10.

 

 

 

"จุ๋มระวังๆ หน่อยนะ"

อันธิกายืนอยู่ใต้ต้นมะขามขนาดกลางในตรอกที่ไม่ไกลจากร้านข้าวแกงของตัวเองนัก เจ๊แมว เจ้าของร้านขายของชำมาบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า ต้นมะขามในตรอกนี้ดกมาก มีฝักเต็มต้น และเริ่มแก่จัดแล้ว เจ้าของที่ดินที่มีต้นมะขามสนิทสนมกับเจ๊แมวเป็นอย่างดี จึงออกปากว่า ถ้ามีใครต้องการมาเก็บมะขาม ก็ให้มาเก็บไปได้ เพราะไม่อยากปล่อยให้ร่วงคาโคนต้น

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ อันธิกาปิดร้าน ส่วนจุ๋มเองก็ไปเรียนตัดเสื้อจนจบหลักสูตรขั้นต้นแล้ว มีเวลาว่างกันทั้งคู่ ถึงได้พากันมาเก็บมะขามที่ออกผลเต็มต้น ในตะกร้าที่ถือติดมือมาด้วย มีฝักมะขามแก่จัดที่ถูกสอยลงมาใส่ไว้จนเต็มเกือบเต็มทั้งสองตะกร้า แต่ยังมีฝักมะขามอ่อนบางส่วนที่พอปีนขึ้นไปเก็บได้ จุ๋มจึงปีนขึ้นไปเก็บให้

อันธิกาแหงนหน้าขึ้นมองจุ๋มที่ยังเก็บมะขามอ่อนอยู่ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมือเท้าคล่องแคล่ว ยืนได้มั่นคงก็วางใจ หญิงสาวจึงหันไปเด็ดยอดมะขามอ่อนๆ ของต้นมะขามต้นเล็ก ที่กำลังแตกยอดอ่อนใหม่ๆ อันธิกาเด็ดยอดมะขามได้กำใหญ่ จุ่มก็ปีนลงมาจากต้นไม้ พร้อมกับฝักมะขามอ่อนเต็มกระเป๋าเสื้อผ่าหน้าที่ใช้สวมอยู่กับบ้าน

"ได้มาเยอะอย่างนี้ดีจริงๆ นะคะคุณอัน ไว้ทำกับข้าวขายได้หลายอย่างแน่เลย"

"มะขามดกขนาดนี้ เราเก็บไปตั้งมากแล้วก็ยังเหลือคาต้นอีก"

อันธิกาพูดพลางหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง ส่วนจุ๋มหิ้วอีกใบเตรียมกลับบ้าน หญิงสาวเอ่ยปากต่อกับจุ๋ม

"ประเดี๋ยวมะขามแก่นี่ เราเอามาแกะเอาเม็ดออก แล้วตากไว้เสียหน่อย เอาไว้ทำมะขามเปียก จะได้เก็บเอาไว้ใช้ ไม่ต้องซื้อ ลดต้นทุนไปได้หน่อยหนึ่ง ส่วนพวกมะขามอ่อน กับยอดมะขามนี่ เอาไว้ทำกับข้าวกินกันเองดีกว่า อย่าเอาไปทำของขายเลย"

"จุ๋มเก็บมะขามอ่อนมาตั้งมาก เราทำกับข้าวขายก็ได้นะคะ"

"ไม่ดีกว่าจุ๋ม แค่เก็บไปทำมะขามเปียกก็เกรงใจเจ้าของเขาแล้ว ถ้าขืนเอาไปทำกับข้าวขายหากำไร ทั้งที่เราเก็บของเขาเปล่าๆ ฉันก็ว่าไม่ค่อยดีนัก"

"ก็จริงอย่างที่คุณอันว่าค่ะ แต่จุ๋มแค่เสียดายเท่านั้นเอง" จุ๋มตอบพลางทำหน้าเป็น แต่เหลือบมองยอดมะขามอ่อนตะกร้า "คุณอันเด็ดยอดมะขามอ่อนมาตั้งมาก จะเอามาทำอะไรหรือคะ"

"ฉันว่าจะทำต้มกะทิยอดมะขามอ่อนกับกุ้งน่ะจุ๋ม"

