ้าหนูอันรวยก็ดีน่ะสิ คนขยันทำมาหากิน เจ๊ชื่นชมค่ะ"

               "ขอบคุณค่ะเจ๊ ตอนนี้แค่ขายได้ไม่ขาดทุน ให้หักลบกลบทุนที่ลงไปให้ได้ อันก็ดีใจแล้วค่ะ"

               "หนูอันขายทั้งกับข้าว ขายทั้งขนม แถมตอนเย็นยังขายขนมจีบอีก ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบไปนะ" เจ๊แมวว่าพลางตักขนมถ้วยกิน "หนูอันทำขนมอย่างอื่นเป็นอีกหรือเปล่า ถ้าทำเป็นก็ทำขายด้วยสิ ตอนกลางวันคนกินข้าวเสร็จ ซื้อขนมทีละสลึงทีละบาท หลายๆ ชิ้นก็ได้หลายสตางค์อยู่นา"

               "ทำเป็นอยู่บ้างค่ะ อันคิดๆ กับจุ๋มอยู่ว่าจะทำขนมง่ายๆ ให้คนสั่งกินได้หลังกินข้าว เลยลองทำขนมถ้วยวางดูก่อน ก็ขายดี คงจะทำสลับๆ กันค่ะเจ๊"

               "ดีเลยค่ะ เดี๋ยวเจ๊จะช่วยบอกต่อให้คนแถวนี้มากิน"

               "ขอบคุณค่ะเจ๊ อันขอบคุณเจ๊มากๆ นะคะที่ช่วยมาตลอด"

               อันธิกาพูดอย่างซึ้งใจ แต่เจ๊แมวกลับหัวเราะแล้วเกาหัวแมวที่หาวอย่างเกียจคร้านอยู่บนตัก

               "เจ๊อยากให้หนูขายดีๆ เพราะแถวนี้คนจะได้เยอะ หนูขายดีเจ๊ก็ขายดี คนมากินข้าวร้านหนูแล้ว ก็แวะซื้อน้ำ ซื้อบุหรี่ ซื้อขนมร้านเจ๊ ช่วยๆ กัน" เจ๊แมวพูดอย่างใจดี "แต่จะว่าไปคนที่รวยที่สุดก็คือคุณดานะคะ เก็บค่าเช่าไม่หวาดไม่ไหว"

               อันธิกายกน้ำขึ้นดื่ม ขณะที่จุ๋มยกจานชามเข้าไปเก็บด้านหลังครัว เจ๊แมวเห็นอันธิกาไม่ได้ขัด จึงเอ่ยปากเล่าต่ออย่างคนช่างพูด

               "วันก่อนเจ๊โทรศัพท์ไปหาเธอ บอกว่ามีคนสนใจตึกเธอที่อีกซอยหนึ่ง เธอก็ว่าให้เจ๊ลองไปต่อรองกับเขาดู คนที่จะมาเช่าเขาก็ดูสนใจจริงจัง สงสัยเธอจะได้เงินเพิ่มอีก"

               "แล้วคุณดาเธอเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ ช่วงนี้ไม่เห็นมาบ้านนี้"

               "เห็นเธอว่ายุ่งๆ เรื่องที่บ้าน เลยไม่ได้มาค่ะ แต่เท่าที่ฟังน้ำเสียงก็สบายดีนะคะ"

               อันธิกาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพูดคุยกับเจ๊แมวอีกครู่หนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายลากลับ ก็ลุกขึ้นไปช่วยจุ๋มทำขนมจีบเตรียมไว้ขายตอนเย็น และเมื่องานเสร็จแล้ว อันธิกากับจุ๋มก็ปิดบ้านลงกลอนแล้วแยกย้ายกันเข้าห้องนอน

               คืนนี้อันธิกาเพิ่งสระผมเสร็จใหม่ๆ หญิงสาวนั่งพับเพียบอยู่หน้าโต๊ะกระจกเล็กๆ เช็ดผมยาวที่ยังเปียกชื้น พลางหวนนึกไปถึงหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนั้น เพื่อนคุณดาที่ขับรถราคาแพงออกไปในวันที่ตัวเองไปเจอ อันธิกาเผลอคิดอย่างไม่ตั้งใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้าของบ้านกับคนที่ออกไป ถึงได้ทำให้คุณดามีสีหน้าไม่สบอารมณ์นักตอนที่มาเปิดประตู

               พอตั้งสติได้ว่าตนเองเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อันธิกาก็รีบส่ายหน้า และมองดูเงาตนเองในกระจกอย่างตำหนิว่าคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง หลังแปรงผมที่แห้งแล้วจนเรียบร้อย หญิงสาวก็ปิดไฟ ก่อนเข้ามุ้งนอน

               สีหน้ายุ่งยากใจของดาริกาในครั้งสุดท้ายที่เจอกันแทรกเข้ามาในความคิดเป็นระยะก่อนที่อันธิกาจะหลับลง

 

 

#ดุจดารานำทาง