"คุณพงษ์ชอบมากเลยนะคะ คุณอันทำทีไร เธอรับข้าวได้มากๆ ทุกที"

เด็กสาวหน้าเสีย เมื่อนึกว่าตัวเองเผลอพูดมากเกินไป แต่เมื่อเห็นอันธิกายังมีสีหน้าเป็นปกติ จึงพูดต่อด้วยเสียงอ่อนๆ

"คุณอันจะทำวันนี้เลยหรือคะ"

"ว่าจะทำเป็นมื้อเย็นนี่ล่ะจุ๋ม มีกุ้งที่เหลือจากทำกับข้าวขายเมื่อวานนี้อยู่ แต่ถ้าไม่ได้ทำวันนี้ ก็ยังพอทำวันอื่นได้ ว่าแต่จุ๋มน่ะ เก็บมะขามอ่อนมาตั้งมากอย่างนี้ อยากจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าทำเป็นฉันจะทำให้"

"จุ๋มว่าจะเอามาทำมะขามอ่อน น้ำปลาหวานค่ะ"

อันธิกาทำหน้าแหยเมื่อได้ยิน เพราะแค่ฟัง ก็นึกรสเปรี้ยวจัดของมะขามอ่อนออกแล้ว จุ๋มเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็หัวเราะร่วน ก่อนจะเอ่ยปาก

"คุณอันกลัวเปรี้ยวหรือคะ"

"ฉันกลัวว่าจะเสาะท้องต่างหากล่ะจุ๋ม แถมมันเปรี้ยวขนาดนั้น กินทีเข็ดฟันแย่"

"กินนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่มะขามเขาดกจริงๆ ฝักอ่อนๆ สวยๆ อย่างนี้ จุ๋มเห็นแล้วมันอดใจไม่ได้ค่ะ"

"ถ้าจุ๋มกินกับน้ำปลาหวานพอแล้ว ฉันทำน้ำพริกผัดมะขามอ่อนกับหมูสับให้กินเอาไหม"

"เอาค่ะ" เด็กสาวตอบรับอย่างรวดเร็ว น้ำพริกผัดของอันธิกา รสชาติไม่เป็นรองใคร จุ๋มเคยได้กินไม่กี่ครั้ง แต่ก็ยังติดใจอยู่จนถึงวันนี้ "จุ๋มเก็บมะขามอ่อนมาตั้งมาก กินกับน้ำปลาหวานก็กินได้นิดเดียวเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าคุณอันทำน้ำพริกผัดให้ สงสัยจุ๋มต้องหุงข้าวมากหน่อยแล้วล่ะค่ะ"

อันธิกาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางอยากกินจนน้ำลายสอของเด็กสาว สองคนเดินถือตะกร้ามะขาม พูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านข้าวแกง แล้วก็ลงมือนั่งแกะเปลือกมะขาม คว้านเม็ด แล้วเอาเนื้อมะขามที่ได้ไปวางเรียงบนกระจาดที่ปูผ้าขาวรองไว้ ก่อนจะคลุมผ้าขาวบางกันสิ่งสกปรก แล้วตากเนื้อมะขามไว้ที่กลางแดดเพื่อทำมะขามเปียกเก็บไว้ใช้

ขณะที่กำลังกวาดเปลือกมะขาม เตรียมเก็บไปทิ้ง จุ๋มก็เงยหน้าขึ้นมองอันธิกาที่กำลังจัดเก็บข้าวของในครัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

"ไม่เห็นคุณดามาหลายวันแล้วนะคะ"

"เห็นว่าคุณดาเธอยุ่งๆ เรื่องไปดูที่ดินที่จะซื้อน่ะจุ๋ม บอกว่าจะไปซื้อที่ดินเพิ่มแถวบางกะปิน่ะ"

"คุณดาเธอรวยจริงๆ นะคะ ถ้าจุ๋มมีเงินทองอย่างนี้บ้าง คงอยู่สบายไปแล้ว"

"คนเราไม่มีใครสบายไปเสียทุกอย่างหรอกจุ๋ม" อันธิกาพูดพลางปอกหอม ปอกกระเทียมที่จะใช้ "มีเงินมาก ก็ดีตรงที่ไม่ต้องลำบากทำงานหนักเหมือนเรา แต่คุณดาเธอก็มีความลำบากใจของเธอที่เราไม่รู้เหมือนกัน"

"ก็จริงของคุณอันค่ะ แต่จุ๋มก็ยังอยากมีเงินเพิ่มอีกนิดอยู่ดีล่ะค่ะ"

จุ๋มพูดพลางทำหน้าเป็น อันธิกาถึงกับหลุดหัวเราะคิกอย่างสดใส หญิงสาวมองดูจุ๋มทำงานอย่างแข็งขัน และนึกในใจขณะที่มือยังทำงานไปด้วยว่า ถ้าหากมีเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยอย่างที่จุ๋มว่า ทั้งตัวเธอเองและจุ๋ม อาจจะได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายมากกว่านี้อีกสักหน่อย มีเวลาเป็นสุขกับชีวิตเพิ่มขึ้นให้มากขึ้นอีกสักนิด อาจจะมีโอกาสได้เลือก และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยคาดหวังเอาไว้เหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง

อันธิกาคิดมาถึงตรงนี้ แล้วส่ายหน้าไล่ความรู้สึกเหล่านั้นออกไปจากใจ ก่อนจะลงมือทำงานต่อไปอย่างเป็นปกติ เพราะชีวิตในตอนนี้ก็ถือว่าดีมากกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ทองคำที่นำไปจำนำไว้ก็ไถ่ถอนคืนมาได้แล้ว ค่าจ้างของจุ๋มก็สามารถจ่ายให้จุ๋มได้เพิ่มจากเดิมที่เคยให้ตอนมาเปิดร้านใหม่ๆ เพราะตอนนี้ถอนทุนที่ลงทุนไปได้เกือบหมดแล้ว และยังพอมีเงินเหลือเล็กน้อย เก็บไว้สำรองเผื่อขัดสน

ที่สำคัญที่สุดคือ การออกมาอยู่ด้วยตัวเองได้ มีบ้านที่แม้จะเป็นบ้านเช่า ก็ยังถือได้ว่าเป็นบ้านของตัวเอง ทำให้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวว่า จะถูกบิดามาขูดรีดเอาเงินทองไปถลุงในบ่อนและขวดเหล้าอีก

หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ในขณะที่มือเล็กๆ ทั้งคู่ของอันธิกาก็ยังคงทำงานต่อไปอย่างคล่องแคล่ว แสงแดดยามเที่ยงวันส่องลงมาอย่างเจิดจ้า อันธิกาหรี่ตาหลบแสงแดด มองลานเล็กๆ หลังบ้านเช่าของตัวเอง จุ๋มกำลังเก็บกวาดเศษเปลือกมะขามใส่กระบุง ชีวิตที่ดูเหมือนจะขาดแคลนอะไรหลายๆ อย่างของตัวเองกับจุ๋ม ในแง่หนึ่งกลับเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ผ่านไปวันหนึ่ง ก็จบไปวันหนึ่ง

วันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง เพียงแค่สงบสุข และปลอดภัยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

อันธิกาส่งยิ้มน้อยๆ ให้ เมื่อจุ๋มพูดไปยิ้มไปขณะที่เล่าเรื่องว่าจะไปซื้อผ้ามาตัดเสื้อให้น้องๆ เป็นของขวัญเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง เสียงพูดคุยด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของจุ๋ม ช่วยให้ลานเล็กๆ แคบๆ หลังบ้านเช่าดูสดใสขึ้นในขณะที่ดวงตะวันบนฟ้ายังแผดแสงกล้า

เสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนที่หน้าร้าน ทำให้อันธิกากับจุ๋มมองหน้ากันอย่างตกใจ จุ๋มรีบวางงานในมือ ก่อนเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวลใจ

"เสียงเจ๊แมวไม่ใช่หรือคะคุณดา"

"นั่นสิ แกมีอะไรน่ะ ไปดูกันเถอะจุ๋ม"

อันธิกาพูดพลางเช็ดมือกับผ้าสะอาดที่วางไว้ข้างตัว แล้วรีบเดินไปเปิดประตูบานเฟี้ยมหน้าร้าน เจ๊แมวมีสีหน้าร้อนใจ ก่อนจะเอ่ยปากกับอันธิกาด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว

"หนูอัน เมื่อครู่คุณดาเธอโทรมาหาเจ๊ บอกว่ามีเรื่องจะให้ช่วย หนูอันช่วยเจ๊ที"

"เกิดอะไรขึ้นหรือคะเจ๊ ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ มานั่งข้างในก่อนนะคะ"

เจ๊แมวพยักหน้าแล้วเข้ามานั่งในร้าน เล่าเรื่องธุระที่ดาริกาไหว้วานมาอย่างรวดเร็ว อันธิกาฟังแล้วได้แต่หน้าเสียด้วยความรู้สึกหนักใจแทนดาริกา แต่กลับพยักหน้ารับแล้วเอ่ยปากอย่างแข็งขัน

"เจ๊ไม่ต้องห่วงค่ะ ขอเวลาอันสักครู่ แล้วประเดี๋ยวเราเรียกรถไปพร้อมกันนะคะ"

 

**

 

"ขอบคุณพี่ดามากนะครับ"

ภาณุเอ่ยขึ้นขณะที่ยืนอยู่ข้างรถฝั่งคนขับที่ดาริกาลดกระจกรถลง หญิงสาวพยักหน้ารับ และมองน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวภาณุ ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

"ภาณุกับน้องศินก็ขึ้นไปพักผ่อนเสียนะคะ ไม่ต้องคิดมากกันนะคะ"

"ครับ" ภาณุตอบพลางหันมองหน้าศศิน "คืนนี้ศศินจะค้างที่หอหรือเปล่า"

น้องชายของดาริกาพยักหน้าตอบภาณุ หญิงสาวจึงถอนใจเบาๆ แล้วพูดกับน้องชายที่ยังอารมณ์เสียไม่หาย

"ประเดี๋ยวพี่ดากลับไปถึงบ้านใหม่ แล้วจะโทรศัพท์ไปบอกพี่ชุให้นะคะ ว่าน้องศินกับจะค้างกับภาณุ น้องศินก็พักหลายๆ วันหน่อย สบายใจเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับบ้านนะคะ"

"พี่ดาขับรถดีๆ นะครับ"

ศศินก้มหน้ามาอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของพี่สาวคนโตขณะที่พูด มือเรียวสวยของดาริกายื่นออกไปลูบแก้มขาวๆ ของน้องชายเบาๆ แล้วยิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนจะหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกจากกระเป๋าสตางค์ แล้วพับใส่กระเป๋าเสื้อของน้องชาย

"เอาไปกินข้าวอร่อยๆ กันนะคะ พี่ดาไปล่ะค่ะ"

ศศินทำท่าจะเอ่ยปากค้าน แต่ดาริกาไขที่ปิดกระจกเลื่อนขึ้น กันไว้ไม่ให้น้องชายหยิบเงินมาคืน พลางโบกมือให้ทั้งศศินและภาณุ แล้วบังคับพวงมาลัยขับออกจากซอยหอพักของภาณุ เมื่อรถจอดติดไฟแดงที่สี่แยก ดาริกาก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างกลัดกลุ้มเพราะปัญหาในบ้าน

เมื่อสายวานนี้ ทั้งบิดา และมารดาที่ปกติเป็นขมิ้นกับปูน ไม่เคยเห็นพ้องต้องกันเลยแม้แต่เรื่องเดียว กลับร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันโวยวายเอ็ดตะโรยกใหญ่ เมื่อได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจ แจ้งว่าศศินถูกจับพร้อมกับเพื่อนนักศึกษาหลายคน เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว ทั้งบิดามารดายังเห็นดีเห็นงามตามกัน ว่าจะไม่ไปประกันตัวลูกชายคนเล็กเพื่อดัดนิสัยให้เข็ดหลาบ

แม้ชุติจะร้อนใจอยากจะรีบไปประกันตัวน้องชายเพียงใด แต่เมื่อถูกทั้งบิดามารดาห้ามเสียงแข็งไม่ให้ไปประกันตัวศศิน ซ้ำมารดายังยึดเอากุญแจตู้นิรภัยที่ใส่เงินสด และสมุดบัญชีทั้งหมดไปอีก ทำเอาน้องสาวฝาแฝดของดาริกาเครียดจัดจนมีการปวดศีรษะรุนแรง ดาริกาไม่มีทางเลือก จึงต้องคอยดูอาการน้องสาวอยู่ที่บ้าน เพราะอาการปวดศีรษะของชุติแทบไม่ทุเลาลงเลย แม้กระทั่งยาแก้ปวดที่กินเข้าไปบรรเทาอาการ ชุติยังอาเจียนออกมาจนหมด ได้แต่นอนหลับตานิ่งๆ อยู่บนเตียง หน้าตาซีดราวขาวกับกระดาษ

ตกดึกเมื่อคืน บิดาที่ปกติอยู่ไม่ติดบ้านกลับให้เด็กวิ ขนเครื่องนอนลงไปนอนที่หน้าห้องนั่งเล่น ซึ่งตรงกับทางออกจากบ้าน เป็นนัยว่าจะกันไม่ให้ดาริกา หรือชุติออกจากบ้านไปประกันตัวลูกชาย เรื่องนี้ทำให้ดาริกาที่เห็นเข้าขณะที่ลงมาเอาผ้านึ่งอุ่นๆ ไปให้ชุติประคบศีรษะ รู้สึกทั้งฉิวทั้งขันกับพฤติกรรมไร้สาระเช่นนั้น เพราะต่อให้ชุติหรือดาริกาออกจากบ้านได้ ก็ใช่ว่าจะไปประกันตัวศศินออกมาในช่วงนอกเวลาราชการได้เสียหน่อย

เมื่อกลับมาบนห้อง ดาริกากลับพบว่า ชุติกลับฝืนลุกขึ้นนั่ง พอเห็นพี่สาวฝาแฝดของตัวเองก็รีบหยิบเอาเข็มกลัดเพชร ที่รอดพ้นจากการถูกมารดายึดไปมาส่งให้ พร้อมกับบอกว่าให้ดาริกาเอาไปขาย จะได้เอาเงินไปประกันตัวน้องชายคนเล็ก

ดาริกาหัวเราะร่วน ก่อนจะปลอบใจชุติว่า เงินสด กับสมุดบัญชีของดาริกาอยู่ที่ตัวเธอเอง ถึงชุติไม่เอาเข็มกลัดเพชรมาให้ ดาริกาก็ตั้งใจจะเอาเงินสดไปประกันตัวศศินอยู่แล้วในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากไม่พอ เธอก็ยังสามารถไปถอนเงินที่ธนาคารมาเพิ่มได้

ในตอนนั้นชุติถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ไม่วายทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้เมื่อพูด

"น้องศินต้องนอนลำบากแน่คืนนี้ สถานีตำรวจเขาคงไม่มีผ้าห่มให้ ข้าวเย็นก็ไม่รู้ว่าจะได้กินหรือเปล่า"

"ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ดาโทรศัพท์ไปให้เจ๊แมวคนที่ดูแลห้องเช่าของพี่ช่วยหาข้าวหาน้ำ กับพวกยากันยุงไปให้น้องศินกับภาณุแล้ว ชุพักให้เต็มที่ พรุ่งนี้พี่ดาจะไปประกันตัวน้องศินเองค่ะ"

สีหน้าของชุติเมื่อคืนนี้ไม่ดีนัก สุดท้ายก็นอนหลับอยู่ที่ห้องพี่สาว วันนี้ตอนดาริกาออกจากบ้านมาแต่เช้า ชุติก็มีอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย จึงฝืนไปทำงานตามปกติ

ดาริกาถอนหายใจ ดึงความคิดกลับมายังท้องถนนตรงหน้า เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว รถเมอร์ซิเดสเบนซ์ของดาริกาแล่นกลับเข้าไปที่บ้านใหม่ของตัวเองตรงถนนเจริญกรุง ดวงตาของหญิงสาวทอดมองคนที่เดินเข้าออกร้านข้าวแกงของอันธิกาในช่วงเที่ยงวัน แล้วชะลอรถเมื่อผ่านหน้าร้าน ตอนที่สบตากับหญิงสาวที่เพิ่งส่งจานข้าวให้ลูกเสร็จ ดาริกาก็ยกมือข้างหนึ่งโบกให้อีกฝ่ายเร็วๆ

อันธิกาที่กำลังยุ่ง เพราะลูกค้าเข้าร้าน เห็นท่าทางของดาริกาในรถ ก็หลุดยิ้มน้อยๆ ให้ และมองดูรถยนต์คันหรูแล่นผ่านหน้าร้าน เลี้ยวเข้าบ้านในซอยข้างๆ นี้ไป

 

**

 

ดาริกาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายเป็นกระโปรงยาวคลุมเข่า ไม่มีแขน ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างหมดแรง ดาริกาเริ่มรู้สึกว่า กำลังมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับศศิน น้องชายคนเล็กของตัวเอง และหญิงสาวค่อนข้างเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กำลังจะทำให้ศศินเปลี่ยนจากเด็กน้อยที่ได้รับการประคบประหงมจากครอบครัว ไปเป็นชายหนุ่มที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

หญิงสาวถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เพราะเห็นวี่แววแล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงในตัวศศินจะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับครอบครัวของเธอแน่ และคงจะมีเรื่องมากมายให้ดาริกา กับชุติต้องปวดหัวหนักแน่

ขณะที่กำลังทอดถอนใจ และนอนหมดแรงอยู่บนโซฟา เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ดาริกาคว้าผ้าคลุมไหล่มาคลุม และสวมรองเท้าแตะเดินไปเปิดประตูเล็ก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่มาด้วยทำหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นดาริกาสวมชุดนอน ดวงตากลมโตของอันธิกากะพริบปริบๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงลังเลใจ

"คุณดาจะนอนแล้วหรือคะ เพิ่งจะบ่ายโมงเอง"

"ยังค่ะ ดาแค่อยากใส่ชุดสบายๆ น่ะค่ะ" ดาริกายิ้มแป้นให้คนที่มาหา แล้วดึงประตูเปิดออกกว้าง "คุณอันเข้ามาก่อนสิคะ"

ดาริกาเอื้อมมือไปช่วยถือปิ่นโตหนักอึ้งที่อันธิกาหิ้วมาเอาไปถือไว้เอง แล้วก็เลื่อนมือตัวเองไปจับมืออันธิกาไว้หลวมๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากสวยได้รูปของดาริกายกยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่กุมมือเรียวของอันธิกา หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเป็นปกติ ขณะที่เดินช้าๆ เข้าไปในตัวบ้านพร้อมๆ กัน

"คุณอันขายดีหรือเปล่าคะวันนี้"

"วันนี้กับข้าวหมดแล้วค่ะ อันเลยทำกับข้าวมาให้คุณดาต่างหากค่ะ" 

อันธิกาตอบเรียบๆ ขณะที่เดินเข้าไปในครัว เจ้าของบ้านถึงได้ยอมปล่อยมือที่กุมเอาไว้ เพื่อช่วยหยิบช้อนส้อมจานชามออกมาเตรียมจัดโต๊ะ แล้วทำตาปริบๆ ก่อนเอ่ยปากกับอันธิกาที่กำลังยกชั้นปิ่นโตออกจากเถา

"คุณอันทานข้าวหรือยังคะ"

"ยังค่ะ อันตั้งใจจะมาทานเป็นเพื่อนคุณดา" อันธิกาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ "วันนี้มีต้มกะทิยอดมะขามอ่อนกับกุ้ง ผักลวกกับน้ำพริกกะปิ แล้วก็มีไข่เป็ดต้มยางมะตูมค่ะ ของหวานอันได้แตงโมมา ลองผ่าชิมแล้ว หวานดีค่ะ เลยหั่นมาให้คุณดาด้วยค่ะ"

"คุณอันใจดีจังเลยค่ะ" ดาริกาทำท่ายิ้มประจบราวกับเด็กๆ "วันนี้เราไม่ต้องเทกับข้าวใส่จานใหม่นะคะ ทานในปิ่นโตเลยก็ได้ค่ะ"

"คุณดาไม่อยากล้างจานหรือคะ อันล้างให้ก็ได้นะคะ"

อันธิกาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาดาริกาหัวเราะคิก ก่อนจะจับไหล่ให้อันธิกานั่งที่โต๊ะกินข้าวด้วยกัน ส่วนตัวเองเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ อันธิกา และเริ่มตักข้าวที่อันธิกาใส่ชั้นปิ่นโตมาแบ่งใส่จานให้อันธิกาก่อน

"นี่ค่ะ คุณอันทำงานตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ต้องทานเยอะๆ นะคะ จะได้มีแรงทำขนมจีบกับบัวลอยต่อ"

"ขอบคุณค่ะ"

อันธิกาพึมพำขอบคุณ กระทั่งเห็นดาริกาตักข้าวให้ตัวเองแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากชวนให้ดาริกาเริ่มกินข้าว มือเรียวของอันธิกาตักกุ้งหนึ่งจากในต้มกะทิ แล้ววางใส่จานให้เจ้าของบ้าน พร้อมเอ่ยปาก

"คุณดาลองทานดูนะคะ กุ้งนี่อันเพิ่งซื้อมาเมื่อเช้านี่เองค่ะ ตอนเอากลับมาจากตลาด เนื้อยังแน่นดีอยู่เลยค่ะ"

"ขอบคุณค่ะ คุณอันก็ทานข้าวด้วยสิคะ"

"ค่ะ"

อันธิการับคำ แล้วลงมือกินมื้อเที่ยงไปพร้อมกับเจ้าของบ้าน ดาริกาตักต้มกะทิใบมะขามอ่อนไปหลายช้อน และดูเจริญอาหารอย่างมาก ทำเอาคนทำกับข้าวเห็นแล้วถึงกับอมยิ้ม ดาริกาตักกุ้งให้อันธิกา ก่อนจะเอ่ยปากชมไม่หยุด

"คุณอันทำกับข้าวอร่อยๆ แบบนี้ ดาทานได้เยอะมากๆ เลยค่ะ ตอนนี้ใส่กระโปรงที่พอดีตัวจะไม่ได้แล้วนะคะ"

"คุณดายังผอมอยู่เลยค่ะ ทานอีกหน่อยไม่เป็นไรหรอกนะคะ" อันธิกาพูดอย่างจริงใจ และอดขำไม่ได้เมื่อคนที่บ่นกลัวรูปร่างจะเปลี่ยน ตักต้มกะทิซดไปเปล่าๆ อีกช้อน "คุณดาชอบทานหรือคะ"

"คุณอันทำกับข้าวอร่อยนี่คะ ปกติที่บ้านดาไม่เคยทำต้มกะทิยอดมะขามแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ"

"จริงๆ ก็ไม่ได้ทำยากนะคะ ใส่กะทิ ใส่ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด หอมแดง ใส่กะปิ ปรุงรสนิดหน่อย ให้ออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มนิดๆ ที่จริงอันก็ไม่ได้ทำบ่อยหรอกค่ะ แต่พอดีไปได้ยอดมะขามมา เลยทำมาให้คุณดาลองทาน คุณดาอยากทานอะไรบอกได้นะคะ ถ้าอันทำเป็นอันจะทำให้ค่ะ"

"คุณอันดีกับดาขนาดนี้ ดาไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดีนะคะ"

"เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเองค่ะ อันทำกับข้าวอยู่ทุกวันอยู่แล้วด้วย" แก้มของอันธิกาขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยเมื่อพูด "คุณดาเองก็ช่วยเหลืออันมาตั้งมาก อันจะจ่ายค่าเช่าเต็มราคา คุณดาก็ไม่เอา"

"เรื่องค่าเช่า ดารับราคานี้ได้ค่ะ คุณอันไม่ต้องคิดมาก"

"ค่ะ"

อันธิการับคำแล้ว ดาริกาจึงเติมข้าวอีกหน่อย เพื่อกินกับผักและน้ำพริกที่เหลืออยู่เล็กน้อย ในขณะที่อันธิการวบช้อนส้อม แล้วลุกไปหยิบส้อมของหวานจากลิ้นชักในครัว เพื่อใช้จิ้มแตงโมหั่นเป็นชิ้นมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อดาริกาอิ่มข้าวแล้ว ก็จิ้มแตงโมมากินล้างปาก แล้วเอ่ยชมไม่หยุด

"แตงโมหวานฉ่ำมากเลยค่ะ แถมคุณอันเคาะเอาเมล็ดออกมาหมดแล้วด้วย"

"จะได้ทานง่ายๆ ค่ะ แต่ข้างในยังมีอยู่บ้างนะคะ"

"ดายังกัดไม่เจอเลยค่ะ"

อันธิกาหัวเราะเบาๆ แล้วเหลือบตามองดาริกาที่ยังตั้งใจกินแตงโมด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างเต็มที่ อันธิกาวางส้อมของหวานใส่ในจานเดิมของตัวเอง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"แล้วคุณศศินเป็นอย่างไรบ้างคะ"

"น้องศินน่ะหรือคะ" ดาริกาเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มน้อยๆ อย่างขบขัน "คุณอันเรียกเสียเต็มยศเชียว เรียกน้องศินก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเรียกคุณศินหรอกค่ะ"

"ค่ะ"

อันธิกาพูดเบาๆ ดาริกาจึงวางส้อมของหวานในมือลง แล้วเอ่ยปาก

"ดาไปประกันตัวน้องศินมาเมื่อเช้านี้ค่ะ ตอนนี้ไปส่งเขาที่หอพักของภาณุ น้องศินยังโกรธคุณพ่อคุณแม่อยู่ เลยไม่อยากกลับบ้าน ดาก็เข้าใจนะคะ เลยไม่อยากบังคับน้องค่ะ" ดาริกาพูดอย่างเป็นเรื่องขบขัน แล้วมองตาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ "ดาต้องขอบคุณคุณอันด้วยนะคะ ที่อุตส่าห์ทำกับข้าว แล้วก็ยากันยุงไปให้พร้อมกับเจ๊แมว น้องศินบอกว่า คุณอันยังติดเอาผ้าห่มไปให้ด้วย น้องศินเลยไม่ต้องทนหนาว แต่ดายังไม่ได้เอาผ้ากลับมาให้นะคะ น้องศินบอกว่าจะซักให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเอามาคืนพี่อันเอง จะได้มาขอบคุณด้วย"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ อันเต็มใจช่วยมากๆ ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ"

"น้องศินฝากชมด้วยนะคะ ว่าข้าวผัดกุ้งฝีมือคุณอันอร่อยมาก"

"เมื่อวานอันมีกุ้งเหลืออยู่พอดีค่ะ แล้วก็รีบๆ เลยคิดได้แค่ว่าจะทำข้าวผัด น้องศินได้กินให้อิ่มท้องก็ดีใจแล้วค่ะ เพราะต้องนอนห้องขังตั้งคืนหนึ่ง คงลำบากน่าดูเลย"

"ก็ลำบากมากค่ะ น้องศินไม่เคยลำบากมาก่อน"

ดาริกาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังกว่าปกติ อันธิกาไม่เคยเห็นดาริกาเป็นแบบนี้มาก่อนจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ มือเรียวเอื้อมไปกุมมือของดาริกาที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวไว้หลวมๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"ถ้ามีเรื่องอะไรที่อันพอช่วยได้ คุณดาบอกอันได้นะคะ"

ดาริการู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากมือที่กุมกันไว้ ความอบอุ่นนั้นค่อยแล่นขึ้นสู่หัวใจ ดาริกาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากขอบคุณอย่างไร เพราะรู้ดีว่า อันธิกาเองก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องลำบากใจอยู่แล้ว แต่ในยามที่กำลังรู้สึกไม่มั่นใจเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายินดีที่จะช่วยเหลือ แบ่งเบาความรู้สึกในใจของดาริกา

คำขอบคุณมากมายที่ไม่ได้พูดออกมา ถ่ายทอดผ่านความอบอุ่นที่ดาริกาสอดนิ้วมือประสานกับมือของอันธิกาไว้หลวมๆ

 

 

#ดุจดารานำทาง

 

 

ตอนนี้ไม่ได้มีซีนทำกับข้าว หวังว่าจะไม่หิวกันมากนะคะ 55 คิดถึงทุกคนเสมอค่ะ ขอบคุณค่ะ